ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1069 ให้คู่หมั้นของเจ้าออกมาพูด
ตอนที่ 1069 ให้คู่หมั้นของเจ้าออกมาพูด
สิ้นเสียงคำพูดนั้น ทั่วทั้งท้องพระโรงก็เงียบกริบ
หัวใจของเยี่ยนชิงเต้นไม่เป็นจังหวะ จากนั้นก็หันไปมองนายท่านของตนเอง
หรงซิวที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยสีหน้าแข็งค้างไปเล็กน้อย
แต่ก็กลับสู่ความปกติอย่างรวดเร็ว
ดวงตาหงส์ของเขา ค่อยๆ แผ่กระจายความเย็นชาและอ้างว้าง มันหนาวเย็นเสียจนทุกคนต้องตกใจ
เขายิ้มออกมาเล็กน้อย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา
“เจ้าพูดว่าอันใดนะ พูดอีกทีสิ”
…
บรรยากาศย่ำแย่ลงเล็กน้อย
คนส่วนใหญ่สามารถสัมผัสได้ถึงลมปราณที่น่ากลัว และหนาวเย็น
อากาศเหมือนจะถูกบีบอัด ฉู่หลิวเยว่ยังคงยิ้มไม่เปลี่ยนแปลง
“ทางประมุขตระกูลหลินได้กล่าวเอาไว้อย่างชัดเจนแล้ว ว่าชื่อของข้านั้นไม่ได้อยู่ในรายชื่อคัดเลือกพระชายา เหตุใดที่ชื่อของข้านั้นไปอยู่ในรายชื่อมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว หากฝ่าบาทขีดฆ่าชื่อออกไปมันจะสะดวกสบายสำหรับทุกคนมากกว่า ไม่ใช่หรือ?”
“เรื่องครึกครื้นเช่นนี้ จะให้ข้าเข้าร่วมด้วยก็คงไม่เหมาะ ฝ่าบาทท่านคิดว่าใช่หรือไม่?”
ขณะที่พูดนางก็กวาดสายตาไปมองเยี่ยนชิง
“เรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ ไม่ต้องรบกวนให้ฝ่าบาทจัดการด้วยตนเองหรอก ใต้เท้าเยี่ยนชิงสามารถจัดการแทนให้ได้ ใต้เท้าเยี่ยนชิง…เชิญ”
เยี่ยนชิงถือสมุดด้วยมือสั่นเทา
เขาผิดไปแล้ว
เขาไม่ควรไปเป็นตัวแทนพระองค์เชิญนางตั้งแต่ตอนแรกเลย! อย่าว่าแต่จมูกต้องถูฝุ่น*เลย คิดจะถอนตัวออกมาตอนนี้ก็ลำบากแล้ว
เหตุใดชีวิตของเขาต้องลำบากขนาดนี้ด้วย?
เขาจึงได้แต่พูดขึ้นอย่างจนปัญญา
“หม่อมฉันมีฐานะต่ำต้อย ไม่มีอำนาจทำเช่นนั้น”
ดวงตาหงส์ของหรงซิวลึกล้ำ เขามองไปทางฉู่หลิวเยว่ เหมือนต้องการจะกลืนคนลงไปในท้อง
“เจ้ามั่นใจหรือ?”
เยี่ยนชิงมองไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างอ้อนวอน
ขอร้องล่ะ อย่าเลย…
“แน่ใจอยู่แล้ว”
ฉู่หลิวเยว่กดรอยยิ้มลึก
“ท้ายที่สุด ข้าก็มีคู่หมั้นแล้ว”
…
ทุกคนรู้สึกตกใจอย่างมาก!
ที่แท้ตู๋กูเยว่ก็มีคู่หมั้นอยู่แล้วนี่เอง!?
แล้วฝ่าบาททราบเรื่องนี้หรือไม่?
ดูเหมือนว่าจะไม่เคยทราบมาก่อนสินะ? ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่เห็นด้วยที่จะเก็บรายชื่อของนางเอาไว้
แต่กลับปฏิเสธฝ่าบาทต่อหน้าเช่นนี้ มันคงจะพูดยากเสียหน่อย!
หลินเทียนเฟิงและคนอื่นๆ ก็หันไปมองฉู่หลิวเยว่ด้วยความตกใจ
คู่หมั้น!?
ไม่ใช่สามี!?
แต่ว่าพี่เป่า…
ในตอนที่ทุกคนกำลังกระซิบกระซาบกัน
หรงซิวขึ้นมาบางๆ แล้วพูดว่า
“แล้วอย่างใดเล่า?”
