ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1103 นอนพื้น
ตอนที่ 1103 นอนพื้น
ฉู่หลิวเยว่เริ่มไม่แน่ใจว่านางควรจะยกย่องโอรสสวรรค์ว่าเป็นคนมองการณ์ไกลมีไหวพริบดีหรือไม่
นี่เขาแอบเตรียมของพวกนี้ล่วงหน้าหรือเปล่าเนี่ย!?
และพออีกคนตอบสนองเช่นนี้ ฉู่หลิวเยว่ก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี โดยการ “เชิญ” ให้เขาลงไปนอนบนพื้นตามประสงค์ของอีกฝ่ายในคราแรก
…ตอนแรกนางไม่อยากให้หรงซิวค้างแรมที่นี่ แต่เมื่อพิจารณาแล้วว่าด้านนอกนั้นมีทหารอารักขาอยู่เป็นจำนวนมาก การไล่เขากลับไปแบบนี้คงดูไม่เหมาะสมเท่าไร สุดท้ายฉู่หลิวเยว่ก็จำต้องเลือกทางออกที่ดีที่สุด
และเป็นทางออกที่พระโอรสพอพระทัยเป็นอย่างมาก
…เรื่องบางเรื่องควรทำให้คุ้นชินแต่เนิ่นๆ จะดีกว่า
ในที่สุดทั้งสองคนก็เริ่มต้นค่ำคืนอันเงียบสงบบนเตียงนอนที่ต่างกัน
ฉู่หลิวเยว่นอนอยู่บนเตียง หรงซิวนอนอยู่บนพื้น
คราแรกนางรู้สึกกังวลนิดหน่อย แต่เมื่อเห็นว่าหรงซิวหยิบผ้าห่มสองผืนออกมาอย่างสุภาพและสงบเสงี่ยม พลางจัดปูที่นอนของตนอย่างเรียบร้อย และหลังจากล้มตัวลงนอนแล้ว ฉู่หลิวเยว่ก็พลันคิดว่าตนคงจะวิตกกังวลมากเกินเหตุ
จากนั้นนางก็หลับตาลงและเตรียมจะเข้านอน
ความมืดมิดเริ่มย่างกลายเข้ามา คบเพลิงในห้องดับลงทีละดวง
และทั่วทั้งห้องก็ตกอยู่ในความมืดมิด
หรงซิวล้มตัวลงนอนไม่ไกลจากนาง
อันที่จริงห้องบรรทมแห่งนี้มีขนาดใหญ่และกว้างขวางมาก
แต่หรงซิวพยายามโน้มน้าวนางสุดความสามารถเพื่อคว้าโอกาสเล็กๆ นี้ให้ตัวเอง
สำหรับเขา แค่ถูกบีบให้นอนแยกกันหลังจากจบพิธีคัดเลือกพระชายาก็น่าสมเพชเกินพอแล้ว ถ้ายังให้นอนห่างกันอีก เขาคงนอนไม่หลับแน่ๆ
ดังนั้นเขาจึงยอมปูฟูกนอนข้างเตียงตามคำขอของฉู่หลิวเยว่ พลางสร้างค่ายกลขึ้นในขณะเดียวกัน…
…
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ฉู่หลิวเยว่นอนอยู่บนเตียง ทว่าต่อให้ข่มตานอนเท่าไรก็หลับไม่ลง
หลังจากนั้นไม่นาน ท้ายที่สุดนางก็ลืมตาขึ้น
แสงจันทร์ส่องเข้ามาทางหน้าต่าง เสมือนสายธารากระจ่างใส และเกิดเงาสีดำทอดตัวยาวลงบนพื้นห้องอันกว้างใหญ่
ฉู่หลิวเยว่หันศีรษะไปมองหรงซิวที่นอนหลับอยู่ไม่ไกล
จากตรงนี้ นางสามารถมองเห็นใบหน้าที่กำลังหลับใหลของหรงซิวได้ชัดเจน
เขานอนหนุนแขนตัวเอง พร้อมงอขาข้างหนึ่ง
ถึงรอบข้างจะดูสลัว ทว่าแสงจันทร์ที่ส่องลงนั้นก็ทำให้มองเห็นใบหน้าของเขาได้ชัดทุกตารางนิ้ว
ความวิตกกังวลในใจของฉู่หลิวเยว่ พลันสลายไปทันที
ราวกับว่าขอเพียงแค่คนคนนี้อยู่ข้างนาง ก็จะคลี่คลายและแก้ไขปัญหาทั้งหมดได้
นางกะพริบตาพลางพลิกตัวหันไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วแอบมองอีกฝ่ายอย่างระมัดระวัง
แม้ว่าเขาจะหลับไปแล้ว แต่สัญชาตญาณอันยิ่งยวดของนางก็ยังบอกให้ระวังตัวอยู่ดี
ขอแค่เขาไม่ลืมตาโพล่งขึ้นมาก็พอแล้ว
เพราะถ้าเขาลืมตา นางจักติดกับสายตาอันเย้ายวนนั่นอีกครั้งแน่ๆ ประหนึ่งว่ามันสามารถดึงดูดผู้คนให้ดำดิ่งลงสู่ก้นบึ้งอันลึกล้ำ และจบชีวิตด้วยการทำลายล้างตนเองได้
แต่จู่ๆ เขาก็ขมวดคิ้วนิดๆ ราวกับตกอยู่ในฝันร้าย
ก่อนจะเริ่มขมวดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
อายเย็นแผ่ซ่านและปกคลุมทั่วร่างกายของเขา
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
และไม่นานก็สังเกตเห็นชั้นน้ำแข็งจางๆ อยู่บนพื้น!
