ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1122 ชายาของข้า ข้าย่อมตามใจ
ตอนที่ 1122 ชายาของข้า ข้าย่อมตามใจ
ภายในโถงใหญ่จมดิ่งสู่ความเงียบไปชั่วขณะหนึ่ง
คนจำนวนไม่น้อยต่างพากันเหลือบมองอย่างกังวลไปทางหรงซิวที่นั่งอยู่ในตำแหน่งที่เป็นรองเพียงเหล่าผู้อาวุโส สีหน้าของแต่ละคนล้วนแตกต่างกันออกไป
คำพูดเช่นนี้จงใจพูดกระทบเขาอย่างเห็นได้ชัด
ทว่า ที่เหนือความคาดหมายก็คือ หรงซิวดูมิได้ติดใจเอาความเลยแม้แต่น้อย
เขาเพียงยิ้มน้อยๆ ดวงหน้าอันสูงส่งแลเย้ายวนดุจมนต์ปีศาจที่ชวนให้หลงใหล พลันเพิ่มประกายสดใสอันนำพาให้ผู้คนหลงลืมสติของตนไปสิ้น ราวกับว่าต้องจมอยู่ภายในห้วงลึกของนัยน์ตาที่ลุ่มลึกและคาดเดาสิ่งใดมิได้คู่นั้นไปตลอดกาล
“ระยะนี้ภายในตระกูลมีงานมากมายที่ต้องสะสาง กว่าจะปลีกตัวออกมาได้จึงค่อนข้างลำบากนัก หวังว่าท่านผู้อาวุโสทั้งหลายจะให้อภัยแก่ข้า”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายมือหัวเราะขึ้นมา
“เรื่องของพระราชวังเมฆาสวรรค์ พวกเราเองก็ล้วนได้ยินกันมาหมดแล้ว ท่าน…แต่งตั้งชายาแล้วหรือ?”
สายตาของคนทุกผู้ล้วนจับจ้องไปยังหรงซิวเป็นตาเดียว
“ขอรับ”
มุมปากของหรงซิวหยักยกขึ้นเล็กน้อยเป็นเส้นโค้งบุ๋มลึก บริเวณหางตาหางคิ้วก็ล้วนดูราวกับแฝงด้วยรอยยิ้มอยู่สามส่วน
“นางเพิ่งได้ออกจากพระราชวังเมฆาสวรรค์เป็นครั้งแรก มีเรื่องราวอีกมากมายที่ยังมิได้ทำความคุ้นชิน ข้าจึงคิดจะอยู่ที่นี่ต่ออีกหลายวัน”
สายตาของทุกคนยิ่งทวีความประหลาดใจขึ้นไปอีก
บรรดาคนที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ มีผู้ใดบ้างที่มิรู้ถึงนิสัยที่แท้จริงของหรงซิว? มีผู้ใดบ้างที่ยังมิเคยยลฝีมือของเขา?
นี่คือผู้ที่สังหารคนได้โดยไม่กะพริบตาเลยนะ!
มาบัดนี้กลับหลงรักและมีความรู้สึกทะนุถนอมแม่นางผู้หนึ่งเช่นนี้ ผู้คนย่อมคิดภาพเช่นนั้นไม่ออกอยู่แล้ว!
“ดูแล้วพระโอรสจะเอาใจใส่ชายาผู้นี้ไม่น้อยโดยแท้ ถึงกับยอมเพิกเฉยต่อวิกฤตของสำนักมากกว่าปล่อยให้นางต้องหวาดหวั่นจนเจ็บปวดใจ ดูไม่ออกเลยว่าองค์โอรสสวรรค์แท้จริงแล้วจะลุ่มหลงในแม่นางผู้นั้นถึงเพียงนี้”
ผู้ที่เอ่ยประโยคนี้ขึ้นมาก็ยังคงเป็นบุรุษคนเดิมที่เอ่ยวาจายั่วยุไปเมื่อก่อนหน้า
หรงซิวเหลือบตาขึ้นมาเล็กน้อย ภายในดวงตาสีนิลราวกับมีคลื่นน้ำวนหมุนซัด คมกระบี่อันเฉียบคมแลเย็นเยียบเคลื่อนตัวผ่านไปวาบหนึ่ง!
