ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1111 เหนื่อยล้า
ตอนที่ 1111 เหนื่อยล้า
ถึงท่าทีก่อนหน้านี้ของจัวเซิงจะดูไม่ค่อยสุภาพนัก แต่จริงๆ เขาก็ไม่ได้เลวร้ายอันใด
การที่สามารถออกมายอมรับความพิเศษของนางได้นั้นนับว่าแข็งแกร่งกว่าใครหลายคนนัก
เพราะในความเป็นจริงนั้นมีหลายคน ที่แม้แต่การยอมรับในความสามารถผู้อื่นก็ยังทำไม่ได้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ก็ตระหนักได้อย่างแจ่มชัดว่า ผู้แข็งแกร่งพึงได้รับความเคารพ! นี่เป็นกฎเพียงหนึ่งเดียวของที่แห่งนี้!
แม้แต่สำนักหลิงเซียวก็ไม่มีข้อยกเว้น!
เมื่อเห็นใบหน้าท่าทางที่ดูยิ้มแย้มแจ่มใสของฉู่หลิวเยว่ ราวกับไม่ได้นำเรื่องเล็กน้อยนี้มาใส่ใจ ความรู้สึกอึดอัดที่ติดค้างอยู่ในใจของจัวเซิง ก็พลันหายวับไปจนหมดสิ้น
เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ให้มันได้แบบนี้สิ! ท่ามกลางพวกเราสามคน เจ้าอายุน้อยที่สุด ไหนเรียกข้าว่าท่านพี่สิ!”
เพี๊ยะ!
ผู้อาวุโสเหวินซีตบเข้าที่ท้ายทอยจัวเซิงอย่างไร้ความปรานี
“พวกเจ้าเข้ามาในสำนักวันเดียวกัน ก็เท่ากับเป็นรุ่นเดียวกัน!”
“โอ๊ย” จัวเซิงร้องอุทาน
หลัวซือซือและคนอื่นๆ พากันหัวเราะ
“พวกเจ้าทั้งหมดมากับข้า”
ผู้อาวุโสเหวินซีกวักมือเรียกและพาพวกเขาออกไป
ด้านผู้อาวุโสฮวาเฟิงก็ตะโกนไล่มาจากด้านหลังด้วยความเศร้าสร้อย
“เจ้าอย่าได้ลืมเรื่องที่รับปากไว้เมื่อครู่เชียวล่ะ!”
จากนั้นผู้อาวุโสเหวินซีก็เดินทางออกไปอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
…
ไม่นานกลุ่มคนก็มาถึงหน้าค่ายกลขนาดใหญ่
ครั้นมองไปยังค่ายกลที่ทอประกายส่องแสงระยิบระยับจางๆ นั้น หลัวซือซือและคนอื่นๆ ก็ไม่สามารถซ่อนความตื่นเต้นของพวกเขาได้
ผู้อาวุโสเหวินซีกล่าวว่า
“ประเดี๋ยวสิ่งที่เจ้าต้องทำก็แค่ถือตราหยกสีดำไว้ในมือ แล้ววางลงบนค่ายกล จากนั้นก็จะสามารถเปิดมันและเข้าไปด้านในได้อย่างราบรื่น!”
ขณะอธิบาย ผู้อาวุโสเหวินซีก็ชี้ไปทางหลัวเยี่ยนหมิงที่ดูหนักแน่นที่สุดในหมู่พวกเขา
“หลัวเยี่ยนหมิง เจ้ามาก่อน”
“ขอรับ”
หลัวเยี่ยนหมิงสูดหายใจเข้าเต็มปอด ก่อนจะก้าวไปข้างหน้า
ครั้นเข้าไปยืนใกล้ๆ เขาก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่ยากจะอธิบายได้อย่างชัดเจน!
พลังของมันชวนให้ผู้คนรู้สึกยำเกรงโดยไม่รู้ตัว!
เขาเริ่มมีสีหน้าจริงจังมากขึ้น ก่อนจะยกมือขึ้นมาแล้ววางตราหยกสีดำลงบนค่ายกลอย่างระมัดระวัง
หึ่ง!
เสียงหวีดแหลมดังมาจากบริเวณเหนือค่ายกล และในขณะเดียวกันนั้น ก็มีลำแสงปรากฏขึ้นเหนือตราหยกสีดำ!
ไม่นานค่ายกลก็เริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง พื้นที่ตรงกลางด้านหน้าค่อยๆ แยกออกจากกันจนเกิดเป็นทางเข้า!
ดวงตาของหลัวเยี่ยนหมิงเป็นประกาย ก่อนจะกระโดดเข้าไปข้างใน!
ทันทีที่ร่างของเขาหายไป ค่ายกลก็ปิดลงทันที!
“พลังป้องกันของค่ายกลประจำสำนักนั้นแข็งแกร่งมาก มีเพียงการใช้บัตรผ่านเท่านั้นจึงจะสามารถเปิดมันได้ และหลังจากที่พวกเจ้าใช้บัตรผ่านเข้าสู่สำนักแล้ว ก็จะมีบันทึกการเข้าออกของพวกเจ้าหลงเหลือไว้ด้วย”
ผู้อาวุโสเหวินซีอธิบาย
“บันทึกหรือเจ้าคะ?”