“หรงซิว?”
ฉู่หลิวเยว่เรียกเขา
แต่หรงซิวเพียงขดตัวเล็กน้อย
ตอนนี้ผ้าห่มบางๆ ที่คลุมร่างของเขาอยู่นั้นดูช่วยอันใดไม่ได้เลย
ฉู่หลิวเยว่ผุดลุกขึ้นนั่งทันที
“หรงซิว!”
เงามืดพาดทับใบหน้าของหรงซิวจนนางมองไม่เห็นสีหน้าของเขา
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากพลางทำลายค่ายกลทิ้ง แล้วก้าวเท้าเข้าไป
“หรงซิว ถ้าเจ้าแกล้งทำอีก ข้าจะโมโหแล้วนะ”
ขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังเอ่ยปาก ในที่สุดนางก็เห็นใบหน้าของหรงซิวชัดๆ
ก่อนจะเห็นว่าแพขนตาหนาของเขาถูกปกคลุมด้วยชั้นน้ำแข็ง ในที่สุดนางก็ตระหนักถึงความผิดปกติ และรีบก้มลงไปสัมผัสใบหน้าของเขา
มันเย็นจนมือของนางแทบเป็นน้ำแข็ง!
ร่างของฉู่หลิวเยว่เกือบจะถูกแช่แข็งจากความหนาวเย็นนั่น!
และเหมือนหรงซิวจะสัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่าง พลันคว้ามือนางแล้วดึงนางเข้าไปกกกอด!
การเคลื่อนไหวของเขานั้นหยาบกระด้างและป่าเถื่อน ต่างจากท่าทีอันอ่อนโยนและยับยั้งชั่งใจดั่งปกติ
ฉู่หลิวเยว่พยายามกลั้นเสียงกรีดร้องอย่างสุดความสามารถ นางผ่อนแรงของตนลงและโอนอ่อนไปตามแรงดึง และตกลงสู่อ้อมแขนของเขา
เพียงหรงซิววาดลำแขนและช่วงขายาวๆ ออกไป ก็สามารถยึดร่างของฉู่หลิวเยว่ไว้ในอ้อมแขนของเขาได้อย่างง่ายดาย
ฉู่หลิวเยว่โดนรัดจนอึดอัดไปหมด
กระทั่งนางยกศีรษะขึ้นจากอ้อมแขนของเขา ถึงได้เห็นว่าคิ้วเข้มที่ขมวดกันเมื่อครู่ ค่อยๆ คลายลงแล้ว
จากนั้น ท่ามกลางสายตาของฉู่หลิวเยว่ที่จดจ้องมองคนตรงหน้าเขม็ง ไม่นานชั้นเกร็ดน้ำแข็งบนขนตาของเขาก็ค่อยๆ ละลาย ผิวหนังที่แต่เดิมเย็นจัดค่อยๆ อุ่นขึ้น และกลับสู่อุณหภูมิปกติ
รวมทั้งชั้นน้ำแข็งบนพื้นเองก็ละลายหายไปทีละน้อย โดยที่ฉู่หลิวเยว่ไม่ทันได้สังเกต
แพรขนตาของหรงซิวสั่นไหว
แต่ในจังหวะที่ฉู่หลิวเยว่คิดว่าเขากำลังจะตื่นขึ้น หรงซิวกลับเปลี่ยนท่าให้นอนกอดนางได้ถนัดเสียอย่างนั้น
ลมหายใจติดขัดแปรเปลี่ยนเป็นสูดหายใจเข้าออกยาวๆ ระคนหลับลึก
ดวงหน้าของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยความงุนงง
นี่เขา…หลับไปแล้วหรือ!?
การเย้าแย่หลายครั้งของเขา ทำให้ฉู่หลิวเยว่สงสัยว่าเขาตั้งใจแกล้งกัน
แต่เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะหลับลึกจริงๆ ฉู่หลิวเยว่กลับอยากไปปลุกเขา
บางที…ช่วงนี้เขาอาจนอนไม่ค่อยหลับจริงๆ ก็ได้?
