ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1094 อีกครั้ง ตอนที่ 1095 เจ้าอ่อนแอเกินไป
ตอนที่ 1094 อีกครั้ง / ตอนที่ 1095 เจ้าอ่อนแอเกินไป
ตอนที่ 1094 อีกครั้ง
หรงซิวพยักหน้า
“เมื่อวานเจียงจื่อหยวนพูดกับข้าแล้วเล็กน้อย” ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกขมวดคิ้วมุ่น
“เช่นนั้น…ฝ่าบาทจะทำอย่างใด?”
หรงซิวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“แก้ปัญหาเรื่องนี้ก่อน เรื่องอื่นยังไม่ต้องรีบ”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกรู้ดีว่าเขากำลังพูดถึงเรื่องของฉู่หลิวเยว่
“ตำแหน่งพระชายาได้ถูกเลือกแล้ว เช่นนั้น…ฝ่าบาทจะรีบ…”
หรงซิวส่ายหน้า
“อาจจะต้องใช้เวลาสักเล็กน้อย เดิมทีข้ามีแผนการอยู่แล้ว ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกไม่ต้องกังวล”
“ถ้าเช่นนั้น…ก็ได้!”
เดิมทีผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกต้องการเกลี้ยกล่อมเขาอีกครั้ง แต่เมื่อเห็นท่าทีที่สงบนิ่งของหรงซิวเขาเองก็ไม่ได้พูดอันใดต่อ
“ข้าจะจัดการกับมันชั่วคราว รอฝ่าบาทเลือกเวลาที่เหมาะสมได้แล้ว ค่อยไปก็ยังไม่สาย”
หรงซิวประสานมือทำความเคารพแล้วพูดอย่างจริงจัง
“รบกวนท่านแล้ว”
“เฮ้อ เจ้าเด็กนี่ เรื่องที่เจ้ารบกวนค่านั้นมันน้อยนักหรือ? เพิ่มไปอีกสักเรื่องก็คงไม่เป็นไร!”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกหัวเราะขึ้น
“ฉวยโอกาสไม่กี่วันนี้ ให้นางได้พักผ่อนดีๆ เดินเล่นรอบๆ พระราชวังเมฆาสวรรค์เพื่อทำความคุ้นเคยเสียหน่อย”
น่าเสียดาย…
“เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน!”
ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกเหลือบสายตามองไปในห้องอีกครั้ง
“แม้ว่าตอนนี้นางจะได้รับตำแหน่งพระชายาอย่างถูกต้องแล้ว แต่ใช่ว่าหลังจากนี้จะไม่มีปัญหาตามมา เจ้า…ต้องดูแลนางให้ดี”
หรงซิวพยักหน้า น้ำเสียงราบเรียบ แต่ก็หนักแน่นอย่างยิ่ง
“ท่านวางใจเถอะ มีข้าอยู่ นางจะไม่มีทางได้รับความอยุติธรรม”
…
หลังจากงานคัดเลือกพระชายาผ่านไป ฉู่หลิวเยว่ผู้ถูกเลือกก็ทำให้สาวงามมากมายอิจฉาริษยา แต่พวกนางก็เข้าใจดี
แม้ว่าหรงซิวจะจัดเตรียมการแข่งขันทั้งหมดเพื่อฉู่หลิวเยว่ แต่นางก็ใช้ความสามารถของตัวเองเอาชนะไปได้
ต่อให้ประลองกันอีกครั้ง ผู้ที่ชนะเกรงว่าจะเป็นนางเช่นเดิม
ดังนั้นหลังจากเรื่องจบแล้ว แม้ว่าสาวงามจะเสียใจและผิดหวัง แต่ก็สามารถมองออกได้อย่างรวดเร็ว
แต่ก็ยังมีคนโง่งมบางคนที่ไม่สามารถหลุดออกจากเรื่องเหล่านี้ไปได้
เจียงจื่อหยวนก็เป็นเช่นนั้น
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่มีแหวนศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ตนเอง สุดท้ายนางก็ไม่สามารถทนเสแสร้งอีกต่อไปได้ และรีบออกจากสถานที่นั้นทันที
นาทีต่อมานางก็เข้าใจแล้วว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเลย
หลายปีที่ผ่านมานี้ นางแค่คิดไปเองฝ่ายเดียวเท่านั้น!
