ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1120 เรื่องเล่าลือ
ตอนที่ 1120 เรื่องเล่าลือ
“เจ้า! ใช่! เจ้านั่นแหละ! มาหาข้าเดี๋ยวนี้!”
ระหว่างที่เอ่ยประโยคนั้น เงาร่างของชายชราผู้นั้นก็ร่อนจากกลางอากาศลงสู่พื้นอย่างรวดเร็วเป็นที่เรียบร้อย
ทุกคนต่างพร้อมใจกันถอยหลังไปก้าวหนึ่ง แล้วก้มคำนับอย่างนอบน้อม
“คารวะผู้อาวุโสวั่นเจิง!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงแค่นเสียงเย็นเยียบ
“อีกเดี๋ยวข้าจะมาจัดการพวกเจ้าด้วย!”
เขาเบนสายตามองมายัง ‘ตัวตั้งตัวตี’ อย่างฉู่หลิวเยว่
“เจ้าเด็กนี่…หือ? เจ้า…”
ยามมองดวงหน้าที่ไม่คุ้นเคย ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็นิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
“เจ้าคือศิษย์ที่มาใหม่หรือ?”
เปลือกตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกยิก นางก้าวไปข้างหน้า ทั้งสองมือประสานกันระดับหน้าอกแล้วก้มคำนับอย่างนอบน้อม
“ศิษย์มีนามว่าฉู่เยว่ คารวะผู้อาวุโสวั่นเจิงขอรับ”
“ที่แท้เจ้าก็คือฉู่เยว่นี่เอง!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเคยได้ยินนามเรียกขานนี้ผ่านหูมาก่อน
เมื่อสองวันก่อนเขาเคยได้ยินเหวินซีเอ่ยถึงอยู่ว่า ตัวเองไปหาตัวอัจฉริยะที่หาได้ยากคนหนึ่งมาฝากฝังแก่พวกเขา
อายุเพิ่งจะสิบหก ก็ได้เป็นเซียนหมอระดับแปดแล้ว
เดิมผู้อาวุโสวั่นเจิงยังคิดกับตัวเองอยู่เลยว่า ไม่กี่วันนี้ฉู่เยว่คงง่วนอยู่กับการทำความคุ้นเคยสำนักและฝึกฝนวิชา เพราะอย่างใดเสียอีกประเดี๋ยวเดียวก็จะถึงการทดสอบกราบอาจารย์ช่วงต้นเดือนแล้ว ใครจะไปคิดว่า…เขาจะมามัวทำเรื่องมิชอบอยู่ที่นี่!?
แต่เมื่อเห็นว่าเจ้าเด็กตรงหน้าผู้นี้ยังนับว่ามีมารยาทอยู่บ้าง อายุก็ยังน้อย เพลิงโทสะของผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงเบาลงไปบ้าง ทว่าน้ำเสียงของเขายังคงเถรตรงมิแปรเปลี่ยน
“ฉู่เยว่ เจ้ามิรู้หรือว่าห้ามให้มีการพนันโอสถในวันสุดท้ายของปลายเดือน?”
ฉู่หลิวเยว่พลันทำสีหน้าเหลอหลา
นางจะไปรู้ได้อย่างใดกัน!?
ในเมื่อไม่มีใครบอกนางเลยสักคน!
จงซวิ๋นที่อยู่ข้างกันนั้นรีบก้าวขึ้นหน้ามาอธิบาย
“ผู้อาวุโสวั่นเจิงขอรับ ทุกอย่างล้วนเป็นความผิดของศิษย์ ศิษย์น้องฉู่เยว่เพิ่งมาถึง เป็นข้าที่มิได้พูดกับเขาให้ชัดเจนเสียก่อน นี่ต้อง…”
“เขาไม่รู้ พวกเจ้าเองก็ไม่รู้ด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยขัดคำพูดของเขา พลางกวาดสายตามองทั่วด้วยสีหน้าน่าเกรงขาม
ฝูงชนต่างก็มองหน้ากันไปมาแบบไร้เสียง ความเงียบทวีคูณยิ่งกว่าเก่า
“คนที่อยู่ในเหตุการณ์ ถือว่าละเมิดกฎของสำนัก ถูกหักลบคนละสามพันแต้ม!”