ฉู่หลิวเยว่มองดูเขาครู่หนึ่ง พลางจะยกศีรษะขึ้นเล็กน้อย แล้วเอนตัวไปเข้าไปจุมพิตริมฝีปากของเขาเบาๆ
ก่อนจะกลับมามุดตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขาอีกครั้ง และหลับตาลงเข้าสู่นิทราเช่นกัน
ไม่รู้ด้วยเหตุอันใด ทว่าคราวนี้นางหลับเร็วมาก
หลังจากนั้นไม่นาน เมื่อนางหลับสนิท บุรุษในเงามืดที่นอนกอดนางอยู่ก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น
เขาจ้องมองนาง นัยน์ตาคู่คมทอประกายลึกล้ำท่ามกลางความมืด
ถึงวิธีนี้จะเหนื่อยเอาเรื่อง แต่ก็…
ไม่เสียแรงที่บอกให้พวกนั้นเตรียมผ้านวมไว้ให้เขาล่วงหน้าล่ะนะ…
…
วันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นขึ้นมาบนเตียง
ส่วนหรงซิวนั้นออกไปแล้ว
นางกวาดสายตามองพื้นที่รอบตัวช้าๆ
อืม สะอาดและเป็นระเบียบเรียบร้อย
ส่วนผ้านวมก็ถูกพระโอรสหอบกลับไปแล้ว
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
ร่างกายของหรงซิว…ผิดปกติจริงๆ หรือเปล่านะ นางคงต้องจับมาเค้นความใหม่เสียแล้ว
แต่ไม่ทันที่นางจะได้ออกไปเค้นความเขา ตู๋กูโม่เป่าก็มาถึงแล้ว
“ตื่นแล้วหรือ?”
“ถ้าตื่นแล้วก็ไปเล่นหมากรุกกัน”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ถึงกับปวดหัว
แต่พอคิดถึงหรงซิวแล้ว นางก็กัดฟันอย่างอดทน แล้วลุกไปล้างหน้าล้างตาอย่างรวดเร็ว และเชิญตู๋กูโม่เป่าเข้ามาในห้อง
“เริ่มกันเลย!”
…
หลายวันหลังจากนั้น กิจวัตรของฉู่หลิวเยว่ก็ดำเนินไปแบบเดิมทุกวัน
นางต้องเล่นหมากรุกกับตู๋กูโม่เป่าทุกวัน จากนั้นก็ไปที่สนามฝึกแล้วสู้กับหุ่นเชิดเป็นเวลาสองชั่วยาม และใช้เวลาอีกพักหนึ่งเพื่อสรุปผลการฝึกของแต่ละวัน แล้วนั่งสมาธิและปรับปรุงการบ่มเพาะพลังปราณของตัวเอง
ในช่วงกลางวัน นางจะช่วยปรุงโอสถแล้วรักษาอาการป่วยให้หลินจือเฟย
และจะพบกับหรงซิวแค่ในช่วงกลางคืนเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่สัมผัสได้ว่าหรงซิวยุ่งมาก
แต่เขาไม่ได้บอกว่ากำลังติดพันธุระอันใดอยู่ และฉู่หลิวเยว่ก็ไม่กล้าเอ่ยปากถามก่อน
เพียงแต่ว่า ตอนกลางคืนเขามักจะนอนหลับไม่สนิท จนฉู่หลิวเยว่ทนไม่ได้ และลงเอยด้วยการลงไปนอนบนพื้นกับเขาเสมอ
แน่นอนว่ารุ่งสาง ตัวนางก็กลับไปอยู่บนที่นอนตามเดิม
ห้าวันที่ต้องติดคุกอยู่กับตู๋กูโม่เป่าผ่านไปอย่างรวดเร็ว
หุ่นเชิดที่ต่อสู้กับฉู่หลิวเยว่ในคราแรก ถูกแทนที่ด้วยหุ่นเชิดระดับแปดขั้นกลาง!
และเวลาในการฝึกแต่ละวันก็ถูกเปลี่ยนเป็นสามชั่วยาม
ยิ่งการฝึกเข้มข้นมากขึ้นเท่าไร ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะยิ่งน่าทึ่งมากเท่านั้น
ตอนนี้ทักษะการต่อสู้แบบประชิดตัวของฉู่หลิวเยว่ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนมาก
นอกจากนี้ แม้นางจะยังไม่สามารถทะลวงขึ้นพลังปราณประเภทจอมยุทธได้เร็วไปมากกว่านี้
ทว่านางกลับทะลวงพลังปราณด้านปรมาจารย์ได้ถึงระดับแปดขั้นสูงสุด
แสดงว่าระดับเก้า ย่อมอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว!