ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1104 สำนักหลิงเซียว
ตอนที่ 1104 สำนักหลิงเซียว
หลายวันมานี้ โดยทั่วไปแล้วร่างกายของหลินจือเฟยฟื้นตัวขึ้นมากเลยทีเดียว
เพียงแค่ฉู่หลิวเยว่ไปที่นั่นอีกครั้งและมอบโอสถครั้งสุดท้ายให้เขา เขาก็สามารถกลับออกไปได้อย่างสบายใจแล้ว
ส่วนเรื่องคนของหุบเขาหุบเขาหานซานนั้น ฉู่หลิวเยว่มิได้สนใจใคร่รู้เลยสักนิด
เพราะก่อนที่นางจะได้บอกหรงซิวเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาก็ชิงสั่งให้เยี่ยนชิงจัดการกับคนเหล่านั้นเสีย
ในตอนท้าย เมื่อถึงคราวที่พวกเขาได้กลับไป ฉู่หลิวเยว่ก็บังเอิญเจอพวกเขาครั้งหนึ่ง
และพบว่าหานเฉวียนได้สูญเสียขากับแขนอย่างละข้าง ส่วนคนที่เหลือก็บาดเจ็บสาหัสไม่มากก็น้อย
และอาจจะไม่สามารถฟื้นฟูอวัยวะส่วนดังกล่าวได้ตลอดชีวิต
หลังจากนี้เป็นต้นไป คนเหล่านี้ก็จะกลายเป็นคนพิการไร้ประโยชน์ และคงยากที่พวกเขาจะรักษาสถานะในปัจจุบัน ของตนเองให้คงอยู่ได้
พระราชวังเมฆาสวรรค์ปกครองยี่สิบแปดชนเผ่า ซึ่งก่อนหน้านี้หรงซิวเคยบุกกวาดล้างคนของตำหนักหวู่ซวงมาแล้ว และยามนี้ แม้เขาจะทำลายหุบเขาหานซานเพิ่มอีก ก็ย่อมไม่มีผู้ใดคัดค้าน
ดังนั้นผู้คนของหุบเขาหานซานจึงไม่กล้าแม้แต่จะแสดงโทสะออกมา และทำได้เพียงหลบหนีออกไปด้วยความสิ้นหวัง
และเกรงว่าหากไม่รีบกุลีกุจอกลับไป คงจะถูกทิ้งไว้ให้ตายอย่างอนาถที่นี่แน่นอน
สถานการณ์ของหานเฉวียนกับโหรวหรูไห่แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนเริ่มจับกลุ่มสนทนากันให้ขวัก
ขณะเดียวกัน ในที่สุดมันก็ทำให้คนบางพวกตระหนักได้แล้วว่า พระชายาที่เพิ่งได้ตำแหน่งผู้นี้มิได้อ่อนแออย่างที่คิด!
หากมีระบบความคิดและวิธีการ ควบคู่ไปกับพรสวรรค์เช่นนี้…การวางอำนาจในพระราชวังเมฆาสวรรค์ ย่อมมิใช่เรื่องยาก!
…
ฉู่หลิวเยว่ปล่อยให้คนนอกแสดงความคิดเห็นและคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แต่หาได้สนใจไม่
ความแข็งแกร่งคือสิ่งที่คนในอาณาจักรเสิ่นซวี่ยำเกรงที่สุด ขอเพียงแค่นางแกร่งขึ้น ก็สามารถทำให้คนพวกนี้หุบปากได้แล้ว!
อีกอย่าง นางเองก็ยังมีสิ่งสำคัญอีกอย่างที่ต้องทำ
…
ในช่วงเที่ยงของวันหนึ่ง เมื่อเห็นว่าหรงซิวยังพอมีเวลาว่าง ฉู่หลิวเยว่ก็ชวนเขามาเล่นหมากรุกด้วยกัน
หลังจากการต่อสู้อันดุเดือด ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นฝ่ายแพ้อีกตามเคย
ฉู่หลิวเยว่พลันกัดฟันกรอด ยามมองไปยังกระดานหมากรุกแตกกระจายระเนระนาดตรงหน้า
พรสวรรค์และพละกำลังของชายผู้นี้น่าทึ่งมาก จนนึกกลัวว่าในเวลาอันน้อยนิดเช่นนี้ นางอาจจะไล่ตามเขาไม่ทัน!
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกสิ้นหวัง พลางเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างจำยอม
“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้ข้าลืมถามเจ้าเรื่องหนึ่ง เจ้ารู้จักจวินจิ่วชิงด้วยหรือ?”
หรงซิวหยุดชะงัก แล้วเงยหน้าขึ้นมองนางเงียบๆ
ก่อนจะพยักหน้าเบาๆ
“ใช่ แต่ก็ไม่เชิงว่ารู้จัก”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นสงสัย
“พวกเจ้าไปรู้จักกันได้อย่างใด?”
