ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1110 อึดอัดใจ
ตอนที่ 1110 อึดอัดใจ
เมื่อเห็นสีหน้าโล่งใจของผู้อาวุโสทั้งสอง ฉู่หลิวเยว่ก็แอบรู้สึกตงิดใจแปลกๆ
ถึงนางจะไม่ทราบว่าการที่พวกเขาถามแบบนี้ จะหมายถึงตัวอักษรที่พ้องเสียง “เยว่” ตัวไหน แต่ลึกๆ แล้วนางสัมผัสได้ว่ามันน่าจะเป็นตัวอักษร “เยว่” ตามชื่อจริงของนางนี่แหละ
แต่นางมิได้แสดงสีหน้าคับข้องใจใดๆ ออกไป และทำเพียงแสร้งทำเป็นไม่เห็นความผิดปกตินี้
“คือว่า ตอนนี้ข้าน้อยจะเริ่มการทดสอบได้หรือไม่?”
“เริ่มเลยๆ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสบายใจขึ้นเป็นกอง พลันตอบกลับอย่างไว
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ แล้ววางมือของนางไว้บนผลึกสีแดงที่อยู่อีกด้านหนึ่ง!
ผู้คนรอบข้างเริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง
“เหมือนเขาจะอายุน้อยอยู่เลยนะ เจ้าว่าเขาจะผ่านเกณฑ์การรับได้จริงหรือ?”
“แต่รูปร่างหน้าตาของเขาดูภูมิฐานมาก น่าจะมีภูมิหลังที่ไม่เลวเลย? หรือบางทีอาจจะเป็นลูกหลานตระกูลขุนนางก็ได้!”
“หรือแค่อาจมาเที่ยวเล่นหาเรื่องสนุกทำไปวันวัน…”
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจแล้วตั้งสมาธิ
ไม่นานก็มีตัวอักษรปรากฏขึ้นบนผลึกสีแดง
“อายุสิบหกหนาว เซียนหมอระดับแปด!”
ฝูงชนรอบด้านพลันเงียบเสียงลงทันที
ผู้อาวุโสเหวินซีลุกพรวดขึ้นยืน ผู้อาวุโสฮวาเฟิงตกตะลึงราวสมองหยุดทำงานไปชั่วขณะ และเกือบจะล้มลงกับพื้น
ปกติแล้วเขาจะต้องหันไปเล่นสงครามประสาทกับผู้อาวุโสเหวินซีสักหนึ่งยก แต่ตอนนี้ไม่สนใจเรื่องนั้นเลยสักนิด
“เจ้าเพิ่งอายุสิบหกหรือ!?”
“เจ้าเป็นเซียนหมอระดับแปดหรือ!?”
ผู้อาวุโสทั้งสองคนตะโกนพร้อมกันด้วยความตกใจ!
ไม่แปลกใจที่พวกเขาสองคนจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้ เพราะนี่มันเป็นเรื่องที่น่าตกใจมากๆ!
ในอาณาจักรเสิ่นซวี่แห่งนี้ การมีเซียนหมอระดับแปดนั้นมิใช่เรื่องประหลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสำนักหลิงเซียวที่ซึ่งรวบรวมยอดฝีมือไว้มากมาย
จนมิอาจนับได้ว่า มีผู้ที่โดดเด่นและมากด้วยพรสวรรค์มารวมตัวกันอยู่ที่นี่กี่คน!
และผู้ที่สามารถทำหน้าที่ผู้อาวุโสของสำนักวิชาได้นั้น ต่างเป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งและหาตัวจับได้ยาก
อยู่ในสำนักหลิงเซียวมาตั้งหลายปี ผีสางนางไม้ยังไม่เคยพบเคยเห็น?
แต่หนุ่มน้อยที่อยู่ด้านหน้า กลับทำให้พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
และประเด็นสำคัญก็คือ…เขาอายุสิบหกหนาว ยังเด็กยิ่งนัก!
แต่สามารถทะลวงขึ้นสู่เซียนหมอระดับแปดได้ในวัยเท่านี้ แม้แต่ในสำนักหลิงเซียวที่เต็มไปด้วยยอดฝีมือ ก็ยังแทบหาคนประเภทนี้ไม่ได้!
ฉู่หลิวเยว่กระแอมเบาๆ
ลืมไปเลยว่านางในร่างนี้เป็นเพียงเด็กอายุสิบหกเท่านั้น…
“มิทราบว่าข้า…ผ่านการทดสอบหรือไม่ขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถาม
“ผ่านสิ! ผ่านแน่นอน!”
ผู้อาวุโสเหวินซีตะโกนตอบเสียงดังลั่น
ถ้าแค่นี้เขาไม่ให้ผ่าน เช่นนั้นคนก่อนหน้าก็ยิ่งไม่มีสิทธิ์ผ่าน!
