ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1114 หัวแหลมไม่เบา
ตอนที่ 1114 หัวแหลมไม่เบา
คนเหล่านั้นพากันตอบรับอย่างน่าดูชม
“ดี ตอนนี้เรื่องสภาพการณ์เป็นอยู่โดยคร่าวของสำนักวิชา ข้าก็คงบอกกับพวกเจ้าไปหมดแล้ว ที่เหลือรอให้พวกเจ้าไปเจอด้วยตัวเองจะเข้าใจชัดแจ้งมากที่สุด! เช่นนั้นข้าไม่พูดพล่ามอันใดมากแล้ว!”
ผู้อาวุโสเหวินซีปรบมือแปะๆ
“เฉียวอี เจ้าช่วยข้าพาเด็กพวกนี้แยกไปส่งก่อนนะ ข้ามีเรื่องที่ต้องไปจัดการนิดหน่อย”
ผู้อาวุโสเฉียวอีที่ถูกลากมาใช้งานกะทันหันทำสีหน้างุนงง
“เรื่องอันใดกันถึงได้รีบร้อนปานนี้?”
ผู้อาวุโสเหวินซีกระแอมไอ
“ข้าจะไปเร่งพวกเขา ให้คนที่อยู่กะต่อไปรีบไปฝางโจวให้เร็วขึ้นอีกหน่อย”
“มิใช่ว่าเจ้าเพิ่งกลับมาหรอกหรือ? ตอนนี้คนที่ประจำอยู่ฟากโน่นน่าจะเป็นฮวาเฟิงนี่ จะรีบร้อนไปเหตุใด?”
ผู้อาวุโสเฉียวอียิ่งรู้สึกฉงนเพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวี
ว่ากันตามปกติแล้ว ผู้อาวุโสทุกคนจะต้องรับผิดชอบการเฝ้าเวรยามด้านนอกในวันหนึ่ง
ทุกครั้งเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ผู้อาวุโสที่รับช่วงต่อจะต้องไปให้ถึงที่หมายเร็วกว่าเวลาเล็กน้อย
ทว่ามีน้อยมากที่จะเป็นดั่งเช่นตอนนี้ พลัดก่อนหน้าเพิ่งจะกลับมาได้ไม่ทันไร ก็จะไปเรียกคนต่อไปให้เข้ากะเสียแล้ว
ผู้อาวุโสเหวินซีทำท่าราวกับจะพูดอันใดบางอย่าง ทว่ามิได้เอ่ยปาก
จะพูดไม่ได้เด็ดขาดว่าพวกเขารู้สึกได้ว่าหายนะนั้นได้หวนกลับคืนมาแล้ว
หากคำพูดนี้หลุดออกจากปากแล้วละก็ ย่อมไม่มีผู้ใดไปอย่างแน่นอน!
ยังต้องปกปิดความจริงไว้สักพักเลยทีเดียว
“เอ่อ ก็ไม่มีอันใดมาก เจ้าก็รู้นี่ว่าเจ้าฮวาเฟิงนิสัยเสียนั่นจะมีเรื่องหรือไม่มีก็ชอบดื่มสุรานัก ข้าเกรงว่าเขาอยู่คนเดียวจะหาทางแอบย่องไปดื่มอีก เขาเมาแอ๋น่ะไม่เท่าไร ถ้าหากไปสร้างเรื่องไว้นี่สิจะแย่เอา”
ผู้อาวุโสเฉียวอีจึงได้ผงกศีรษะรับ
“ก็จริง…นิสัยเสียเช่นนี้ของเขา บอกไปแล้วไม่รู้ตั้งกี่หน ก็ไม่เห็นวี่แววว่าคิดจะแก้เลย”
“หึ ไม่ใช่ว่าก่อนหน้านี้เขากลัวว่าจะถูกบังคับให้เลิกดื่มสุราหรอกหรือ? บัดนี้คว้าโอกาสไว้ได้ทั้งที ในที่สุดก็ดื่มได้เท่าไรเท่ากันแล้ว! เขา…”
ผู้อาวุโสเหวินซีกำลังพูดจ้ออยู่นั่นเอง เสียงของเขาก็พลันติดขัด
สีหน้าของเฉียวอีเองก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเช่นกัน พลันปรากฏความลุ่มลึกอยู่บ้างขึ้นมาบนดวงหน้า
เวลาต้องการให้ฮวาเฟิงเลิกดื่มสุราเสียที…ก็ต้องขอพึ่งคนผู้นั้นมาพูดให้
เจ้าสำนักเองยังไม่สามารถห้ามเขาได้ แต่คนผู้นั้นกลับทำได้
แต่ว่าด้วยวิธีการที่ออกจะอำมหิตอยู่บ้าง และขั้นตอนการหักดิบก็ค่อนข้างรุนแรง ฮวาเฟิงจึงรู้สึกทนทุกข์อยู่บ้าง
นั่นทำให้เมื่อเขาได้รับอิสรภาพไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่สุดท้ายกลายเป็นว่าทุกอย่างกลับเลวร้ายลง
คนทั้งสองมองหน้ากันไปมารอบหนึ่ง
มิรู้ว่าเฉียวอีคิดสิ่งใดอยู่ ในนัยน์ตาจึงปรากฏแววอดรนทนไม่ได้
“ช่างเถอะ ปล่อยให้เขาดื่มไป! เดี๋ยวข้าช่วยเจ้าพาเด็กพวกนี้ไปเอง เจ้าไปหาคนมาช่วยเขาเถอะ!”