พูดตามตรง นิสัยของสองคนนี้ไม่น่าใช่คนที่จะไปรู้จักมักจี่กันได้
แต่ดูเหมือนว่าจวินจิ่วชิงจะรู้อันใดบางอย่างเกี่ยวกับพระราชวังเมฆาสวรรค์
ซึ่งองค์รัชทายาทแห่งราชวงศ์เป่ยหมิงอย่างเขา ไม่น่ามีข้อมูลของชาวเมฆาสวรรค์
“เขา…เคยมาเยือนอาณาจักรเสิ่นซวี่หรือ? หรือว่าเขาเป็นคนของอาณาจักรเสิ่นซวี่โดยกำเนิด?”
หรงซิวนิ่งคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ
“เขาเกิดที่อาณาจักรเสิ่นซวี่ เพียงแต่ไม่นานก็ถูกส่งตัวกลับไปที่ราชวงศ์เป่ยหมิง แต่…เขาไม่เคยตัดขาดความสัมพันธ์กับทางนี้”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเข้าใจ
เมื่อกล่าวเช่นนี้ หลายๆ สิ่งที่นางข้องใจก็เริ่มกระจ่างขึ้นมาแล้ว
ในโลกนี้มีผู้คนมากมายที่พยายามสุดชีวิตเพื่อหวังเข้าอาณาจักรเสิ่นซวี่ และตั้งรกรากปักฐานที่นี่
แต่จวินจิ่วชิงกลับ…
“ในตอนนั้น ชนเผ่าของเขาเกิดจลาจลและสงครามภายในขั้นรุนแรง ผู้กุมอำนาจสูงสุดจึงส่งเขาไปเพื่อรักษาชีวิตของเขาไว้ ซึ่งต้นตระกูลของเขามีความสัมพันธ์ที่ดีกับเป่ยหมิง ดังนั้น…”
“แสดงว่าเขาไม่ใช่บุตรแท้ๆ ของจักรพรรดิแห่งเป่ยหมิง?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่ แต่เพราะสถานะของเขานั้นพิเศษ จวินฉีจือจึงปฏิบัติกับเขาราวลูกชายแท้ๆ ของตัวเอง แต่นอกจากแม้แต่คนในราชวงศ์เป่ยหมิงแล้ว ก็แทบไม่มีใครรู้เรื่องนี้เลย”
“แต่เจ้ากลับรู้”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
หรงซิวเลิกคิ้วพลันหัวเราะ
“ถ้าเรื่องแค่นี้ข้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะได้ตำแหน่งโอรสสวรรค์มาได้อย่างใด”
หรงซิวระบายยิ้มเชิงหยอกล้อ ทว่าหัวใจของฉู่หลิวเยว่กลับบีบแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
ถ้าพูดถึงเรื่องประสบการณ์ชีวิตของหรงซิว นางรู้เพียงเรื่องทั่วไปของเขา ชนิดที่ว่าให้สาธยายออกมาสองสามประโยคก็จบแล้ว
ทว่าในประโยคง่ายๆ ที่หรงซิวกล่าวข้างต้นนั้น กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความลำบากยากเข็ญ ที่ฉู่หลิวเยว่ไม่เคยรู้มาก่อน และมีเพียงแค่หรงซิวที่รู้
จากผู้ที่ไม่เป็นที่ต้อนรับของวงศ์ตระกูล สู่ผู้ที่ครอบครองตำแหน่งสูงสูดของชนเผ่า…
นางอยากรู้จริงๆ ว่าเขาผ่านอันใดมาบ้าง!
“หมายความว่า จวินจิ่วชิงเองก็เคยกลับมาที่อาณาจักรเสิ่นซวี่หรือ?”
“อืม”
แต่จู่ๆ หรงซิวก็นึกถึงบางสิ่ง พลันหน้าเจือนลงอย่างรวดเร็ว
ฉู่หลิวเยว่พิจารณาอย่างรอบคอบ
แม้จวินจิ่วชิงจะไม่เคยทะลวงเข้าสู่อาณาเขตเซียนเทพ แต่ทว่า…ในเมื่อเขามีภูมิหลังเช่นนี้ หากเขาต้องการเข้าออกอาณาจักรเสิ่นซวี่ล่ะก็ นั่นย่อมมิใช่ปัญหา
ฉู่หลิวเยว่นั่งเท้าคางและพึมพำเบาๆ
“แต่เขาถูกเลี้ยงดูโดยคนนอกพรมแดน เป็นไปได้หรือที่ตระกูลของเขาจะไม่ขุ่นเคืองใจเลย?”
“นั่นเพราะเขามีท่านอาจารย์ที่ดี”
หรงซิวกล่าว
ฉู่หลิวเยว่ตกใจ
“ท่านอาจารย์หรือ?”