บุรุษผู้นั้นพลันแข็งทื่อไปทั่วร่าง
“ต่อให้ข้าไม่มา ทางสำนักเองก็ยังมีบรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายคอยจัดการดูแล ที่คุณชายใหญ่เว่ยเอ่ยเช่นนี้ หรือว่าท่านกำลังสงสัยในความสามารถของท่านผู้อาวุโสทั้งหลายอยู่อย่างนั้นหรือ?”
“ข้า…”
เว่ยซีผิงแทบสำลัก
เขาพูดเช่นนั้นออกไปต่อหน้าฝูงชนมิได้อยู่แล้ว!
“อีกอย่าง ชายาของข้า ไม่ให้ข้าตามใจนาง แล้วจะให้ข้าไปตามใจผู้อื่นแทนหรือ?”
แม้ว่าหรงซิวจะกำลังฉีกยิ้มขณะเอ่ยประโยคนี้ ทว่าดวงตากลับหรี่ลงครึ่งหนึ่ง ดูราวกับกำลังยิ้มทว่ามิได้ยิ้ม อีกทั้งยังแฝงด้วยความเย็นชาอยู่หลายส่วน ทำเอาในใจของผู้คนพลันเย็นเฉียบขึ้นมา
ในอกของเว่ยซีผิงค่อยๆ มีเพลิงลุกโหมขึ้นมา
ในตอนที่เขากำลังจะเถียงออกไปอย่างควบคุมตนเองไม่ได้ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็เอ่ยขึ้นมาพอดี
“พอได้แล้ว เลิกพูดคุยกันถึงเรื่องพวกนี้สักประเดี๋ยวเถอะ ในตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องนั้น”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเองก็เดินมานั่งลงบนหนึ่งในเก้าอี้สองตัวสุดท้ายที่ยังคงว่างอยู่
“เอาล่ะ ตอนนี้คนก็มากันครบแล้ว ต่อไปก็…”
“ท่านผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน วันนี้ท่านเจ้าสำนักไม่มาหรือเจ้าคะ?”
แม่นางวัยกำดัดผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเอ่ยถามขึ้น
ในกรณีเช่นนี้ เจ้าสำนักควรจะมาควบคุมสถานการณ์ส่วนใหญ่จึงจะถูก
สีหน้าของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมิเปลี่ยนแปลงแม้แต่น้อย
“เจ้าสำนักยังคงเก็บตัวฝึกวิชาอยู่ เรื่องทั้งหมดภายในสำนักเป็นข้าที่รับผิดชอบชั่วคราว”
เหตุผลข้อนี้ไม่มีสิ่งใดให้ต้องเอ่ยแย้ง ทว่าก็ยังคงทำให้คนบางส่วนขมวดคิ้วอยู่ดี
นั่นก็เพราะว่า เจ้าสำนักเก็บตัวฝึกวิชามานานพอดูแล้ว
จนถึงตอนนี้ เจ้าสำนักก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะเก็บตัวเสร็จสิ้น
ด้วยข้อนี้ทำให้ในใจของผู้คนต่างก็บังเกิดความสงสัยขึ้นมาอยู่หลายส่วน
ทว่าผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกลับมิเปิดโอกาสให้พวกเขาได้ซักถามต่อ
“เรื่องที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ก่อนหน้านี้ข้าเคยเอ่ยโดยคร่าวกับพวกท่านในจดหมายไปแล้ว แต่ว่าในส่วนของรายละเอียดนั้น ข้าคุยกับพวกท่านตัวต่อตัวจะเหมาะกว่า”
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมจริงจัง ผู้คนต่างพากันเงียบและฟังกันอย่างตั้งใจ
ความจริงแล้ว ครั้งนี้ทางสำนักมิได้ส่งข่าวมาให้แค่พวกเขาเท่านั้น
ผู้ที่ได้รับจดหมายนั้นมีไม่ต่ำกว่าหลักร้อยได้
ทว่าในที่นี้ ผู้ที่มีคุณสมบัติเพียงพอจะนั่งอยู่ที่นี่ได้มีแค่คนกลุ่มนี้เท่านั้น
เช่นว่า เจียงจื่อหยวนเองก็ได้รับจดหมายเช่นกัน ได้เร็วกว่าหรงซิวเสียด้วยซ้ำ
ทว่าในตอนนี้ นางทำได้เพียงรออยู่ด้านนอกเท่านั้น
…
ขณะเดียวกันนั้นเอง ในเขตแดนปรมาจารย์ของสำนัก
ท่ามกลางจวนที่พักอันวิจิตรงดงามบนยอดเขาลูกหนึ่ง มีแม่นางจำนวนหนึ่งกำลังนั่งล้อมกันเป็นวงกลม
“จื่อหยวน พรุ่งนี้ต้นเดือนก็จะกราบอาจารย์เข้าสำนักแล้ว ได้ยินว่าจะแสดงทักษะการต่อสู้ที่เจ้าเพิ่งไปเรียนมาใหม่ให้เราได้ชมกันด้วยใช่หรือไม่?”