หลัวซือซือเอ่ยถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย
“ใช่แล้ว หลังจากที่ค่ายกลบันทึกข้อมูลทั้งหมดนี้ มันจะรวบรวมและจัดระเบียบโดยอัตโนมัติ แต่ถึงกระนั้น โดยทั่วไปแล้วผู้ที่สามารถเข้าถึงข้อมูลเหล่านี้ได้มีเพียงเจ้าสำนักเท่านั้น”
จริงๆ แล้วนี่ก็เป็นการแสดงให้เห็นถึงการคุ้มกันที่แน่นหนาอย่างหนึ่ง
ทั้งหลัวซือซือและจัวเซิงพากันพยักหน้าอย่างใช้ความคิด ใบหน้าฉายแววประหลาดใจ
“เช่นนี้นี่เอง!”
สำนักหลิงเซียวนี่ช่างสมคำร่ำลือจริงๆ!
แต่ด้านฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำกล่าวนั้น
เช่นนี้ก็หมายความว่า ใครก็ตามที่เข้าและออกสำนักหลิงเซียวล้วนมีร่องรอยทิ้งไว้
แล้ว…ตู๋กูโม่เป่าเล่า?
ก่อนหน้านี้เขาบอกว่าเขาจะรอนางในสำนัก เช่นนั้นตอนนี้เขาน่าจะอยู่ข้างในแล้วหรือไม่?
แต่ก็ไม่รู้ว่าท้ายที่สุดแล้วเขาจะเข้าไปอย่างใด
หากพิจารณาจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว ทุกอย่างยังคงสงบไร้ซึ่งความผิดปกติ
“คนต่อไป จัวเซิง!”
จัวเซิงดูตื่นเต้น เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วก่อนจะวางแผ่นหยกดำไว้บนนั้น เหมือนกับที่หลัวเยี่ยนหมิงทำก่อนหน้า
ภาพเหตุการณ์เกิดขึ้นซ้ำดังเดิม!
เขาเบี่ยงตัวเดินเข้าไปในค่ายกลอย่างรวดเร็ว!
ผู้อาวุโสเหวินซีหันมาเร่งรัดหลัวซือซือ พลางกวักมือเรียกพร้อมยิ้มให้
หลัวซือซือเองเข้าไปได้อย่างราบรื่นเช่นกัน
และในที่สุดก็ถึงคราวของฉู่หลิวเยว่
“เอาล่ะ ไอ่หนู ถึงตาเจ้าแล้ว!”
ผู้อาวุโสเหวินซีตะโกนเรียก
ฉู่หลิวเยว่เองก็ก้าวไปข้างหน้าเช่นเดียวกับที่คนอื่นๆ ทำก่อนหน้านี้
ขณะนี้นางอยู่ห่างจากค่ายกลเพียงก้าวเดียว
นางหยิบตราหยกสีดำออกมา
และในขณะนั้นเองที่จู่ๆ ก็มีภาพหนึ่งก็แวบเข้ามาในหัวนาง!
ในภาพเหมือนกับมีบุคคลคนหนึ่งที่ยืนอยู่เบื้องหน้าค่ายกลนี้เช่นกัน
ร่างของคนผู้นั้นเลือนรางและมองเห็นได้ไม่ชัดเจนนัก
แต่นี่ก็มิได้เป็นอุปสรรคต่อฉู่หลิวเยว่ในการมองเห็น นางเห็นภาพมือสองข้างที่งดงามและสะอาดผุดผ่อง
ครั้นปลายนิ้วพลิ้วไหว ลำแสงหลายสายก็พุ่งออกมา สลับไปมากลางอากาศ
และเพียงชั่วพริบตา ค่ายกลขนาดเล็กก็ก่อตัวขึ้น
แม้ว่าค่ายกลนั้นจะมีขนาดไม่ใหญ่นัก แต่มันกลับมีจำนวนมากมายและซับซ้อนยุ่งเหยิง ลายเส้นอักขระจำนวนนับไม่ถ้วนสลับทับซ้อนกันไปมา เจิดจ้าราวกับลำแสงของดวงดาวที่ชวนให้รู้สึกตาพร่ามัว
ต่อมาคนผู้นั้นก็ส่งค่ายกลขนาดเล็กไปข้างหน้า
และค่ายกลนั่นก็ลอยมาติดเหนือค่ายกลขนาดใหญ่
หึ่ง!
เกิดเสียงหึ่งดังขึ้นจากค่ายกลอันใหญ่
จากนั้น เหนือขึ้นไปก็ปรากฏลายเส้นอันสว่างไสวจำนวนนับไม่ถ้วน!
…นั่นคือค่ายกลที่ฝังอยู่ในค่ายกลขนาดใหญ่!
และถูกเปิดใช้งานพร้อมกับค่ายกลอันใหญ่!
