ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1113 สายฟ้าฟาด
ตอนที่ 1113 สายฟ้าฟาด
ประกายในนัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่สว่างวาบเล็กน้อย รอยยิ้มบนดวงหน้านางเลือนหายไปในบัดดล
นางกะพริบตาถี่ ทำหน้าตาบริสุทธิ์ใสซื่อประหนึ่งว่าไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อยว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น
สายตาเช่นนี้ที่ทอดมองกลับมาทำให้ในใจผู้อาวุโสเฉียวอีบังเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง
“เหอะ! ไม่ ไม่มีอันใด…ก็แค่รู้สึกว่าเจ้าตอนยิ้มนั้นช่างดูคุ้นตานัก…ไม่ชินเอาเสียเลย…”
ผู้อาวุโสเหวินซีกำลังจะเอ่ยว่าเขาทำตัวเป็นกระต่ายตื่นตูมเพราะอันใด ทว่าเมื่อเหลือบตามอง ก็เห็นนัยน์ตาของฉู่หลิวเยว่หดหรี่ลงเข้าพอดิบพอดี
นัยน์เนตรอันแยกดีชั่วแจ้งชัดเจนคู่นั้นสะอาดเป็นประกายใส ยามพินิจอย่างถี่ถ้วนก็สามารถเปรียบได้กับบ่อน้ำพุลึกล้ำ แลดูเย็นใส ทว่าแฝงด้วยประกายลึกลับพาให้คาดเดาอันใดมิได้
เมื่อมองดูแบบผิวเผินเช่นนี้ ก็ดูราวกับหายนะในคราบเทพธิดาอันใดทำนองนั้นจริงๆ…
มิน่าเล่าเฉียวอีถึงได้ออกท่าทางเสียใหญ่โตปานนี้
“ผู้อาวุโสเหวินซี ข้าทำอันใดผิดไปหรือเปล่าขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตากลับมาเล็กน้อย มองประหนึ่งว่ากำลังขอความช่วยเหลือทางสายตาจากผู้อาวุโสเหวินซีก็มิปาน
เมื่อถูกดวงเนตรคู่นั้นของนางจับจ้องเข้า ผู้อาวุโสเหวินซีพลันใจกระตุกกึกอย่างไม่ทราบสาเหตุ
“ไม่เลย! เมื่อครู่มิใช่ว่าเขาเพิ่งพูดไปหรือว่าเห็นเจ้าเหมือนคน…คน…ผู้หนึ่ง ใช่! เขาเห็นเจ้ากับคนผู้หนึ่งคล้ายคลึงกันนัก! อย่าไปใส่ใจนักเลย อื้ม!”
ผู้อาวุโสเหวินซีรีบเอ่ยปากอธิบายเป็นพัลวัน
เขารู้สึกว่าตนเองกับผู้อาวุโสเฉียวอีดันทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ไปเสียแล้ว
เด็กคนนี้แม้จะดูสบายตาและเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน ทว่าที่สำคัญที่สุดก็คือเขาเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบหกหนาวเท่านั้น!
ไยจึงมีความเกี่ยวข้องกับคนผู้นั้นได้?
ทำผู้คนเข็ดขยาดตั้งแต่วันแรกที่เด็กคนนี้เข้าสำนักมาคงไม่ใช่เรื่องดีสักเท่าไรนัก
คิดมาถึงตรงนี้ ผู้อาวุโสเหวินซีก็กล่าวขึ้นอีกว่า
“จริงสิ! เฉียวอี เจ้าอย่าได้ดูแคลนเด็กคนนี้นัก บัดนี้น่ะเขามีอายุเพียงสิบหกหนาวเท่านั้น!”
คำพูดนี้ทำเอาผู้อาวุโสเฉียวอีตกอกตกใจอย่างยิ่ง สติพลันกลับคืนมาจากที่ใจลอยเหม่อไปไกลเมื่อครู่
“จริงหรือ!?”
เซียนหมอระดับแปดอายุสิบหกหนาว ในสำนักเองก็เรียกได้ว่ามีน้อยยิ่งนัก!
“คิดว่าข้าหยอกเล่นหรือไร?! ฮึ ว่าไปก็เหมือนไปอำนวยความสะดวกให้พวกตาแก่นั่นเสียเปล่าๆ!”