ผู้อาวุโสเหวินซีหมุนกายแล้วหายตัวไปจากครรลองสายตาของทุกคนอย่างรวดเร็ว
พลังที่แท้จริงของเขาเห็นได้ชัดเลยว่ามิได้ด้อยไปกว่าผู้อาวุโสเฉียวอีเลย
“มาเถอะ! พวกเราไปที่ฝั่งของจอมยุทธ์ทางด้านโน้นกันก่อนแล้วกัน!”
ผู้อาวุโสเฉียวอีโบกมือไหวๆ
…
ผู้อาวุโสเฉียวอีคอยนำหน้า ส่วนหลัวซือซือและคนอื่นพากันตามหลังเขาไปติดๆ
ในขณะที่ฉู่หลิวเยว่เดินตามรั้งท้ายกลุ่มไปอย่างเงียบเชียบ
นางฟังผู้อาวุโสเฉียวอีพูดถึงเรื่องราวของสำนักกับคนที่อยู่ด้านหน้าเรื่องแล้วเรื่องเล่าไปพลางมองสำรวจโดยรอบไม่หยุด
ยิ่งไปกว่านั้น ฉากที่เคยปรากฏในความคิดของนางเมื่อก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ในใจของนางยิ่งมั่นใจถึงข้อสันนิษฐานนี้
เพียงแต่ว่าน่าเสียดายนักที่ความทรงจำส่วนใหญ่นั้นขาดหายไปไม่สมบูรณ์ นอกจากรูปภาพม้วนนั้น สิ่งอื่นใดนางก็นึกไม่ออกแล้ว
ดังนั้นแล้ว ในเวลานี้นางก็ทำได้เพียงแค่กดยั้งความคิดมากมายในสมองให้ลงไปก็เท่านั้น
หลังจากพากันเหาะเหินเข้ามาข้างในได้ระยะหนึ่งแล้ว ความคึกคักก็เพิ่มขึ้นมากอย่างเห็นชัด
แทบทุกคนที่ยืนอยู่เหนือยอดเขาสูงชันล้วนมองเห็นศิษย์ที่กำลังฝึกตนกันอยู่พร้อมเพรียง
อีกทั้งยังได้เห็นอาจารย์บางส่วนกำลังสอนบทเรียนอยู่บ่อยครั้งเลยทีเดียว
พูดง่ายๆ ก็คือเป็นภาพของสำนักที่เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด ที่ล้อมด้วยฉากทิวทัศน์อันเปี่ยมพลังแห่งความมีชีวิตชีวา
ในใจของฉู่หลิวเยว่พลันบังเกิดความรื่นรมย์ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย
ถ้าหากมาฝึกตนที่นี่ได้ คงเรียกได้ว่าเป็นเรื่องดีงามยิ่งอย่างแท้จริง…
เช่นนั้นแล้ว เหตุใดหรงซิวจึงปิดบังนางมาโดยตลอดเล่า?
คิดมาถึงตรงนี้ คิ้วของฉู่หลิวเยว่ก็เลิกขึ้นแผ่วเบา
“ด้านหน้านี้ก็คือเขตของเหล่าจอมยุทธ์!”
ผู้อาวุโสเฉียวอีเอ่ยตะโกนเสียงดัง
ราวกับว่ารับรู้ได้ถึงการเคลื่อนไหวที่อยู่เหนือศีรษะ คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ด้านใต้ต่างพากันเงยหน้าขึ้นมองตาม
“ดูนั่นเร็ว! ท่านผู้อาวุโสเฉียวอีมาแล้ว! พวกที่ตามหลังเขามานั่นน่ะ หรือว่าจะเป็นศิษย์มาใหม่ของวันนี้กัน?”