“หา…”
ทุกคนต่างก็พากันร้องโอดครวญเป็นแถว
พวกเขาเพียงแค่ตามๆ กันมาหวังว่าทำเงินได้สักเล็กน้อยเท่านั้น ยังไม่ทันเริ่มทำอันใดด้วยซ้ำ! เหตุใดจู่ๆ จึงถูกหักแต้มเยอะถึงปานนี้ได้เล่า!
คิ้วกระบี่ของผู้อาวุโสวั่นเจิงเลิกขึ้นเล็กน้อย
“เหตุใด อยากถูกหักเป็นสองเท่าหรือ?”
คนทั้งหมดพลันเงียบปากฉับในทันใด
“สองคนนั้นที่ตกลงกันจัดพนันโอสถขึ้นมา ถูกหักคนละห้าพันแต้ม!”
คนทั้งสองที่ยืนโดดๆ อยู่ข้างหม้อยาต่างก็หน้าชื่นอกตรมกันทั้งคู่
ใครใช้ให้พวกเขาละเมิดกฎทั้งที่รู้อยู่แก่ใจกันเล่า
เดิมที พวกเขาเพียงแค่รู้สึกว่าตัวเองมือขึ้น จึงอยากจะเตรียมตัวสักเล็กน้อยก่อนถึงต้นเดือนหน้าเท่านั้น ใครจะคาดคิดว่าสุดท้ายก็เสียรู้เพราะความฉลาดของตน!
ครั้งนี้ถูกหักลบห้าพันแต้ม จึงทำได้เพียงก้มหน้ารับชะตาไปเงียบๆ
“ส่วนเจ้า…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองมาทางฉู่หลิวเยว่
“ถูกพามาเข้าร่วมวงพนัน แม้จะรู้เท่าไม่ถึงการณ์ แต่อย่างใดก็ต้องหักแต้ม! ในเมื่อทำผิดเป็นครั้งแรก เช่นนั้นหักห้าพันแต้ม!”
หัวคิ้วของฉู่หลิวเยว่กระตุกเล็กน้อย
ไม่ง่ายเลยกว่านางจะหามาได้สองหมื่นกว่าแต้มในสามวัน พริบตาเดียวก็หายไปแล้วห้าพัน เรียกได้ว่าเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเลยทีเดียว
“ท่านผู้อาวุโสวั่นเจิงขอรับ เรื่องนี้ศิษย์น้องเล็กมิผิดจริงๆ นะขอรับ ล้วนเป็นข้าที่มิอาจบอกเขาได้ทันและมิได้ชี้นำในเรื่องที่ถูกที่ควร คะแนนห้าพันแต้มนี้ ได้โปรดหักเอาไปจากข้าเถิดขอรับ!”
จงซวิ๋นที่อยู่ข้างกันนั้นรีบร้อนเอ่ยออกไป
ในใจของเขานั้นรู้สึกโทษตัวเองเป็นอย่างมาก
ความจริงแล้วพวกเขานั้นมิได้ตั้งใจเลยแม้แต่น้อย
แม้ว่าสำนักจะมีกฎว่าห้ามพนันโอสถในวันสุดท้ายของสิ้นเดือน ทว่าแท้จริงแล้วข้อห้ามก็ยังมีขอบเขตอยู่ นั่นคือห้ามคนพนันมากกว่าสองคน
หรือก็คือ นอกจากผู้พนันทั้งสองฝั่งแล้ว ขอเพียงคนอื่นมิได้ลงเดิมพันตามก็ไม่นับว่าละเมิดกฎ
กลายเป็นว่าครานี้พวกเขามารวมตัวกันจำนวนร้อยกว่าคน ผู้อาวุโสวั่นเจิงไม่โกรธสิถึงจะแปลก
อีกทั้งโชคยังดีที่อีกไม่นานการทดสอบจะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ มิเช่นนั้นแล้วบทลงโทษก็คงหนักกว่านี้เป็นแน่!