แม่นางผู้งามหยดย้อยนางหนึ่งเอ่ยถามด้วยสีหน้าใคร่รู้
ทว่าเจียงจื่อหยวนกลับมิได้ตอบอันใดกลับ ราวกับไม่ได้ยินสิ่งที่นางถาม
“จื่อหยวน? จื่อหยวน?”
ตะโกนเรียกไปสองครั้ง เจียงจื่อหยวนถึงดึงสติกลับมาได้ เมื่อรู้สึกได้ถึงสายตาของผู้อื่น นางก็พลันชะงัก จากนั้นก็เริ่มเข้าใจว่าเกิดอันใดขึ้น นางผงกศีรษะเบาๆ กลับไป
“หือ? อืม ก็คิดไว้ว่าจะทำน่ะ”
เอ่ยจบ ครรลองสายตาของนางก็จับจ้องไปยังหอระฆังบูรพกษัตริย์ที่อยู่ฟากโน้นอีกรอบหนึ่ง
เพราะว่าอาการบาดเจ็บของนางยังฟื้นฟูได้ไม่เต็มที่ ริมฝีปากของนางจึงยังคงซีดเผือดอยู่หลายส่วน
ด้วยท่วงท่าที่จับจ้องไปยังที่ห่างไกลเป็นเวลานาน ยิ่งเพิ่มให้นางดูอ่อนช้อยและมีเสน่ห์จับตายิ่งกว่าเก่า
น่าเสียดายนักที่นอกจากพวกนางไม่กี่คนแล้ว ก็มิมีผู้ใดได้เห็นภาพนี้
บรรดาแม่นางที่อยู่ข้างกันนั้นสบตากันแวบหนึ่ง
ความจริงแล้วมิจำเป็นต้องเอ่ยถาม พวกนางก็รู้ดีว่าเหตุใดเจียงจื่อหยวนถึงได้เป็นเช่นนี้
ระยะนี้เรื่องที่เกิดขึ้นในพระราชวังเมฆาสวรรค์เผยแพร่ออกสู่ภายนอกอย่างรวดเร็ว
แม้ว่าภายในอาณาจักรเสิ่นซวี่ การไปมาหาสู่กันระหว่างสำนักและตระกูลต่างๆ นั้นจะไม่ถือว่าบ่อยครั้ง ทว่าข่าวที่สำคัญพวกนี้ก็ยังคงแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วอยู่ดี
คนในสำนักเองล้วนรับรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดที่เจียงจื่อหยวนมีต่อหรงซิวดี
แท้จริงแล้ว เหตุผลหลักข้อหนึ่งที่นางมาที่สำนักหลิงเซียวก็คือข้อนี้
เซียนสุ่ยหลิงที่เจียงจื่อหยวนสังกัดอยู่นั้นเป็นหนึ่งในยี่สิบหกตระกูล ที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของพระราชวังเมฆาสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นเผ่าที่แข็งแกร่งที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นคนจำนวนมากเองต่างก็ลอบเห็นพ้องต้องกันว่าแม่นางที่จะได้ยืนเคียงข้างหรงซิวก็คือนาง
ทว่าผู้ใดจะคาดคิดว่าแท้จริงแล้ว…
เมื่อมองสภาพที่ใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวของเจียงจื่อหยวนแล้ว บัดนี้ไปพูดไปจาสิ่งใดกับนาง นางก็คงมิได้ยินทั้งนั้น
แม่นางอีกผู้หนึ่งที่มีคางแหลมเรียวเม้มริมฝีปากของตนเอ่ยขึ้นมาโดยพลัน
“จื่อหยวน สภาพเจ้าตอนนี้น่ะดูไม่ใช่เจ้าเลยสักนิด! หากเป็นเมื่อก่อนแล้วละก็ เจ้าคงกำลังนั่งคิดอย่างแน่วแน่แล้วว่า ทำอย่างใดจึงจะได้คะแนนดีในการทดสอบกราบอาจารย์เข้าสำนักช่วงต้นเดือนน่ะ!”