ไม่ง่ายเลยกว่าจะพบคนที่มีความสามารถโดดเด่นหาตัวจับยากเช่นนี้ แล้วยังเป็นผู้ฝึกตนแขนงเซียนหมออีก
เพียงแต่โชคยังดีที่ยังมีพวกหลัวซือซืออยู่ จึงไม่ได้เรียกว่ากลับไปมือเปล่าเสียทีเดียว ภายในใจจึงได้ผ่อนคลายลงบ้าง
เฉียวอีเองก็เป็นจอมยุทธ์เช่นกัน เมื่อได้ยินดังนั้นก็พยักหน้าอย่างจริงจังพลางทำปากยื่น
“เอาน่า! เดิมทีลูกศิษย์ของพวกเขาก็น้อยอยู่แล้ว เจ้าส่งเด็กนี่มา พวกนั้นก็ถือได้ว่าติดหนี้บุญคุณเจ้าครั้งใหญ่ล่ะนะ!”
“เฮะเฮะ นั่นก็จริงของเจ้า!”
อารมณ์ของผู้อาวุโสเหวินซีดีขึ้นมากแล้ว เขาหันศีรษะกลับไปมองกลุ่มคนแล้วเอ่ยว่า
“วันนี้เป็นวันแรกที่พวกเจ้ามาถึงสำนัก แม้ว่าก่อนหน้านี้จะวัดทักษะปราณและความสามารถไปแล้ว แต่ช่วงวันแรกๆ ที่ได้เข้ามาในสำนัก พวกเจ้าจะมีอิสระเต็มที่ สามารถเดินสำรวจภายในอาณาบริเวณของสำนักได้ตามใจชอบและได้ศึกษาเล่าเรียนกับบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ทุกต้นเดือนอาจารย์แต่ละท่านจะทำการรับศิษย์เข้าสำนัก เมื่อถึงตอนนั้น พวกเจ้าแต่ละคนก็จะได้ตัดสินใจว่าจะกราบเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ท่านใด”
“ไม่ต้องเป็นกังวลไป เพราะว่าแต่ไหนแต่ไรมาสำนักเองก็เปิดรับหาศิษย์แบบอำเภอใจ มีศิษย์เข้าสำนักมาใหม่เป็นเรื่องปกติ ดังนั้นทุกคนก็จะปฏิบัติต่อคนมาใหม่ด้วยความสุภาพเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ขอเพียงพวกเจ้ารู้จักถ่อมตนและมีมารยาท ก็จะอยู่ในสำนักได้อย่างไม่มีปัญหา”
“แน่นอนว่าภายในช่วงนี้ พวกเจ้าย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะพบเข้ากับพวกที่ต้องการจะประมือกับเจ้า หากพวกเจ้าต้องการตอบรับก็ทำไป หากว่าไม่อยากจะปฏิเสธไปก็ย่อมได้ ไม่จำเป็นต้องฝืนใจตอบรับ”
ผู้อาวุโสเหวินซีเอ่ยอย่างมีน้ำอดน้ำทน จากนั้นสีหน้าของเขาก็เข้มงวดขึ้นมาอีกระดับ
“การจะอยู่ในสำนัก เรื่องที่สำคัญที่สุดคือการพัฒนาการฝึกตน ขอเพียงเจ้าแข็งแกร่งมากพอ จะเรื่องอันใดล้วนทำได้ไม่มีปัญหา! พวกสถานะหรือตัวตนอันใดก็ตามล้วนแต่ไม่สำคัญทั้งสิ้น เข้าใจหรือไม่?”
หลัวซือซือและคนอื่นพากันพยักหน้าหงึกหงักอย่างจริงจัง
ในใจของฉู่หลิวเยว่บังเกิดความรู้สึกอันดีต่อสำนักหลิงเซียวเพิ่มขึ้นบ้างไม่น้อยทีเดียว
แม้ว่าที่นี่จะเชิดชูผู้แข็งแกร่งเหนือสิ่งใด แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเองก็พยายามอย่างสุดความสามารถที่จะคงไว้ซึ่งความเท่าเทียมกันในบรรดาลูกศิษย์
เพียงแค่ข้อนี้ข้อเดียว ก็เรียกว่าหาได้ยากมากแล้ว
ลูกศิษย์จากสำนักหลิงเซียวล้วนมาจากทุกหนทุกแห่งในใต้หล้า
ในหมู่พวกเขานั้น มีลูกหลานจากตระกูลใหญ่ระดับสูงและคนปกติที่มีพื้นเพธรรมดารวมอยู่ด้วยเช่นกัน
นอกเหนือจากนี้ สถานะของพวกเขาก็ยังแตกต่างกันอีกด้วย
ทว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาล้วนมีสถานะเดียว นั่นก็คือศิษย์ของสำนักหลิงเซียวเท่านั้น!
สิ่งทั้งหลายเหล่านี้แท้จริงแล้วล้วนเป็นผลดีต่อการฝึกตนด้วยกันทั้งสิ้น
“พื้นที่ของสำนักค่อนข้างกว้าง พวกเจ้าที่เพิ่งมาถึงเป็นครั้งแรกจะเดินหลงเอาได้ง่ายๆ แต่ขอเพียงพวกเจ้าจำไว้ว่า ยามใดที่หลงทาง จงมุ่งไปใจกลางของหอระฆังบูรพกษัตริย์ ครานั้นจักลัดหวนคืนมาได้อย่างไร้กังวล”
“แน่นอนว่าทันทีที่ไปถึงจัตุรัสชิงหมิงใต้หอระฆังบูรพกษัตริย์ ห้ามเจ้าคิดก้าวไปข้างหน้า ยิ่งไปกว่าคืออย่าเข้าไปในนั้นโดยเด็ดขาด ตามกฎแล้วมีเพียงเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสผู้ถือครองป้ายเท่านั้นที่สามารถเข้าไปข้างในได้ หากว่าผู้ใดที่ไม่ได้รับอนุญาตบุ่มบ่ามเข้าไปตามอำเภอใจ ประมาทเพียงนิดก็พบอันตรายได้ หากเกิดเรื่องขึ้นมาแล้วละก็ ใครก็มาช่วยเจ้าไม่ทันทั้งนั้น เข้าใจหรือไม่?”
เมื่อพูดมาถึงประโยคสุดท้าย คำพูดของผู้อาวุโสเหวินซีพลันแฝงด้วยคำเตือนเข้มขึ้นมาอีกระดับ
แรงกดดันมหาศาลอันหนักอึ้งทำเอาหลัวซือซือและคนอื่นรู้สึกเย็นวาบบริเวณสันหลังโดยไม่รู้ตัว ต่างพากันเอ่ยตอบอย่างรีบร้อน “ศิษย์รับทราบแล้ว!”
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางหอระฆังบูรพกษัตริย์ที่ว่านั่นแวบหนึ่ง
แม้จะอยู่ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง หอระฆังทั้งหลังที่ฉาบคลุมด้วยสีของเหล็กนิลก็ยังคงให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกแลหนาวเหน็บมิแปรเปลี่ยน
อีกทั้งจัตุรัสชิงหมิงที่อยู่ข้างใต้ หากนางมิได้รู้สึกไปเองแล้วละก็ ที่ตรงนั้นราวกับว่ามีค่ายกลที่แข็งแกร่งกางกั้นไว้อยู่…
นางเบนสายตากลับมาพลางยับยั้งความคิดของตนไว้
“นอกเหนือจากนี้ สำนักจะถูกแบ่งออกเป็นสี่ส่วนใหญ่ๆ จากเหนือใต้ออกตก ฝั่งตะวันออกเป็นของเซียนหมอ ทิศใต้เป็นที่อยู่ของปรมาจารย์ ด้านตะวันตกคือเขตของพวกจอมยุทธ์”
ผู้อาวุโสเหวินซีพูดไปพลาง นิ้วก็ชี้ประกอบคำพูดให้ทุกคนดูไปพลาง
“แม้จะแบ่งเขตไว้ชัดเจนแล้ว แต่เนื่องด้วยเพราะภายในสำนักมีผู้ฝึกตนไม่น้อยที่สามารถฝึกได้สอง หรือกระทั่งสามเคล็ดวิชาขึ้นไป ดังนั้นการเล่าเรียนแบบไปมาหาสู่ระหว่างกันเอง ก็มีค่อนข้างเยอะ เจ้าถนัดด้านใดมากที่สุด ก็ให้ไปเข้าร่วมกับเขตนั้น ถ้าหากอยากจะแวะเวียนไปชมสถานที่อื่นก็สามารถไปได้”
สมแล้วที่ได้ชื่อว่าเป็นสำนักที่ยอดเยี่ยมที่สุดในอาณาจักรเสิ่นซวี่
ถ้าหากว่าเป็นสำนักอื่น อัจฉริยะที่สามารถฝึกได้สองเคล็ดวิชาก็หาได้ยากมากอยู่แล้ว แต่สำหรับที่นี่ กระทั่งผู้ฝึกตนได้สามเคล็ดวิชา ก็มิได้หาชมยากถึงเพียงนั้น
“ผู้อาวุโสเหวินซี เช่นนั้นทางเหนือนั่นเป็นสถานที่แบบใดหรือ?”