ค่ายกลอันใหญ่เล็กต่างยึดติดกัน และดูเหมือนจะเกิดความเชื่อมโยงบางอย่างที่แน่นแฟ้น
ต่อมาคนผู้นั้นก็ใช้มือข้างหนึ่งแตะลงบนค่ายกลขนาดเล็กเบาๆ
ค่ายกลอันเล็กพลันแตกออกเป็นเสี่ยงๆ
ขณะเดียวกัน ค่ายกลขนาดใหญ่เองก็แตกออกเช่นกัน!
เหนือค่ายกลขนาดใหญ่ เกิดช่องโหว่ขึ้นกลางอากาศอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย!
เมื่อรอยร้าวขยายกว้างพอที่จะให้คนผ่านไปได้ ร่างอันคลุมเครือนั้นก็กระโดดเข้าไปทันที!
ความเร็วนั้นว่องไวเสียจนฉู่หลิวเยว่เองมองไม่ทัน
แต่หลังจากที่ร่างนั้นหายไป นางก็เห็นเต็มสองตาว่าช่องว่างเหนือค่ายกลขนาดใหญ่นั้นได้กลับสู่สภาพเดิมแล้ว!
เหมือนดังเดิมไม่มีผิดเพี้ยน!
หากไม่ประจักษ์ชัดด้วย “ตาของตนเอง” เกรงว่าคงไม่มีผู้ใดเชื่อว่าค่ายกลนั่นถูกใครคนหนึ่งเปิดออกอย่างง่ายดาย!
แต่ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่กำลังตกตะลึงกับภาพนิมิต จู่ๆ ก็มีเสียงดุด่ากระแทกเข้ามาในหัวอย่างฉุนเฉียว
“นังหนู นี่เจ้าแอบเปิดค่ายกลอีกแล้วหรือ!? กลับไปหันหน้าเข้ากำแพงสำนึกผิดซะ!!!”
จากนั้นภาพก็หายไป
สีหน้าฉู่หลิวเยว่เริ่มบิดเบี้ยว
“มีอันใดหรือ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีสังเกตเห็นความผิดปกติของนาง และอดไม่ได้ที่จะถาม
“ไม่มีอันใดขอรับ”
ครั้นฉู่หลิวเยว่ได้สติกลับมาก็พลันส่ายหัว ก่อนจะหยิบตราหยกสีดำออกมา
จากนั้นนางก็ชะงักไปเล็กน้อย และมองไปยังผู้อาวุโสเหวินซีที่อยู่ข้างๆ แล้วเอ่ยถามว่า
“ผู้อาวุโสเหวินซี ผู้อาวุโสฮวาเฟิงท่าน…ปกติมีหน้าที่เฝ้าค่ายกลหรือขอรับ?”
ผู้อาวุโสเหวินซีชะงักไปครู่หนึ่ง และมองนางด้วยความประหลาดใจ
“เหตุใดเจ้าจึงนึกถามเช่นนี้?”
ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มเล็กน้อย
“ค่ายกลขนาดใหญ่นี้มีพลังของค่ายกลขนาดเล็ก ข้าเพิ่งได้ยินมาว่าผู้อาวุโสฮวาเฟิงเป็นปรมาจารย์ เช่นนั้น…”
“โดยปกติค่ายกลของสำนักจะมีผู้อาวุโสหลายคนคอยคุ้มกัน และแต่ละคนก็จะรับผิดชอบในพื้นที่ที่ต่างกัน เมื่อก่อนฮวาเฟิงเคยทำสิ่งนี้ แต่ภายหลังเขาก็หยุดทำไปเสียดื้อๆ”
ผู้อาวุโสเหวินซียักไหล่ สีหน้าของเขาดูอ่อนไหวเล็กน้อย
“เขาบอกว่ามันเหนื่อยเกินไป”
ฉู่หลิวเยว่ “…”
สำหรับปรมาจารย์ผู้แข็งแกร่งแล้ว การดูแลค่ายกลดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องหนักหนาสาหัสแต่อย่างใด…
ฉู่หลิวเยว่นึกถึงเสียงตะโกนด้วยความหงุดหงิดที่แวบเข้ามาในหัวของนางเมื่อครู่
อือ…ดูเหมือนผู้อาวุโสฮวาเฟิงจะพูดถูก…
เพียงแต่ไม่รู้ว่าผู้ที่เขาตะโกนเรียกหาคือผู้ใด
ไม่ต้องใช้ตราหยกสีดำ ทว่าใช้เพียงค่ายกลขนาดเล็กที่ตนเองสร้างขึ้น ก็สามารถเปิดค่ายกลได้ ดูเหมือนจะมีความสามารถมากเลยทีเดียว
ฉู่หลิวเยว่สลัดความคิดออกไป และนึกถึงเมื่อตอนที่กำลังเข้าเมืองมาก่อนหน้า จากนั้นก็เกิดคลื่นความผันผวนขึ้นในจุดตันเถียนของนาง ดวงตากลมโตทอประกายวาววับ
นางพยายามดึงสติไว้ให้มั่น แล้วระงับไข่มุกธาราในจุดตันเถียน พลางรวบรวมพลังปราณดั้งเดิม แล้วถ่ายเทมันลงในตราหยกสีดำ!
หึ่ง!
ค่ายกลเปิดแล้ว!
——————————————-