เจียงจื่อหยวนได้ยินเช่นนั้นก็ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะขมขื่นออกมา
“บัดนี้ดิ้นรนทำเรื่องพวกนี้ไปแล้วจะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อเขาก็ไม่คิดมองมาอยู่ดี…”
ก่อนหน้านี้ที่นางมุมานะปานนั้นนั่นก็เพราะว่าหรงซิวโดดเด่นเหลือเกินยามอยู่ในสำนัก
นางคิดกับตัวเองว่าหากนางเก่งขึ้นมาได้อีกสักหน่อย เช่นนั้นช่องว่างระหว่างนางกับเขาก็คงจะลดลงไปบ้าง
ขอเพียงได้อยู่เคียงข้างเขา จะให้นางทำอันใดก็ล้วนไม่มีปัญหาทั้งนั้น
ทว่าพอมาตอนนี้ ทุกสิ่งอย่างที่ว่ามาล้วนไร้ความหมาย
ตำแหน่งพระชายาก็แต่งตั้งไปแล้ว ไม่ว่านางจะคิดอย่างใด จะทำสิ่งใด ก็ล้วนเปลี่ยนแปลงความจริงข้อนี้ไปไม่ได้
“ก็เพราะแบบนี้อย่างใดเล่า เจ้าถึงต้องแสดงออกมาให้ดีที่สุดน่ะ!”
แม่นางคางแหลมเรียวผู้นั้นมีท่าทีกังวลใจอย่างยิ่ง นางยื่นนิ้วชี้มาจิ้มหน้าผากของเจียงจื่อหยวนเบาๆ
“เจ้านี่นะ! อุตส่าห์ไล่ตามเขามานานเพียงนั้น จะยอมแพ้ง่ายๆ เช่นนี้หรือ!? ยิ่งเป็นช่วงเวลาแบบนี้แล้ว เจ้ายิ่งต้องทำให้ตัวเองดูโดดเด่นจับตามากขึ้นไปอีกสิ! ให้ทุกคนรวมถึงเขารู้สึกว่า…การที่เขาไม่เลือกเจ้านั้นเป็นตราบาปอันใหญ่หลวง!”
แววตาของเจียงจื่อหยวนพลันมีประกายน้อยๆ แวบผ่าน ทว่ามันก็จางหายไปอย่างรวดเร็ว
โดดเด่นหรือ…
ดูเหมือนว่า พวกนางล้วนไม่รู้ถึงเรื่องการแสดงที่พระราชวังเมฆาสวรรค์ของซั่งกวนเยว่ผู้นั้น
ถ้าพวกนางรู้ว่าแม่นางผู้นั้นแข็งแกร่งกว่านางมากเพียงใด ก็คงมิเอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมา
“จื่อหยวน เจ้าลองคิดดูนะ! เจ้าอยู่ในสำนัก ตอนนี้หรงซิวเองก็อยู่ในสำนัก ขอเพียงเจ้าต้องการ ผู้ครองตำแหน่งพระชายาอันใดนั่นมันจะทำอันใดได้?”
เจียงจื่อหยวนชะงักไปแวบหนึ่ง ความคิดของนางสั่นไหวเล็กน้อย
“เจ้าพูดเช่นนี้หมายความว่าอย่างใด?”