จนสุดท้ายก็ไม่ได้อันใดกลับมา กลายเป็นแค่เรื่องน่าขันของทุกคน!
เรื่องที่นางจะเป็นพระชายา หลายปีที่ผ่านมานี้ทุกคนรับทราบอยู่ในใจ
แล้วต่อไปคนพวกนั้นจะมองนางอย่างใด นางไม่ต้องคิดก็สามารถรับรู้ได้แล้ว!
หลังจากกลับมาที่เซียนสุ่ยหลิง เจียงจื่อหยวนก็ล้มหมอนนอนเสื่อ มีไข้ขึ้นสูง
จึงทำให้เจียงเห่อเทียนรู้สึกปวดใจมากยิ่งขึ้น
เขาแค้นจนอยากจะฆ่าทั้งสองคนนั้นทิ้งไป ถึงจะสามารถระบายความแค้นที่มีอยู่ในใจได้!
เจียงเห่อเทียนนั่งอยู่ข้างเตียง พร้อมปลอบโยนนางอยู่ตลอดเวลา
“จื่อหยวน มันไม่คุ้มเลยที่เจ้าจะเสียใจกับเรื่องพวกนี้! หลังจากนี้จะต้องมีผู้ชายที่เหมาะสมกว่านี้อย่างแน่นอน! ไม่ต้องพูดเรื่องอื่น เพียงแค่ในสำนักศึกษา คนที่ชอบเจ้านั้นก็มีมากมาย! พวกเขาก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหรงซิวเลย!”
เจียงจื่อหยวนยิ้มขมขื่น
เมื่อพูดเช่นนี้ แต่นางไม่ได้ชอบหรงซิวมาแค่วันสองวัน
อีกทั้งหลายปีที่ผ่านมานี้ นางคิดมาเสมอว่านางจะได้เป็นพระชายาของเขา
นางเคยคิดแม้กระทั่งงานแต่งงานควรจะจัดแบบใด
แต่ตอนนี้…
นางสูญเสียทุกอย่างภายในพริบตา เพียงแค่ในเวลาสั้นๆ นางจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมได้อย่างใด?
แต่นางก็ยังพยักหน้าอย่างฝืนทน
“ลูกทราบแล้ว รอให้ลูกหายป่วยก่อน ลูกจะกลับไปที่สำนัก…”
เจียงเห่อเทียนลูบหลังมือของนางๆ แต่ภายในแววตามีประกายโหดเหี้ยม
“เจ้าวางใจเถอะ ครั้งนี้หรงซิวผู้นี้ทำให้เซียนสุ่ยหลิงต้องขายหน้า แค้นนี้ข้าได้จดจำเอาไว้แล้ว! หลังจากนี้…ข้าจะเอาคืนเป็นร้อยเท่าพันเท่า!”
หลังจากพูดคุยกันอีกไม่กี่คำ ผู้อาวุโสหมิงที่สามสิบหกก็เดินออกไป
รอจนกระทั่งแผ่นหลังของเขาหายไป
หรงซิวก็หันกลับไปมองตู๋กูโม่เป่าที่นั่งอยู่บนม้าหินอ่อนไม่ใกล้ไม่ไกล
เขาสาวเท้ายาวๆ เดินเข้าไป จากนั้นก็นั่งเผชิญหน้ากับอีกฝ่าย
“นั่งอยู่ตรงนี้มาทั้งคืนแล้ว ท่านกลับไปพักผ่อนเถอะ”
ริมฝีปากของหรงซิวไม่ขยับ เขาใช้เพียงกระแสจิตส่งหาอีกฝ่ายเท่านั้น
ตู๋กูโม่เป่าหันศีรษะกลับมา แล้วมองเขาอย่างเย็นชา
“คุยเสร็จแล้วหรือ?”
หรงซิวยิ้มบางๆ
“เรื่องที่ควรพูดก็พูดไปแล้ว”
รูม่านตาสีม่วงของตู๋กูโม่เป่าสว่างวาบอย่างรวดเร็ว! เขาพึมพำเสียงเบา
“นั่นเป็นเพียงเลือกเล่าส่วนหนึ่งเท่านั้น ต่างอันใดกับไม่ได้เล่า?”