“ท่านอาจารย์ของเขาเป็น…”
หรงซิวพูดยังไม่ทันจบ ก็จำต้องชะงัก
ทว่าในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังจะถามอีกครั้ง ก็มีเสียงเคาะประตูจากด้านนอกดังขึ้นเสียก่อน
“ฝ่าบาท ทรงมีราชสารด่วนขอรับ”
มันคือเสียงของอวี๋มั่ว
หรงซิวยืนขึ้นและเดินไปเปิดประตู
อวี๋มั่วส่งมันให้เขาด้วยความเคารพ พลางกล่าวว่า
“นี่คือสารจากสำนักวิชา…”
แต่ไม่ทันได้พูดจบ หรงซิวก็หยุดเขาด้วยสายตา
อวี๋มั่วจึงเหลือบมองเข้าไปในห้อง ก่อนจะเห็นว่ามีฉู่หลิวเยว่อยู่ในนั้น
พลันปิดปากฉับทันที
หรงซิวไม่ได้เปิดจดหมาย แต่หันกลับมาและบอกฉู่หลิวเยว่ว่าเขาต้องไปจัดการธุระบางอย่าง แล้วขอตัวจากไป
ฉู่หลิวเยว่คิ้วกระตุกสองสามที
ท่านอาจารย์ผู้นั้น…
สำนักวิชา?
หรือว่าประโยคที่หรงซิวจะพูดเมื่อครู่เกี่ยวข้องกับจดหมายนี้?
…
ฉู่หลิวเยว่ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ ดังนั้นนางจึงพักเรื่องนี้ไว้ก่อน แล้วไปหาหลินจือเฟยเป็นครั้งสุดท้าย
หลังจากได้รับการดูแลอย่างดีและพักฟื้นอยู่ในพระราชวังเมฆาสวรรค์สองสามวัน ผิวพรรณของหลินจือเฟยก็ดูเปล่งปลั่งมีชีวิตชีวาขึ้นมาก
ในอดีตตัวเขานั้นขาวซีดราวผนึกโปร่งแสงและเศษแก้วที่เปราะบาง แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนมนุษย์มากขึ้นแล้ว
รวมทั้งความแข็งแกร่งของเขาที่ค่อยๆ เพิ่มพูนมากขึ้น ทำให้ผู้คนไม่กล้าสบประมาทเขา
ฉู่หลิวเยว่มอบโอสถให้เขากินเป็นครั้งสุดท้าย
หลินจือเฟยรับมันมา พลันชะงักไปนิด แล้วยกดื่มจนหมดในอึกเดียว
“ขอบใจมาก”
เขาจ้องมองฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มและส่ายหัว
“ข้าแค่ทำในสิ่งที่ข้าทำได้ มิใช่เรื่องใหญ่อันใด ข้าสิ ต้องขอบคุณเจ้าที่ช่วยเรื่องค่ายกลเคลื่อนย้าย”
หลินจือเฟยพยักหน้า พลางเอ่ยต่อ
“อันที่จริงหากว่าตามพลังของข้าในตอนนี้ คงยากที่จะทำมันให้สำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียว ดังนั้นข้าจึงคิดว่า…ก่อนอื่นต้องหาวิธีพัฒนาความแข็งแกร่ง แล้วค่อย…”
“การลับมีดมิได้เป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้”[1]
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยแทรกเขาด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าคิดเช่นนั้นย่อมมิใช่ปัญหาแต่อย่างใด ทว่าเรื่องขั้นตอนที่ละเอียดกว่านั้น เจ้าจะทำอย่างใด? ที่ผาแดนสวรรค์คง… มีใครสอนเจ้าได้ใช่หรือไม่?”
และถึงมี ก็คงไม่มีใครเชื่อ
หลินจือเฟยนิ่งเงียบไปแวบหนึ่ง และพูดว่า
“ข้าจะไปที่สำนักหลิงเซียวก่อน”
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจ
“ว่าอย่างใดนะ?”
“สำนักหลิงเซียว”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของนาง หลินจือเฟยก็คิดว่านางไม่รู้จัก ก่อนจะอธิบายให้ฟังอย่างตั้งใจ
“สำนักหลิงเซียวคือสำนักวิชาชั้นนำในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ไม่ใช่แค่นั้นนะ ที่นั่นยังเหมือนเป็นกองบัญชาการที่ทรงพลังและรวบรวมยอดฝีมือไว้มากมาย หากเข้าไปฝึกตนที่นั่น จะได้รับประโยชน์มากมายอย่างแน่นอน ฉะนั้น…”
ทว่าจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่พลันนึกอันใดขึ้นได้ แล้วขัดจังหวะเขา
“หรงซิวอาจติดต่อกับสำนักนี้ด้วยใช่หรือไม่?”
[1]การลับมีดมิได้เป็นอุปสรรคต่องานตัดไม้ เป็นการอุปมาว่าใช้เวลาฝึกฝนจนชำนาญเสียก่อน แล้วค่อยลงมือทำเพื่อทำให้การงานก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง