ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1106 ความรู้สึก
ตอนที่ 1106 ความรู้สึก
หรงซิวก้มลงจุมพิตที่หน้าผากของนางเบาๆ
“ข้าได้ส่งคนไปตรวจสอบเรื่องใต้เท้าฉู่หนิงแล้ว ไม่นานเราคงได้เบาะแสอันใดมาบ้าง”
ฉู่หลิวเยว่ชะงัก หัวใจดวงน้อยอุ่นวาบราวถูกโอบอุ้มด้วยกระแสน้ำอุ่น
นางพยักหน้าตอบเล็กน้อย
และในคืนนี้ ในที่สุดหรงซิวก็สามารถหอบผ้านวมของตนขึ้นไปนอนร่วมเตียงกับนางได้
ร่างทั้งสองกอดเกยกันอยู่บนเตียงกว้าง และจมดิ่งสู่ห้วงแห่งนิทราไปพร้อมกัน
…
เช้าวันรุ่งขึ้น หรงซิวก็จากไป และสั่งให้อวี๋มั่วเป็นคนดูแลฉู่หลิวเยว่
และหลังจากเขาเดินทางออกไปไม่นาน เหล่าผู้อาวุโสหลายคนก็มาร้องขอเข้าพบนาง
แต่ฉู่หลิวเยว่ขอให้อวี๋มั่วปฏิเสธพวกเขาทั้งหมด และแจ้งให้คนด้านนอกทราบว่านางต้องการปลีกวิเวกอยู่คนเดียว
และช่วงนี้นางใช้สิทธิ์ของชายาเอก พาตัวเองเข้าไปพักอาศัยอยู่ในตำหนักสักการะเทพ
ซึ่งสถานที่แห่งนี้ นอกจากท่านประมุขและโอรสสวรรค์แล้ว ไม่มีใครได้รับอนุญาตให้ขึ้นมา
แต่ตอนนี้มีฉู่หลิวเยว่เพิ่มมาอีกคน
ฉะนั้นตราบใดที่นางไม่อนุญาต ผู้อาวุโสเหล่านี้ก็จะไม่มีวันได้พบนาง
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มปลีกวิเวกและทำการ “เก็บตัว” อยู่ในห้อง ในขณะที่มีอวี๋มั่วคอยเฝ้าอยู่ด้านนอก
…
การแอบหนีออกจากพระราชวังเมฆาสวรรค์ โดยไม่ให้มีพิรุธนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่ง
นั่นเพราะการออกไปจากที่นี่จะต้องใช้เส้นทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายเท่านั้น
แต่ไม่ใช่กับฉู่หลิวเยว่
เพราะนางมีแหวนศักดิ์สิทธิ์อยู่ในมือ!
ดังนั้น นางจึงสามารถเปิดใช้งานค่ายกลเคลื่อนย้ายตำหนักสักการะเทพได้อย่างง่ายดาย!
นอกจากนี้นางยังขอให้ตู๋กูโม่เป่าช่วยใส่ลมปราณของนางลงในหุ่นเชิด เพื่อแสร้งว่านางอยู่ที่นี่ตลอดเวลา
พร้อมทั้งสร้างค่ายกลขึ้นมาขวางกั้นอีกชั้นหนึ่ง ตราบใดที่อวี๋มั่วไม่บุกเข้ามา นางก็จะไม่ถูกจับได้
และถึงเขาจะรู้สึกถึงความผิดปกติแล้วบุกเข้ามาดู แต่กว่าจะถึงตอนนั้นฉู่หลิวเยว่คงหนีไปไกลแล้ว
…
สำนักหลิงเซียวอยู่ไกลจากพระราชวังเมฆาสวรรค์มาก
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ยังไม่กล้าเดินทางผ่านค่ายกลเคลื่อนย้ายของพระราชวังเมฆาสวรรค์ ระหว่างทางนางจึงสลับใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายจากถิ่นฐานอื่นสองสามครั้ง และนั่นทำให้นางเสียเวลาไปพอสมควร
แต่โชคดีที่มีตู๋กูโม่เป่าไปด้วย พวกเขาจึงผ่านการเดินทางครั้งนี้ไปได้อย่างราบรื่น
หลังจากผ่านไปประมาณห้าวัน ในที่สุดฉู่หลิวเยว่กับตู๋กูโม่เป่าก็มาถึงฝางโจว
ฝางโจวเป็นเมืองที่อยู่ใกล้กับสำนักหลิงเซียวมากที่สุด
ผู้ที่เดินทางเข้าไปยังสำนักหลิงเซียว จะต้องผ่านเมืองนี้ไปเสียก่อน
ฉู่หลิวเยว่ก้าวออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้าย และถอนหายใจยาวพรืดด้วยความโล่งอก ก่อนจะมองไปยังเมืองที่อยู่ไม่ไกล แล้วถอนหายใจอีกครา
“ฝางโจวหรือ…ช่างสมคำล่ำลือเสียจริง!”
ภายใต้ท้องนภาสีครามอมม่วง มีเมืองที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงามและประณีตตั้งอยู่บนที่ราบกว้างใหญ่
ก้อนหินขนาดใหญ่สีขาวอมเทาถูกวางทับซ้อนกัน ผิวของมันขรุขระทว่ากลับดูสง่างาม ยิ่งใหญ่และน่าเกรงขาม!
พร้อมม่านพลังสีเงินขนาดใหญ่ที่ปิดกั้นอยู่ด้านหลัง
ได้ยินมาว่าด้านหลังม่านนั้นคือสำนักหลิงเซียว!
“เห็นว่าด้านนอกสำนักหลิงเซียว มีค่ายกลที่ถูกสร้างจากพลังปราณศักดิ์สิทธิ์ด้วย ใครก็ตามที่ต้องการจะเข้าไปด้านใน จะต้องได้รับบัตรผ่านในฝางโจวก่อน”
ตู๋กูโม่เป่าอธิบาย
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้ารับ
ยามนี้พวกเขาสองคนได้ปลอมตัวกันอย่างแนบเนียนและระมัดระวังสุดๆ
ฉู่หลิวเยว่สวมชุดคลุมสีฟ้าสดใสพร้อมพันเข็มขัดหยกสีขาวไว้รอบเอว นางสวมมงกุฎสีทองไว้บนศีรษะ ยืดกายอกผายเสริมให้กายาสูงโปร่งนั่นดูหนาขึ้น ไหนจะโครงหน้าอันหล่อเหลานั่นอีก
มองเผินๆ แล้วดูราวกับคุณชายจากตระกูลดังผู้มั่งคั่งสักคน
นางไม่ได้แต่งเพื่อโอ้อวด แต่ก็ไม่อยากให้ใครมาดูถูกกัน
ตู๋กูโม่เป่าที่อยู่ข้างๆ นางเองก็เปลี่ยนสีผมและดวงตาให้เป็นสีดำแบบเดียวกันกับนาง เมื่อเทียบกับตอนแรก ยามนี้รูปร่างหน้าตาของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย
จากตุ๊กตาหิมะขาวๆ กลมๆ น่ารักน่าชังที่สุดในจักรวาล สู่ตุ๊กตาหิมะน่ารักน่าชังระดับสามัญชนทั่วไป
เมื่อก่อนเวลาเดินไปตามท้องถนน เหล่าพี่สาวและแม่ๆ ต่างจ้องจะเข้ามามอบความรักความเอ็นดูให้กับเด็กน้อยตัวกลมผู้นี้แทบทุกคน
แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้ เขาจะขยาดกับเสน่ห์กลิ่นนมผงเช่นนี้มาก และจงใจปลอมตัวให้ตัวเองดูธรรมดาแบบสุดๆ
นอกจากแววตาอันเย็นชาและเฉยเมยแล้ว ทุกอย่างล้วนแตกต่างจากเมื่อก่อนแทบทั้งสิ้น!
หากผู้คนที่สัญจรไปมามิได้สังเกตให้ดีๆ ก็แทบมองไม่เห็นสิ่งผิดปกติใดๆ
“บัตรผ่าน…”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำ
ก่อนมาที่นี่ นางเคยได้ยินตู๋กูโม่เป่าพูดถึงมันอยู่
สำนักหลิงเซียวมีการป้องกันที่แน่นหนา และผู้ใดที่ต้องการเข้าออกจะต้องมีบัตรผ่าน
ซึ่งถ้าอยากได้บัตรผ่านมาครอบครอง ก็มีเพียงสองวิธีเท่านั้น
วิธีแรกคือ ต้องมีความข้องเกี่ยวกับคนในสำนักหลิงเซียว
ส่วนอีกวิธีก็คือ ตามหาท่านอาจารย์ของสำนักหลิงเซียวที่ปะปนอยู่ฝางโจว หลังจากผ่านการทดสอบของพวกเขา ก็จะได้มาเป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียว
วิธีแรกค่อนข้างง่ายกว่า แต่ก็มีข้อเสียเช่นกัน เพราะเมื่อเข้าไปแล้วพวกเขามีเวลาจำกัด
อีกทั้งฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถเปิดเผยตัวตนได้ จึงทำได้เพียงเลือกวิธีที่สอง
กำหนดการรับสมัครลูกศิษย์ของสำนักหลิงเซียวนั้นเป็นอันใดที่ไม่แน่นอน
ตราบใดที่มีความสามารถ จะมาสมัครเมื่อใดก็ย่อมได้
ดังนั้นทุกๆ วันจะมีผู้คนจากทั่วทุกสารทิศในอาณาจักรเสิ่นซวี่เดินทางเข้าออก เพื่อพยายามหาทางเข้าไปศึกษาในสำนักหลิงเซียว
ส่วนคนที่เกิดและเติบโตในฝางโจวเองก็พยายามฝึกฝนและสู้ต่อไปเรื่อยๆ
นี่เป็นสาเหตุที่ฝางโจวนั้นดูครึกครื้นมีชีวิตชีวา
แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ทำได้สำเร็จ
“ไปกันเถอะ!”
ฉู่หลิวเยว่สูดหายใจเข้าลึกๆ
แต่ตู๋กูโม่เป่ากลับส่ายหัว
“หลังจากเข้าเมืองฝางโจว ข้าจักมิได้ร่วมทางไปกับเจ้าแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึง
ตู๋กูโม่เป่าชะงัก แต่พอเห็นสีหน้างุนงงของนาง เขาก็จำต้องอธิบายว่า
“ข้ามีคนรู้จักสองสามคนที่นี่ ข้าจะไปเยี่ยมพวกเขาสักหน่อย แล้วข้าจะรอเจ้าอยู่ที่สำนักหลิงเซียว”
ฉู่หลิวเยว่เบิกตากว้าง
ก่อนจะตระหนักได้ว่านางมองข้ามอันใดบางอย่างมาโดยตลอด
“…ความจริงแล้วเจ้าเข้าออกสำนักหลิงเซียวได้อย่างอิสระหรือ?!”
ตู๋กูโม่เป่าเลิกคิ้วขึ้น
“แปลกมากหรือไร?”
น้ำเสียงของเขาปกติมาก ถึงจะฟังดูเย่อหยิ่งแต่กลับเอ่ยออกมาได้อย่างสบายๆ จนฉู่หลิวเยว่เริ่มสงสัยกับตัวเอง
แต่หลังจากคิดอย่างรอบคอบแล้ว ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าคำถามของนางนั้นช่างดูไร้สาระ
ตู๋กูโม่เป่าทรงพลังมาก ไม่แปลกที่เขาจะทำเช่นนี้ได้
นางแสร้งกระแอมสองสามที
“ไม่ ไม่แปลกเลย…”
“อย่าให้ข้ารอนานล่ะ”
ครั้นสิ้นประโยค ห้วงมิติรอบด้านพลันสั่นไหว ร่างของเขาเปล่งแสงสว่างวาบ ก่อนจะหายวับไปต่อหน้าต่อตาฉู่หลิวเยว่!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ตัดบทกันอย่างนี้เลยหรือ…
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็มองไปรอบๆ
ความจริงแล้วที่นี่มีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ไม่ต่ำกว่าสิบเครื่อง แต่โชคดีที่ตำแหน่งเคลื่อนย้ายของนางค่อนข้างห่างไกล และไม่มีคนอยู่บริเวณนี้ จึงไม่มีใครสังเกตเห็นนาง
นางรวบรวมสติให้มั่น แล้วยกเท้าก้าวเดินไปข้างหน้า!
…
เมื่อเดินเข้าไปใกล้เรื่อยๆ ฉู่หลิวเยว่ก็พบว่าฝางโจวนั้นแตกต่างจากเมืองทั่วไป
ที่ทางเข้าที่นี่ไม่มีผู้คุมเลยสักคน
ไม่แม้แต่ประตูหลัก!
ทั้งซ้ายและขวาล้วนเป็นกำแพงที่ทำจากหินสีเทาและสีขาว ตรงกลางมีประตูทรงกลมคล้ายขนาดใหญ่อุโมงค์ แถมยังมีร่องรอยความเสียหายบริเวณด้านข้างประตู ราวกับว่าถูกฟันด้วยกระบี่
พอดูดีๆ แล้วเหมือนว่ามัน…ถูกฟันอย่างสะเปะสะปะด้วย
สถานที่แห่งนี้มีผู้คนเดินทางเข้าออกมากมาย
พูดตรงๆ ก็คือ คนส่วนใหญ่เข้าไปและมีเพียงบางส่วนที่กลับออกมา
ซึ่งคนส่วนใหญ่ที่เข้าไปในนั้น ล้วนเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวัง
ส่วนคนที่กลับออกมานั้น ล้วนเต็มไปด้วยความหดหู่และสิ้นหวัง พร้อมกับความเสียใจที่ปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาอย่างปิดไม่มิด
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้เป็นผู้ฝึนตนที่ยอมแพ้ในการเข้าสำนักหลิงเซียว
ฉู่หลิวเยว่ยกเท้าขึ้น พลางก้าวเข้าไป
ทว่าในขณะก้าวผ่านประตูไปนั้น จู่ๆ ก็มีคลื่นความผันผวนพุ่งออกมาจากไข่มุกธาราในกายของนาง!
พร้อมความรู้สึกคุ้นเคยแปลกๆ ที่พุ่งเข้ามาในจิตใจ!
——————————————-