“หนึ่ง สอง สาม สี่! มีกันสี่คนหรือนี่?”
“เหมือนว่าจะมีศิษย์น้องหญิงด้วยล่ะ!?”
บางคนก็มิอาจกักเก็บความตื่นเต้นไว้ได้มิด
ต้องทราบก่อนว่าฟากของพวกเขานั้นมีผู้ฝึกตนหญิงอยู่กันไม่มากนัก ดังนั้นเมื่อพบว่ามีศิษย์น้องหญิงเข้าสำนักมาใหม่ พวกเขาล้วนเป็นอันต้องตื่นเต้นดีอกดีใจเสียทุกครั้ง
เพี๊ยะ!
เงาร่างสูงใหญ่ร่างหนึ่งเดินแหวกออกมาจากฝูงชน
“หยุดความคิดของพวกเจ้าเสีย แล้วก็ระวังสายตาของพวกเจ้าไว้ด้วย”
ยามคำพูดนี้เอ่ยออกมา คนจำนวนไม่น้อยก็พากันหดศีรษะของตนกลับเข้าไป
ไม่มีอันใดมาก แค่เพราะคนที่เอ่ยคำพูดนี้ออกมานั้น เป็นถึงบุคคลที่เรียกได้ว่าโดดเด่นยิ่งในหมู่ศิษย์สำนัก…หลัวเยี่ยนหลิน!
“พี่หลิน ท่านรู้จักพวกเขาด้วยหรือ?”
เด็กหนุ่มที่ถูกตีแยกเขี้ยวยิงฟันด้วยท่าทีทำใจดีสู้เสือแล้วเอ่ยถามออกไป
หลัวเยี่ยนหลินแค่นหัวเราะ มิได้นำพาคำถามนั้นเท่าไรนัก เพียงทะยานพาร่างของตนขึ้นไป! พุ่งตรงไปหากลุ่มคนด้านบน!
ชั่วพริบตา เขาก็ไปหยุดอยู่ตรงหน้าผู้อาวุโสเฉียวอี ก่อนจะคำนับอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม
“ศิษย์คารวะท่านผู้อาวุโสเฉียวอี!”
“หลัวเยี่ยนหลิน เหตุใดวันนี้เจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้?”
ผู้อาวุโสเฉียวอีมองดูเขาพลางหัวเราะออกมาคำรบหนึ่ง
“ศิษย์เพิ่งจะร่ำเรียนวิชาค่ายกลเสร็จ จึงมาขอให้พวกเขาช่วยแลกเปลี่ยนวิชาน่ะขอรับ”
หลัวเยี่ยนหลินว่าพลาง สายตาก็จับจ้องไปยังร่างของหลัวซือซือและคนอื่นๆ ดวงหน้าหล่อเหลาสะอาดสะอ้านแฝงความหลักแหลมพลันอ่อนโยนขึ้นมาหลายระดับ
“อีกอย่าง ข้าจะมาพบหน้าพี่น้องของข้าด้วยน่ะขอรับ”
“โอ้?”
ผู้อาวุโสเฉียวอีได้ยินเช่นนั้นก็หันศีรษะกลับไปมองแวบหนึ่ง ก่อนจะเข้าใจขึ้นมาโดยพลัน
“พี่สี่!”
หลัวซือซือและคนอื่นต่างก็เก็บงำความดีใจไว้ได้ไม่มิด พากันประสานเสียงตะโกนเรียกเป็นเสียงเดียว
จัวเซิงและพวกเขานั้นมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ ผูกพันกันมาตั้งแต่เล็กจนโต จึงตะโกนเรียก “พี่สี่” ตามๆ กัน
รอยยิ้มของหลัวเยี่ยนหลินลุ่มลึกขึ้นมาเล็กน้อย
“ไม่เลวเลย พวกเจ้ามาที่นี่ได้เร็วกว่าที่ข้าคิดไว้มากทีเดียว ดูเหมือนว่าซือซือจะบุกทะลวงสำเร็จไปก่อนแล้วสินะ ท่านพ่อท่านแม่เป็นอย่างใดบ้างเล่า?”
หลัวซือซือหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อย
“พวกท่านสบายดีเจ้าค่ะ เพียงแค่บ่นคิดถึงพี่สี่ยิ่งนัก”
ทุกคนด้านล่างที่มองตรงขึ้นมาต่างพากันอ้าปากพะงาบโดยทั่วถ้วน
ที่แท้นั่นก็คือน้องสาวของหลัวเยี่ยนหลิน!
แล้วยังเป็นน้องสาวแท้ๆ อีก!
เช่นนี้ก็คงไม่ต้องไปหวังอันใดด้วยแล้ว
ทั่วทั้งสำนักนี้ล้วนไม่มีผู้ใดเป็นคู่ประมือต่อกรกับหลัวเยี่ยนหลินได้เลยสักคน คิดจะเอื้อมคว้าน้องสาวของเขาหรือ นั่นเท่ากับไม่คิดจะมีชีวิตอยู่ต่อชัดๆ!
“เฮ้อ! เหตุใดถึงได้ศิษย์น้องชายมาเพิ่มอีกสามคนในคราวเดียวกันนะ!”
คนบางส่วนพากันทอดถอนใจยาว
ผู้อาวุโสเฉียวอีได้ยินดังนั้นก็ปรายสายตามองลงไปยังด้านล่างพลางแค่นหัวเราะ
“พวกเจ้านี่คิดอันใดใจแคบเสียจริง! ในบรรดาเด็กสี่คนนี้ มีเพียงหลัวซือซือกับจัวเซิงเท่านั้นที่ฝึกฝนเป็นจอมยุทธ์!”
ทุกคนต่างมองไปทางคนที่เหลืออยู่อย่างหลัวเยี่ยนหมิงและฉู่เยว่ด้วยความประหลาดใจ
“อีกสองคนที่เหลือมิใช่จอมยุทธ์หรอกหรือ?”
“หลัวเยี่ยนหลิน เจ้าพาพวกเขาสองคนลงไปก่อน ให้พวกเขาได้ทำความคุ้นเคยกันสักหน่อย เดี๋ยวข้าพาสองคนนี้ไปส่งเอง!”
ผู้อาวุโสเฉียวอีกล่าว
หลัวเยี่ยนหลินพยักหน้ารับ จากนั้นก็กวักมือเรียกไปทางพวกเขาทั้งสอง
“ซือซือ อาเซิง พวกเจ้าตามข้ามา”
คนทั้งสองเดินไปหาเขาตามเสียงเรียก
ด้วยไม่ได้เจอหน้ากันเป็นเวลานานโข ระหว่างพวกเขาจึงอวลไปด้วยความรู้สึกคิดถึง
“เดี๋ยวพวกเราไปหาท่านปรมาจารย์ที่อยู่ฟากโน้นกัน”
ผู้อาวุโสเฉียวอีว่า
หลัวเยี่ยนหลินส่งยิ้มให้หลัวเยี่ยนหมิงคราหนึ่ง
“เจ้าไปเถอะ เดี๋ยวข้าจะไปหาทีหลัง พอเห็นหน้าเจ้าคล้ายข้า คนเหล่านั้นย่อมไม่มีใครกล้ารังแกเจ้า”
หลัวเยี่ยนหมิงผงกศีรษะพลางหัวเราะ
ในตอนนั้นเอง หลัวซือซือพลันส่งเสียงออกมา
“ฉู่เยว่ เจ้าเองก็พยายามเข้านะ!”
หลัวเยี่ยนหลินมองน้องสาวของตนแวบหนึ่ง ก่อนจะมองตามครรลองสายตาของนางไป
ก่อนจะพบว่าเป็นเด็กหนุ่มผู้หนึ่งที่มีรูปร่างสูงโปร่ง ดวงหน้าหล่อเหลานุ่มนวล
หน้าตาใสซื่อ อุปนิสัยดูเรียบร้อยสะอาดสะอ้าน
เขาหรี่ตาของตนลง
“ฉู่เยว่หรือ?”
คาดไม่ถึงว่าจัวเซิงเองก็ชูกำปั้นของตนขึ้นมาด้วย
“ฉู่เยว่ ได้ยินว่าเจ้าพวกเซียนหมอน่ะถือตัวยิ่งกว่าอันใดดี เจ้าอย่าขวัญหนีดีฝ่อไปเสียก่อนล่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ หัวเราะออกมาแผ่วเบาก่อนจะผงกศีรษะ
“รู้แล้ว”
ผู้อาวุโสเฉียวอีพลันเบนศีรษะหันไปมองนางแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่แทบจะยืดหลังตรงโดยไม่รู้ตัว รอยยิ้มบนดวงหน้าจางหายไปสามส่วน
ผู้อาวุโสเฉียวอีพยักหน้าอย่างพออกพอใจ
“เฮะ! หัวแหลมไม่เบานี่!”
เช่นนั้นเขาก็วางใจแล้วล่ะ!