ด้วยนิสัยของหรงซิว หากเขาเต็มใจเล่าทั้งหมดไปจริงๆ เขาคงเล่าออกไปตั้งนานแล้ว เหตุใดต้องรอถึงตอนนี้ด้วย?
แค่คิดก็รู้แล้วว่าเขาหยิบแค่เรื่องบางอย่างออกมาพูด!
อย่างน้อยในตอนนี้นังหนูได้ความทรงจำกลับคืนมาเท่าไร หรือว่าจะจำเรื่องทั้งหมดได้เมื่อไรนั้น…ก็ยังไม่มีใครรู้
หรงซิวไม่ได้ปฏิเสธ
“สุดท้ายก็แค่คลายความสงสัยในใจของนาง ทำให้นางรู้สึกโล่งใจ ไม่เช่นนั้นนางไม่สามารถหลับลงได้”
ใช่ว่าเขาจะไม่อยากเล่าเรื่องราวทั้งหมดออกไป แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
“ท่านก็รู้ ต่อให้ข้าพูดไปทั้งหมดในตอนนี้มีแต่จะเพิ่มความกังวลในใจของนาง”
ตู๋กูโม่เป่าไม่ได้ตอบอันใด แน่นอนว่าเขารู้ถึงความหมายที่หรงซิวต้องการจะพูด
และเขาก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน ถ้าไม่เช่นนั้นเขาไม่จำเป็นต้องมาตามหาหรงซิว ระหว่างทางเขาสามารถเล่าให้นางฟังอย่างละเอียด
หรงซิวชะงักไปเล็กน้อย
“รอจนนางสามารถทะลวงถึงอาณาเขตเทพเซียนได้อีกครั้ง นางก็จะรู้เรื่องทั้งหมดเอง”
ตอนที่ 1095 เจ้าอ่อนแอเกินไป
ฉู่หลิวเยว่กำลังดำดิ่งอยู่ห้วงแห่งความฝัน
ในความฝันนั้น นางอยู่ในสถานที่อันแปลกตา พบพานกลุ่มคนที่ไม่รู้จัก และกระทำสิ่งต่างๆ ที่นางมิคุ้นชินหลายอย่าง
และสิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือ นางฝันว่าตัวเองกำลังพยายามบุกเข้าไปในอาณาเขตเซียนเทพ
เปรี้ยง!
ทัณฑ์สวรรค์สายหนึ่งผ่าลงมา!
ความเจ็บปวดพลันแผ่ซ่านไปทั่วร่างกาย!
ฉู่หลิวเยว่ลืมตาตื่นขึ้นทันควัน!
นางหายใจหอบไม่เป็นจังหวะ ใจดวงน้อยเต้นรัวระส่ำ พร้อมกระแสโลหิตที่แล่นริ้วแผ่ซ่านไปทั่วร่างกายเนื่องด้วยอาการตื่นตระหนก
เสมือนว่าความเจ็บปวดนั้นยังคงอยู่
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองไปรอบๆ ประหนึ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก
ยามนี้นางยังนอนอยู่บนเตียง และถูกห่อหุ้มด้วยผ้านวมผืนหนา มิได้บุบสลายหรือบาดเจ็บแต่อย่างใด
ทว่าในห้วงสุบิน ความรู้สึกที่ถูกทัณฑ์สวรรค์สายฟ้าฟาดใส่นั้นกลับเจ็บปวดสุดแสนจะทรมาน ราวกับว่านางเคยประสบกับมันมาก่อน
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมจางๆ อันคุ้นเคยในอากาศ
นั่นคือลมปราณของหรงซิว
ใช่แล้ว เพลานี้นางกำลังนอนหลับพักผ่อนอยู่ในห้องบรรทมของหรงซิว ณ ตำหนักสักการะเทพ
เมื่อคืนพวกเขาสองคนคุยกันเยอะมาก ทั้งเรื่องที่เกี่ยวกับความทรงจำของเธอที่หายไปและเรื่องราวในอดีตของพวกเขา
ซึ่งสรุปได้ว่าพวกเขารู้จักกันมานานแล้ว แต่วันวานเหล่านั้นกลับมิได้เกิดขึ้นในอาณาจักรเย่าเฉิน หรือราชวงศ์เทียนลิ่ง หากแต่อยู่ในอาณาจักรเสิ่นซวี่ต่างหาก
หรงซิวอธิบายให้นางกระจ่างว่า ครั้งแรกที่พวกเขาพบกันและเรื่องราวที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นทั้งหมด ล้วนเกิดขึ้นภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่
ทว่าต่อมาเขาก็พบว่านางมิใช่คนของอาณาจักรเสิ่นซวี่ แต่มาจากราชวงศ์เทียนลิ่งที่อยู่นอกพรมแดน
และหลังจากที่นางกลับไปครานั้น เรื่องวุ่นวายต่างๆ ก็เกิดขึ้น
ต่อมา เมื่อหรงซิวรู้ถึงความผิดปกติ เขาก็พยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อหาวิธีทำให้นางเกิดใหม่ในร่างของฉู่หลิวเยว่ให้ได้ และเฝ้ารอให้นางตื่นจากการหลับไหล
และเป็นเพราะความตั้งใจอันแน่วแน่ของนาง ที่เลือกจุดไฟเผาชีพจรเทียนจิงของตัวเองก่อนตาย ส่งผลให้หลังจากสิ้นใจ ดวงวิญณาณของนางก็เหลือเพียงเศษเสี้ยวและกระจัดกระจายออกไป และเขาก็หามันพบเพียงบางส่วนเท่านั้น
ดังนั้นดวงวิญญาณของนางจึงไม่สมบูรณ์ และสูญเสียความทรงจำบางส่วน
แต่ส่วนที่หายไปนั้น คือความทรงจำที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของเราสองคน
…
ฉู่หลิวเยว่นวดหว่างคิ้วของตนไปมา
หลังจากนอนพักฟื้นได้หนึ่งคืน ในที่สุดนางก็ได้สติ
และหลังจากวิเคราะห์เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอยู่ชั่วขณะ ก็ดูเหมือนว่านางจะเข้าใจอันใดมากขึ้น ทว่าอีกใจหนึ่งก็มีคำถามใหม่ผุดขึ้นเรื่อยๆ
เพราะนางไม่รู้ว่าเหตุใดนางถึงออกจากราชวงศ์เทียนลิ่ง แล้วเดินทางมายังอาณาจักรเสิ่นซวี่
ซึ่งตรงนี้หรงซิวเองก็ดูจะไม่ค่อยชัดเจนเท่าใดนัก
เพราะไม่นานหลังจากที่เขารู้ว่านางมาจากราชวงศ์เทียนลิ่ง นางก็กลับไปแล้ว เขาเองยังไม่ทันได้ถามไถ่สิ่งใดเลย
ร่างเพรียวระหงก้าวขาไปยังโต๊ะตัวหนึ่ง และรินชาให้ตัวเอง
ควันสีขาวลอยฟุ้งขึ้นมาพร้อมไอน้ำหยดเล็กๆ ที่จับตัวกันเพราะความร้อน
เสมือนว่ามันจะเพิ่งถูกต้มเสร็จ
ฉู่หลิวเยว่พลันหยุดชะงัก พร้อมแสงหนึ่งที่แวบเข้ามาในดวงตาของนาง
ความจริงแล้วเมื่อคืนนี้ นางได้ลองเชิงถามหรงซิวว่าเขารู้เรื่องเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำหรือไม่
แต่เหมือนว่าหรงซิวจะไม่รู้อันใดเกี่ยวกับมันเลย
ฉู่หลิวเยว่สงสัยมาตลอดว่าหรงซิวคือบุรุษชุดดำผู้นั้น ทว่าตอนนี้นางกลับเริ่มไม่แน่ใจแล้ว
นั่นเพราะประการแรก บุรุษชุดดำผู้นั้นผนึกดวงวิญญาณส่วนหนึ่งของนางไว้ ซึ่งหากเขาคือหรงซิวตัวจริง ก็น่าจะพยายามช่วยค้นหาเศษเสี้ยวดวงวิญญาณทั้งหมด เพื่อฟื้นความทรงจำให้นางมากกว่า
ประการที่สอง นางจำได้ว่าในความทรงจำที่เหลืออยู่นั้น นางมองเห็นร่างเงาสองร่าง
คนหนึ่งคือหรงซิว และอีกคนคือบุรุษชุดดำ
และสัมผัสหยั่งรู้ของนางในปัจจุบันก็คิดว่าหรงซิวกับบุรุษผู้นั้นเป็นคนละคนจริงๆ
อีกทั้งหรงซิวเองก็เหมือนจะไม่รู้จักคนผู้นั้นเลยสักนิด
สรุปแล้วคืออันใดกันแน่ หรืออาจต้องรอให้ความทรงจำทั้งหมดของนางกลับมาได้เสียก่อนถึงจะรู้
ครั้นคิดได้เช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็กลั้นหายใจแล้วตั้งสมาธิ
นางเห็นรอยร้าวสามรอยบนเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำที่ลอยอยู่เงียบๆ ในจุดตันเถียน
มีแสงสีทองรำไรแทรกซอนออกมาจากข้างใน
เศษเสี้ยวความทรงจำของนางเองก็น่าจะรั่วไหลออกมาจากมันเหมือนกัน
ถ้าเปิดมันได้คงจะดีกว่านี้…
ฉู่หลิวเยว่พลันรวบรวมพลังปราณดั้งเดิม แล้วเตรียมโจมตีเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำอีกครั้ง!
“แอด…”
แต่แล้วประตูบานใหญ่กลับเปิดออกเสียก่อน
ฉู่หลิวเยว่หยุดการกระทำแล้วเงยหน้าขึ้นมอง
หรงซิวก้าวเท้าเข้ามาในห้อง
“ตื่นแล้วหรือ? ไฉนไม่นอนต่ออีกนิดเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้าทันควัน
“ข้านอนพักเยอะแล้ว”
แต่พอสัมผัสได้ถึงความปั่นป่วนของพลังปราณดั้งเดิมบนร่างของนาง หรงซิวก็จำต้องขมวดคิ้ว
“เมื่อครู่เจ้าคิดจะทำอันใด?”
“ข้าแค่คิดว่า…จะดึงความทรงจำก่อนหน้านี้กลับมาได้อย่างใด” ฉู่หลิวเยว่กล่าวอย่างตรงไปตรงมา
หรงซิวพลันเจ็บแปลบไปทั่งร่างอย่างมิอาจอธิบายได้
เขากำหมัดแน่น แล้วยกขึ้นมาป้องปากทำทีกระแอมไอ
“เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรีบร้อน อย่างใดเสียตอนนี้เจ้าก็จำบางอย่างได้แล้ว หลังจากนี้ประเดี๋ยวเจ้าก็จำเรื่องทั้งหมดได้เอง”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเห็นด้วย
ตอนนี้นางคงทำได้แค่นี้จริงๆ
“สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำมากที่สุดตอนนี้ คือการฟื้นฟูและพัฒนาฐานพลังปราณให้เร็วที่สุด”
ทันใดนั้นก็มีเสียงอันเย็นชาทว่าอ่อนเยาว์ดังมาจากประตู
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมอง ก่อนจะเห็นร่างกลมๆ สีม่วงของใครบางคน
“หือ? เจ้าเองก็อยู่ที่นี่ด้วยหรือ พี่เป่า?”
สีหน้าของตู๋กูโม่เป่ามืดมนในบัดดล!
จนหรงซิวต้องรีบแย้ง
“แค่กๆ พวกข้าเข้ามาพร้อมกันน่ะ”
เพียงแต่น่าเสียดายที่เขาตัวเล็กเกินไป ทำให้เขาถูกหรงซิวบดบังจนมิด ดังนั้นฉู่หลิวเยว่ถึงมองไม่เห็นเขา
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ตู๋กูโม่เป่าเอ่ยย้ำทีละคำด้วยความขุ่นเคือง
“ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าต้องเล่นหมากรุกกับข้าวันละสองชั่วยาม”
“ไม่เอานะ!”
ฉู่หลิวเยว่กรีดร้องพลางกุมศีรษะไว้เสมือนกำลังเจ็บปวดทุกทรมาน
สำหรับการเล่นหมากรุก สองชั่วยามนั้นอาจฟังดูไม่นาน และบางครั้งแค่หมากรุกตาเดียวก็อาจยืดเยื้อได้นานกว่าที่คิด
แต่นี่คือการเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่าเชียวนะ!
ฉู่หลิวเยว่เริ่มหวนนึกถึงคืนก่อน ยามที่นางถูกครอบงำด้วยพลังหมากรุกอันน่ากลัวของตู๋กูโม่เป่า
จนถึงตอนนี้ เพียงเค่อเดียวนางก็ยังไม่รอดเลย!
ทุกครั้งที่นางเดินหมาก ล้วนถูกอีกฝ่ายสังหารอย่างเลือดเย็น!
ยิ่งคิดยิ่งสมเพชตัวเองสุดๆ!
สองชั่วยามหรือ…เดาไม่ออกเลยว่านางจะถูกจับเชือดซ้ำๆ จนหมดสภาพขนาดไหน!
“นอกจากนี้ ทุกวันเจ้าจะต้องมาฝึกซ้อมกับหุ่นเชิดที่ข้าปรับแต่งใหม่เป็นเวลาสองชั่วยาม”
ตู๋กูโม่เป่าหรี่ตาลง
ดวงตาที่แต่เดิมดูเฉยเมยดุจน้ำนิ่งไหลลึกคู่นั้น บัดนี้กลับทอแสงประกายแวววับออกมาอย่างรุนแรง
“เพราะเจ้ายังอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นต้น ฉะนั้นก็มาเริ่มเรียนขั้นพื้นฐานก่อน อย่างเช่นสู้กับ…ระดับแปดขั้นต้นไปเลย!”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับตากระตุก
“พี่เป่า เจ้าเข้าใจระดับเจ็ดขั้นต้นผิดหรือเปล่า?”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิกๆ และพยายามถามอย่างใจเย็น
“ข้าอยู่ระดับเจ็ดขั้นต้น แต่เจ้าจะให้ข้าสู้กับระดับแปดขั้นต้นหรือ ข้ามขั้นขนาดนี้มันไม่เกินไป…”
“เช่นนั้นก็ระดับแปดขั้นกลาง…”
“เอาที่เจ้าพูดตอนแรกดีกว่า!”
สัญชาตญาณในการเอาตัวรอดอันแรงกล้า บังคับให้ฉู่หลิวเยว่รีบตอบกลับไปอย่างรวดเร็ว
สำหรับนางแล้ว ถ้าตู๋กูโม่เป่าพูดเช่นนั้น เขาย่อมทำอย่างที่พูดแน่นอน!
และตราบใดที่นางยังหายใจอยู่ เขาจะมิยอมอ่อนข้อให้นางเด็ดขาด!
ตู๋กูโม่เป่าชำเลืองมองนาง ประหนึ่งอ่านความคิดของนางได้ ก่อนจะพูดออกมาโต้งๆ ว่า
“ข้าให้เวลาเจ้าแค่สิบวันเท่านั้น และหลังจากสิบวัน เจ้าจะต้องเลื่อนขึ้นสู่ระดับแปดขั้นกลาง”
ฉู่หลิวเยว่ “… พี่เป่า ข้าผิดไปแล้ว ข้า…”
“ที่นี่คือพระราชวังเมฆาสวรรค์ พลังปราณของสวรรค์และโลก ณ ที่แห่งนี้แกร่งกล้าและเพียงพอที่จะทำให้เจ้าฝึกตนได้เร็วขึ้น แถมตอนนี้ชีพจรเทียนจิงของเจ้าก็ได้รับการซ่อมแซมแล้ว ดังนั้นเจ้ายิ่งต้องทำให้ได้”
ตู๋กูโม่เป่ากล่าวพลางขมวดคิ้ว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย้ยหยัน
“เจ้าหยุดอยู่ระดับเจ็ดขั้นต้นนานเกินไปแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ “???”