สองวันมานี้เขาเองก็อยู่ข้างกายศิษย์น้องเล็กตลอด เห็นเขาชนะแล้วชนะอีกก็ตื่นเต้นมากเสียจนลืมเรื่องนี้ไปเสียสนิท
กลายเป็นว่าทุกคนติดร่างแหมาเกี่ยวข้องกันหมด โดยเฉพาะศิษย์น้องเล็กที่เพิ่งมาใหม่ สิ่งอันใดก็ล้วนไม่รู้ไม่เข้าใจ
“ศิษย์พี่จงซวิ๋น ข้าขอบคุณในความหวังดีของท่าน แต่ในเมื่อเรื่องนี้ข้าทำลงไปแล้ว เช่นนั้นก็ให้ข้ารับเอาไว้เองเถอะ”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ เอ่ยปฏิเสธความช่วยเหลือจากจงซวิ๋น
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหรี่ตาลง
“ถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว!”
ระหว่างที่เอ่ย เขาก็สะบัดข้อมือครั้งหนึ่งพลางล้วงหยิบเอาตราหยกสีเขียวของตนขึ้นมา
ตราหยกเขียวอันนี้นั้นแตกต่างกับของพวกเขาอยู่บ้างทั้งในเรื่องของขนาดและรูปร่าง
เห็นได้ชัดเลยว่านี่เป็นของที่มีเพียงผู้อาวุโสเท่านั้นที่ถือครองอยู่
“คราวนี้ก็เข้าแถวตอนเรียงหนึ่งเข้ามา!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงออกคำสั่ง เหล่าฝูงชนจึงทำได้แค่ก้าวรุดไปต่อแถวอย่างรวดเร็ว
พวกเขาต่อเรียงแถวกัน แล้วนำตราหยกสีดำของตัวเองวางลงไปตามลำดับ
แสงสว่างกลุ่มหนึ่งทอประกายขึ้นมา
คนจำนวนไม่น้อยต่างก็เผยสีหน้าเจ็บปวดใจ ทว่าก็มิกล้าเอ่ยอันใดออกมา
ไม่นานหลังจากนั้น กระทั่งคนทั้งสองที่ยังมิทันได้แข่งขันกันก็เดินเข้ามา แต่ละคนต่างก็ถูกหักไปคนละห้าพันแต้ม
จงซวิ๋นมองไปทางฉู่หลิวเยว่อย่างลังเลแวบหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่ก้าวนำไปข้างหน้า แล้ววางตราหยกของตนลงไป
แสงสีขาวสายหนึ่งเคลื่อนวาบผ่านสายตา
จำนวนตัวเลขด้านบนพลันลดลงไปจำนวนมากในชั่วพริบตา
ท่าทีของฉู่หลิวเยว่ทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงอารมณ์ดีขึ้นมาหลายระดับ
“นี่สิถึงจะถูกต้อง! คราวหลังเจ้าจงทำความเข้าใจกฎของสำนักให้ดี แม้นหลบเลี่ยงหรือเมินเฉยอีกก็จะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้!”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยตอบรับอย่างน่าดูชม
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโสวั่นเจิงที่เตือนสติ ศิษย์จะจำไว้”
“ดีมาก! เจ้าเป็นต้นกล้าที่ดี อย่าเอาใจไปใส่เรื่องอื่นที่ไม่เป็นเรื่องพวกนั้นเสียล่ะ! วันนี้ไปเตรียมตัวให้พร้อม พรุ่งนี้จะได้แสดงอย่างมีประสิทธิภาพ!”
ในที่สุดรอยยิ้มสายหนึ่งอันหาดูได้ยากบนดวงหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ปรากฏแก่สายตา
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
ผู้อาวุโสวั่นเจิงโบกมือ
“แยกย้ายกันไปได้แล้ว!”
สิ้นเสียงพูด ทุกคนต่างก็ตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน จากนั้นก็แยกย้ายกระจายตัวกันไปอย่างว่องไว!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
บนยอดเขาอันกว้างใหญ่ เพียงชั่วพริบตาเดียวก็เหลือเพียงคนสามคน
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยเตือนขึ้นมาอีกสองสามประโยค จากนั้นก็จากไปเช่นเดียวกัน
ยามทอดมองไปยังพื้นที่โดยรอบอันว่างเปล่า ฉู่หลิวเยว่ก็พลันเกิดความรู้สึกอับจนคำพูดขึ้นมาอย่างหาได้ยาก
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ เจ้าอย่าได้ใส่ใจเลย ที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงเอ่ยเช่นนั้นก็เพราะหวังดีต่อเจ้า หาได้ต้องการกล่าวโทษเจ้าจริงๆ ไม่”
จงซวิ๋นที่อยู่ข้างกายเห็นสีหน้านางดูไม่ปกติอยู่บ้างจึงรีบเอ่ยปลอบประโลมขึ้นมา
“เรื่องนี้ก็ต้องโทษข้าด้วยที่…”
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นอย่าได้โทษตัวเองเลยขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ข้ารู้ว่าทั้งหมดล้วนเป็นความหวังดีของผู้อาวุโสวั่นเจิงทั้งสิ้น ข้าเพียงแค่รู้สึกแปลกนิดหน่อยขอรับ”
“อันใดหรือที่ว่าแปลก?”
“บรรยากาศทั่วทั้งสำนักหลิงเซียวนั้นดียิ่ง ทุกคนทำสิ่งใดล้วนรู้ขอบเขต แล้วเหตุใดถึงได้ตั้งกฎเช่นนี้ขึ้นมา?”
ไม่สามารถพนันโอสถได้ในช่วงปลายเดือน…
หากมิชอบใจเรื่องการพนันจริงๆ จะยกเลิกไปแบบไม่อ้อมค้อมเลยก็ได้ เหตุใดถึงต้องมีกฎในวันสุดท้ายกันด้วยเล่า?
“อ้อ เจ้าหมายถึงเรื่องนี้น่ะหรือ”
จงซวิ๋นหัวเราะออกมาอย่างเข้าใจ
“เจ้าเพิ่งมาใหม่ก็ต้องมีบ้างที่จะไม่รู้ ทุกๆ ต้นเดือนเป็นช่วงเวลาที่ทุกคนจะไล่สะสมคะแนนอย่างเอาเป็นเอาตาย ดังนั้นเมื่อวันแรกของเดือนมาถึง คนจำนวนมากก็จะพากัน ‘รีดไถเงิน’ อย่างบ้าคลั่ง พยายามสะสมคะแนนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เพื่อให้ตนได้รับผลประโยชน์ที่เหนือกว่า เรื่องราวเหล่านี้เจ้าก็จะค่อยๆ เห็นมันอย่างชัดเจนเองในอนาคต”
“ที่สำนักออกกฎข้อนี้มา ข้อหนึ่งก็เพื่อห้ามมิให้ผู้มีเจตนาร้ายคิดแย่งชิงได้ฉกฉวยคะแนนของผู้อื่น ส่วนอีกข้อนั้น…”
ไม่รู้ว่ากำลังคิดถึงเรื่องอันใด สีหน้าของจงซวิ๋นถึงได้ดูลังเลเล็กน้อย ในแววตาก็เข้มขึ้นมาอยู่หลายระดับ
ฉู่หลิวเยว่มองไปทางเขา
“อีกข้อหนึ่งนั้นเหตุใดหรือ?”
“ความจริงแล้วข้าเองก็ได้ยินเขาเล่าลือกันมาอีกที”
จงซวิ๋นเรียบเรียงคำพูดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างช้าๆ
“แต่เดิมสำนักเองก็ไม่เคยมีกฎข้อนี้มาก่อน ทว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน มีศิษย์ผู้หนึ่งฉวยโอกาสในช่วงปลายเดือนใช้ประโยชน์จากการพนันโอสถ มาเก็บคะแนนสะสมจากศิษย์จำนวนหนึ่งในสามของศิษย์ทั้งหมดในสำนัก ทำให้คนเหล่านั้นไม่สามารถฝึกตนได้อีกเป็นเวลาหลายเดือน! นับแต่นั้นเป็นต้นมา สำนักจึงได้เพิ่มกฎข้อนี้มาเป็นพิเศษเพื่อกันไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยถามด้วยความรู้สึกสนใจว่า
“คนผู้นั้นเป็นใครกันถึงได้เก่งกาจปานนี้?”