จัวเซิงโพล่งถามออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! ฝั่งนั้นน่ะเป็นที่ที่เยี่ยมมากเลยล่ะ!”
ผู้อาวุโสเหวินซีหัวเราะออกมาอย่างเบิกบานใจ
“ที่นั่นน่ะเป็นเขตแดนของช่างหลอมอาวุธ!”
“ช่างหลอมอาวุธหรือขอรับ!?”
หลัวซือซือและพวกต่างก็เผยสีหน้าตกตะลึงออกมา
“ถูกต้อง! แม้ว่านอกเสิ่นซวี่จะมีข่าวลือว่าทักษะของช่างหลอมอาวุธนั้นได้หายสาบสูญไปจากแผ่นดินใหญ่แล้ว แต่ว่าในสำนักของเรายังมีสหายเก่าแก่เหล่านั้นรักษาการณ์อยู่ แค่ว่าเพราะมีศิษย์อยู่น้อยนิดนัก ดังนั้นจึงอยู่กันแบบเงียบๆ มาโดยตลอด”
อยากจะอยู่แบบไม่สงบเสงี่ยมบ้างน่ะ เป็นไปไม่ได้หรอก
ด้วยคนจำนวนเพียงเท่านั้น แทบตลอดทั้งวันก็มีคำร้องขอเข้าสำนักทยอยยื่นเข้ามาไม่ขาดสาย
ถ้าหากว่ากลายเป็นที่รู้จักกันไปถ้วนทั่วแล้วล่ะก็ เกรงว่าธรณีประตูของสำนักคงถูกคนก้าวเหยียบจนพังไปแล้ว!
ด้วยสิ้นไร้หนทาง บัดนี้ผู้ที่รู้และคอยถ่ายทอดเกี่ยวกับทักษะการหลอมอาวุธชั้นยอดก็ยังมีอยู่เพียงหยิบมือเท่านั้น
อาวุธศักดิ์สิทธิ์ส่วนใหญ่ที่หลั่งไหลอยู่ในตลาด ล้วนแล้วแต่เป็นช่างหลอมอาวุธเมื่อพันปีก่อนตีขึ้นทั้งสิ้น หรือไม่ก็เป็นสิ่งที่ผู้แข็งแกร่งรุ่นก่อนหน้าส่งต่อมาให้
บัดนี้ช่างหลอมอาวุธที่มีพลังในการทำอาวุธศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังขึ้นมาได้จริงจึงล้วนเป็นบุคคลอันทรงคุณค่าอย่างยิ่ง
และเพราะเหตุนี้เอง แม้ว่าคนของพวกเขาจะมีจำนวนน้อยนิดนัก แต่กลับสามารถครองหนึ่งในสี่อาณาเขตของทั้งสำนักได้เพียงลำพัง!
“วันปกติหากไม่มีเรื่องอันใดพวกเจ้าก็อย่าเข้าไปฝั่งนั้นล่ะ ช่างหลอมอาวุธยุ่งอยู่กับการหลอมอาวุธศักดิ์สิทธิ์ตลอดทั้งวัน ฟากนั้นเลยจะมีสายอัสนีบาตฟาดลงมาบ่อยๆ หากไม่ระวังตัวแล้วโดนผ่าขึ้นมาจะแย่เอา”
ไม่รู้ว่าคิดถึงเรื่องอันใดอยู่ ผู้อาวุโสเหวินซีจึงเอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเกรี้ยวกราด