ในตอนนั้นเองเสียงกระซิบก็แทบจะหายไปหมดในทันที
สายตาจำนวนนับไม่ถ้วน มองมาที่หรงซิวด้วยความประหลาดใจ
แล้ว อย่าง ใด เล่า !?
คำพูดนี้หมายความว่าอย่างใด!?
หัวใจของเจียงจื่อหยวนเต้นไม่เป็นจังหวะ ความรู้สึกไม่สบายใจก็เพิ่มมากขึ้น
คนอื่นๆ ที่อยู่ในสถานที่นั้นก็รู้สึกว่ามีอันใดบางอย่างผิดปกติ จึงทยอยเงียบเสียง
บรรยากาศตึงเครียด จนแทบจะหายใจไม่ออก
เหมือนว่าหรงซิวจะไม่ได้สังเกตถึงคำพูดของตนเองที่ทำให้ทุกคนตกใจเลย
เขาเอนหลังท่าทางเกียจคร้าน คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“ขอเพียงแค่เจ้าให้เขามายืนอยู่ตรงหน้าในตอนนี้ ข้าก็จะทำเป็นลืมเรื่องนี้ไป”
…
เจ้าเล่ห์!
ฉู่หลิวเยว่ลอบกัดฟันกรอด
นางรู้อยู่แล้วว่าผู้ชายคนนี้ใจจืดใจดำ แต่คิดไม่ถึงว่าจะเล่นตัวเองขนาดนี้!
คำพูดที่เขาพูดออกมานั้น ไร้ยางอายอย่างมาก!
ฉู่หลิวเยว่เกือบจะตะโกนด่าเขาอย่างอดไม่อยู่
แม้กระทั่งพี่เป่าที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างมาโดยตลอด เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เขาก็อดกลอกตามองบนไม่ได้
รูม่านตาสีม่วงมีประกายดำมืดสว่างวาบ
เจ้าเด็กคนนี้ยังเหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด ไม่ ต้องบอกว่าเก่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก!
เพื่อให้ได้เป้าหมายที่ต้องการ เขาไม่เลือกวิธีการเลย!
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ คาดไม่ถึงว่าเขาจะหน้าไม่อายขนาดนี้
…
หลินเทียนเฟิงเหมือนนั่งอยู่บนพรมเข็ม
เขาคิดไม่ถึงเลยว่าเรื่องนั้นจะใหญ่โตได้ถึงขนาดนี้
หากเขาไม่สามารถมองความต้องการของฝ่าบาทออก เกรงว่าการทำงานที่ผ่านมาหลายปีคงจะไร้ประโยชน์แล้ว!
นี่ชัดเจนแล้วไม่ใช่หรือว่าฝ่าบาทตั้งใจจะเลือกตู๋กูเยว่เป็นพระชายา!?
ชื่อของนางจะปรากฏบนรายชื่อนั้นได้อย่างใด เขาไม่ต้องถาม ก็สามารถเดาได้!
แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ตู๋กูเยว่พูดอย่างชัดเจนว่าตนเองมีคู่หมั้นแล้ว แต่ก็คาดไม่ถึงว่าฝ่าบาทจะตอบกลับเช่นนี้…
ต่อให้คู่หมั้นของนางจะมีฐานะสูงส่ง แต่ก็คงไม่สูงไปกว่าฝ่าบาทหรอกใช่หรือไม่?
อย่าว่าแต่ผู้ชายคนนั้นอยู่ที่นี่หรือไม่ ต่อให้เขาอยู่ละก็ เขาจะกล้าลุกขึ้นมาหรือ?!
เมื่อถึงขั้นนี้ ก็เหมือนว่าจะแก้ไขอันใดไม่ได้แล้ว
หลินเทียนเฟิงหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่อย่างอดไม่ได้
จากนั้นก็หันไปมองตู๋กูโม่เป่าที่นั่งเงียบๆ อยู่ด้านข้างของนาง ก่อนจะถอนหายใจออกมา
เด็กคนนี้เพิ่งจะอายุสามสี่ขวบเท่านั้น ช่างไร้เดียงสา…
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ในตอนที่เขากำลังจะพูด หลินจือเฟยกลับคว้ามือของเขาเอาไว้
“ท่านพ่ออย่าเพิ่งใจร้อน”
หลินเทียนเฟิงรู้สึกลังเลเล็กน้อย
“แต่ว่า…ฝ่าบาททำเช่นนี้…แล้วนางก็อยู่ตัวคนเดียว หากไม่ช่วยเหลือ เช่นนั้น…”
หลินจือเฟยส่ายหน้าเล็กน้อย
“พวกเรารอดูไปก่อน ต่อให้ท่านยืนขึ้นในตอนนี้ ก็ช่วยอันใดไม่ได้หรอก”
ตำแหน่งของหน้าผาแดนสวรรค์ไม่สูงนัก ที่สามารถได้รับการต้อนรับเช่นนี้ ก็ต้องขอบคุณตู๋กูเยว่แล้ว
ไม่ว่าฝ่าบาทจะต้องการอันใด แม้กระทั่งเผ่าเซียนสุ่ยหลิงเจียงก็ไม่สามารถขวางได้ แล้วพวกเขาจะไปเหลืออันใด?