ผู้อาวุโสทั้งสองจ้องมองเด็กหนุ่มตรงหน้าอย่างพิจารณา พวกเขาทั้งดีใจและแอบหงุดหงิดไปพร้อมกัน
พวกเขาดีใจที่ได้พบกับอัจฉริยะที่หายากอีกคนหนึ่ง
แต่ก็น่าหงุดหงิดที่เจ้าตัวนั้นเชี่ยวชาญด้านเซียนหมอ
ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ ผู้อาวุโสเหวินซีก็พลันดึงสติกลับมา และรีบหยิบตราหยกสีดำออกมาแล้วมอบมันให้นาง
“อ่ะ นี่คือบัตรผ่านของเจ้า และมันจะเป็นเครื่องยืนยันตัวตนของเจ้าหลังจากเข้าไปในสำนักวิชาด้วย จงเก็บรักษาให้ดี!”
“ขอบพระคุณท่านผู้อาวุโส”
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือสองข้างออกไปรับมัน พลางยิ้มรับและกล่าวอย่างสุภาพ
ทุกการกระทำและคำพูดของนาง ทำให้คนรอบข้างมิอาจจับผิดนางได้
นางถือตราหยกสีดำไว้ในมือ แล้วถ่ายเทพลังปราณดั้งเดิมเข้าไป
ตราสัญลักษณ์ของสำนักวิชาเปล่งแสงจางๆ
ก่อนจะมีชื่อของฉู่หลิวเยว่ หรือ ฉู่เยว่ ปรากฏขึ้นด้านล่าง
นางมองดูตราหยกสีดำในมือของตนอย่างพินิจพิเคราะห์
ก่อนหน้านี้สำนักยังเป็นอันใดที่นางได้แต่วาดฝันถึงอยู่เลย แต่ตอนนี้นางกลับได้เป็นหนึ่งในศิษย์ของที่นั่นแล้ว
คนรอบข้างล้วนมองภาพนั้นด้วยความอิจฉา
ผู้อาวุโสเหวินซีเหลือบมองท้องฟ้า ก่อนจะหันมายิ้มเยาะใส่ผู้อาวุโสฮวาเฟิง
“เจ้าเด็กน้อยสี่คนนี้ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของข้าแล้ว!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหน้ามุ่ยไม่สบอารมณ์
“แค่โชคช่วยเถอะ!”
ผู้อาวุโสเหวินซีไม่สนใจการตัดพ้อของอีกฝ่าย
ไว้กลับไปถึงสำนักเมื่อไร คราวนี้เขาจะคุยโวโอ้อวดให้ทั่วสำนักวิชาไปเลย!
“หึ หึ เมื่อวานข้าอิจฉาไอ้แก่เหลียงเซี่ยที่มันได้ปรมาจารย์เก่งๆ ไป เด็กคนนั้นอายุน้อยทว่าชำนาญด้านการสร้างค่ายกลเคลื่อนย้ายมาก แต่คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้ข้าจะโชคดียิ่งกว่า!”
ฉู่หลิวเยว่ถึงกับหูกระดิกด้วยความใคร่รู้
คนผู้นั้น…
น่าจะเป็นหลินจือเฟย
เพราะนางใช้ทางอ้อมและมาถึงที่นี่ช้ากว่าเขานิดหน่อย
แต่แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน
เนื่องจากฉู่หลิวเยว่มิได้บอกหลินจือเฟย ว่านางเองก็จะมาที่นี่เช่นกัน
และหลังจากนี้ไป…นางจะใช้ชีวิตอยู่ในสำนักวิชาแห่งนั้นในฐานะบุรุษผู้มีนามว่า ฉู่เยว่
เรื่องบางเรื่อง ยิ่งมีคนรู้น้อยเท่าไรก็ยิ่งปลอดภัย
“เหอะ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงสบถอย่างเย็นชา
“เชิญเจ้าสนุกไปเถอะ! ระวังเจ้าเด็กมหันต…”
ทว่าพูดยังไม่ทันจบ เขาก็ตระหนักได้ว่าบริเวณนี้ยังมีผู้คนมากมายเฝ้ามองอยู่ ดังนั้นผู้อาวุโสฮวาเฟิงจึงรีบปิดปากฉับอย่างรวดเร็ว
แต่ชัดเจนว่าประโยคเมื่อครู่ส่งผลต่อผู้อาวุโสเหวินซีมาก
เขาหยุดทำตัวคุยโวโอ้อวดทันที พลันมองไปรอบๆ อย่างหวาดระแวง
หากผู้อาวุโสฮวาเฟิงไม่พูด เขาคงจะลืมไปแล้ว!