ท้ายที่สุดแล้วหลินเทียนเฟิงก็ต้องพยักหน้า
“ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม นางได้ช่วยชีวิตเจ้าไว้ หากเกิดอันใดขึ้นมาจริงๆ พวกเราคง…นั่งอยู่เฉยๆ โดยไม่สนใจไม่ได้”
หลินจือเฟยพยักหน้าเบาๆ ในรูม่านตาของเขาเหมือนมีกระแสน้ำไหลเชี่ยวกราก
เขาเหลือบสายตาไปมองทางตู๋กูเยว่ และหรงซิว ก่อนจะหลุบสายตาลงต่ำ
ความสัมพันธ์ของทั้งสองคนนั้น…
…
“ตู๋กูเยว่ผู้นั้นมีอันใดดี? ฝ่าบาทต้องตานางจริงๆ หรือ?”
ในมุมของท้องพระโรงที่ห่างไกล คนของหุบเขาหานซาน มองเหตุการณ์นั้นด้วยความตกตะลึง
หานจื่อจูเบิกตากว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“หน้าตาเช่นนั้น ภูมิหลังเช่นนั้น ที่สำคัญมีคู่หมั้นอยู่แล้ว! คาดไม่ถึงว่าจะเอาชนะหัวใจของฝ่าบาทได้!? ตกลงแล้วฝ่าบาทคิดอันใดอยู่กันแน่?”
“ชู่ว!”
หานเฉวียนยังมีสมองอยู่เล็กน้อย ดังนั้นจึงรีบปิดปากนางไว้
“ห้ามพูดจาบจ้วงฝ่าบาท!”
หานจื่อจูหดตัวเล็กลง แต่ใบหน้ายังมีประกายไม่ยินยอมเช่นเดิม
“ข้าก็แค่รู้สึกประหลาดใจเท่านั้น!”
เรื่องนี้ทำให้นางเห็นผีแล้ว!
“นางแพศยาคนนั้น ไม่รู้ว่าใช้วิธีอันใดทำให้ฝ่าบาทหลงเสน่ห์! นาง…”
นางยังพูดไม่ทันจบ หญิงสาวที่นั่งอยู่ด้านหน้าของนางก็หันขวับมามอง
ใบหน้าที่แต่งแต้มเครื่องสำอางงดงาม เห็นได้ชัดว่านางก็เข้าร่วมกันคัดเลือกพระชายาด้วยเช่นกัน
ในตอนนั้นใบหน้าของนางมีประกายดูถูก และเสียดสี นางมองไปที่หานจื่อจูและคนอื่นๆ เหมือนคนอื่นเป็นคนโง่
“คำพูดเช่นนี้ อย่าได้พูดซี้ซั้ว ระวังคนอื่นจะได้ยินเข้า คุณหนูตู๋กูผู้นั้น…จะต้องรู้จักกับฝ่าบาทมาก่อนแน่นอน หากไม่กลัวว่าจะมีปัญหา พวกเจ้าก็พูดต่อไปเถอะ”
เมื่อพูดจบ นางก็หันหน้ากลับไปด้วยความเย็นชา มาสายก็ช่างเถอะ แต่ไม่มีสมองด้วยเนี่ยนะ
คนของหุบเขาหานซาน อยากตายกันแล้วหรือ? หานจื่อจูและคนอื่นๆ มีใบหน้ามึนงง
ตู๋กูเยว่ผู้นั้น เคยรู้จักกับฝ่าบาทมาก่อนหรือ?
เป็นไปได้อย่างใด!?
…
บรรยากาศในตอนนั้นเกือบทำให้ทุกคนหายใจไม่ออก ฉู่หลิวเยว่เป็นคนที่ได้สติกลับมาก่อนคนแรก
นางหรี่ตาแล้วยิ้มออกมา
“ฝ่าบาท หากข้ายังพูดว่าไม่ล่ะ?”
จมูกต้องถูฝุ่น แปลว่า โดนปฏิเสธแล้วทำอันใดไม่ถูก หงายเงิบกลับมา