“เอาล่ะ ได้เวลาแล้ว ฮวาเฟิง จากนี้เจ้าก็รับหน้าที่ต่อแล้วกัน ข้าจะพาเจ้าพวกนี้กลับไปยังสำนักวิชาก่อน!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงลุกพรวดขึ้นมาอย่างไว
“เจ้าจะไปแล้ว? ก่อนหน้านี้เจ้าพูดอันใดไว้นะ?!”
พวกเราตกลงว่าจะไม่ทิ้งกันมิใช่หรือ?
แต่ตอนนี้เขาจะจากไปแล้ว เช่นนั้นถ้าเจ้าเด็กมหันตภัยนั่นมา แล้วเขาคนเดียวจะรับมือไหวหรือ!?
แต่ผู้อาวุโสเหวินซีกลับลูบเคราตัวเองเล่นราวไม่สนใจ
“ไอ่หยา! ก็มันช่วยไม่ได้จริงๆ! เจ้าเห็นหรือไม่ว่ามีเด็กกี่คนรอข้าอยู่! ข้าต้องรีบพาพวกเขาไปส่งให้เร็วที่สุด! เจ้าเองก็อดทนรอก่อน อีกไม่กี่ชั่วยามก็มีคนมาเปลี่ยนพลัดแทนเจ้าแล้ว”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงกัดฟันด้วยความโกรธ
พูดดีเข้าตัวจริงๆ!
ถ้าเป็นเวลาปกติ จะให้เขานั่งเฝ้าอยู่ที่นี่คนเดียวทั้งปีทั้งชาติก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ!
แค่คิดว่าตอนนี้เจ้าตัวร้ายนั่นหลบมุมอยู่ที่ไหนสักแห่งเพื่อหาโอกาสโจมตีเขา ก็พลันรู้สึกแย่ขึ้นมาแล้ว!
“ละ หลังจากกลับไปแล้วเจ้ารีบส่งคนมาเลยนะ!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงเอาแต่คิดเรื่องเดิมซ้ำๆ และถึงกับยอมแพ้ให้อีกคน
ผู้อาวุโสเหวินซีตอบตกลงในทันที
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองผู้อาวุโสทั้งสอง และแอบตั้งข้อสงสัยบางอย่างในใจ
แปลกมาก…
ไฉนถึงรู้สึกว่า เหมือนพวกเขากำลังหวาดกลัวอันใดบางอย่าง?
ที่นี่คืออาณาเขตของฝางโจว และถ้ามุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ แล้วข้ามผ่านค่ายกลสีเงินขนาดใหญ่นั่นไป ก็จะพบกับสำนักหลิงเซียว
จะเรียกว่ามันคือฐานทัพของพวกเขาก็ว่าได้
แต่แล้วสิ่งใดกัน ที่ทำให้พวกเขาระแวดระวังเช่นนี้?
พวกของหลัวซือซือเองก็สังเกตเห็นความผิดปกตินี้ แต่พวกเขามิได้ใคร่รู้เท่าฉู่หลิวเยว่ และคิดเพียงว่าผู้อาวุโสทั้งสองอาจมีกิจอื่นที่ต้องทำ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้สนใจมากนัก
แต่ฉู่หลิวเยว่ต่างหาก ที่ทำให้พวกเขาสนใจเป็นอย่างมาก จนเผลอเหลือบมองฉู่หลิวเยว่หลายครั้ง
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะให้สามสหายและเริ่มทักทาย
“ข้าน้อย ฉู่เยว่ หลังจากนี้ก็ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยขอรับ”
ท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวและสุภาพเช่นนี้ ทำให้หลัวซือซือและคนอื่นๆ เลิกตั้งอคติใส่นาง แล้วเริ่มทำตัวเป็นมิตรขึ้นมาบ้าง
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจักมีความสามารถเช่นนี้!”
จัวเซิงยกมือสองข้างขึ้นกอดอก สีหน้าของเขายังมีร่องรอยของความอึดอัดปะปนอยู่เล็กน้อย
พูดตามตรงอีกฝ่ายมีทักษะและพรสวรรค์มากกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด และย้อนกลับไปตอนเดินเข้าประตูเมือง เขายังไปทำตัวเช่นนั้นใส่อีกฝ่าย…
จัวเซิงรู้สึกอับอายหน่อยๆ
ทว่าศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายกับความกระหายในการแก่งแย่งชิงดี ทำให้เขาไม่ยอมก้มหัวกล่าวขอโทษใครง่ายๆ และทำได้เพียงพูดชมออกไปเก้ๆ กังๆ เช่นนั้น
แต่ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้เก็บไปใส่ใจ และหัวเราะเบาๆ
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
——————————————-