ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1126 สบตากันท่ามกลางฝูงชน
ตอนที่ 1126 สบตากันท่ามกลางฝูงชน
ช่างเป็นชื่อที่คุ้นหูยิ่งนัก
ย้อนกลับไปตอนที่นางซ้อมประมือกับหรงซิวตอนนั้น นางก็เคยหลุดพูดคำนี้ออกมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ทว่าในเวลานั้น นางไม่รู้ว่า “งานประลองชิงอวิ๋น” คืออันใด
ที่แท้ก็เป็นการประลองเพื่อจัดอันดับของศิษย์ในสำนักหลิงเซียวนี่เอง…
“เจ้าไม่รู้หรือ?”
ครั้นเห็นท่าทีของฉู่หลิวเยว่ จงซวิ๋นก็เดาได้ทันทีว่านางคงไม่เคยได้ยินมาก่อน และเริ่มอธิบายให้นางฟัง
“งานประลองชิงอวิ๋น เป็นการประลองเพื่อจัดอันดับในสำนักหลิงเซียวที่มีมานานหลายพันปีแล้ว! มันคือจารึกของผู้ที่มีพรสวรรค์สูงสุดทุกคน ที่ปรากฏตัวในสำนักวิชาตลอดหลายปีที่ผ่านมา!”
“โดยงานประลองนี้จะแบ่งออกเป็นสี่รายการย่อย! นั่นก็คือจอมยุทธ์ ปรมาจารย์ เซียนหมอและช่างหลอมอาวุธ! และรายชื่อเหล่านั้นจะถูกระบุไว้บนผนังทั้งสี่ทิศของหอระฆังบูรพกษัตริย์!”
“ขอเพียงเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักวิชา และอายุต่ำกว่าสามสิบหนาว เจ้าก็มีโอกาสใช้ความแข็งแกร่งของเจ้า พาตัวเองขึ้นไปอยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นแล้ว!”
“ในวันนี้ของทุกเดือน คือวันสำคัญของสำนักวิชา บางคนผ่านการประเมินและได้กราบอาจารย์เข้าสำนัก บางคนแสวงหาสมบัติล้ำค่า แต่ทั้งนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือการได้มีชื่ออยู่บนนั้น! ตราบใดที่มีชื่อในงานประลองชิงอวิ๋น ก็ถือเป็นที่น่าพอใจมากแล้ว! แม้แต่เจ้าสำนักและผู้อาวุโสเองก็ยังต้องชื่นชมเจ้า!”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในที
“ไม่แปลกที่…”
“กระไรหรือ?”
“ไม่มีอันใด แค่คิดว่าไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนดูกระตือรือร้นเช่นนี้ และยังให้ความสำคัญกับงานประลอง
ชิงอวิ๋นมากด้วย”
ฉู่หลิวเยว่ยกมือขึ้นกอดอก พลางลูบปลายคางเบาๆ ริมฝีปากงามยิ้มกริ่มขณะครุ่นคิด
ไม่แปลกที่นางจะจำไม่ได้ แต่นางกลับหลุดพูดมันออกมายามได้สู้กับหรงซิวในครานั้นนี่สิ
ดูเหมือนว่าการแซงอันดับหรงซิวในงานประลองชิงอวิ๋นให้ได้นั้น จะเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ตัวนางในอดีตดูหมกมุ่นต้องทำให้ได้เสียเหลือเกิน…
เมื่อคิดเช่นนี้ จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็รู้สึกสงสัยเล็กน้อย ก่อนจะมองไปยังผนังสีนิลอันงดงามและเรียบเนียนของหอระฆังบูรพกษัตริย์
งานประลองชิงอวิ๋น…
นางไม่รู้ว่าหรงซิวเข้าร่วมประเภทใด และอยู่ในอันดับที่เท่าไร?
…
ครืน…
ประตูหอระฆังบูรพกษัตริย์เปิดออก!
มีคนเดินออกมา!
การเคลื่อนไหวนี้ทำให้ฝูงชนที่ส่งเสียงดังเงียบลงทันที
ทุกคนรู้ว่าคนที่เดินออกมาคือเหล่าผู้อาวุโส!
ทว่าไม่นานทุกคนก็พบว่าท่ามกลางกลุ่มคนที่เดินออกมานั้น นอกจากเหล่าผู้อาวุโสที่คุ้นเคยกันดีแล้ว ก็ยังมีบุรุษและแม่นางอีกหลายสิบคนที่ยังดูอ่อนเยาว์กว่าผู้อาวุโสมาก
ซึ่งปกติแล้วจะมีแค่ผู้อาวุโสหลักของสำนักวิชาเท่านั้น ที่สามารถเข้าไปในหอระฆังบูรพกษัตริย์ได้ ฉะนั้นการที่มีคนหนุ่มสาวเหล่านั้นเดินออกมาด้วย ย่อมสร้างความแปลกใจระคนงงงวยให้แก่เหล่าศิษย์ที่มองอยู่
แต่พักหนึ่งก็เริ่มมีคนจดจำพวกเขาได้บ้าง
“นี่ๆ นั่นคุณชายใหญ่แห่งตระกูลเว่ยหรือเปล่า? เหตุใดเขาถึงมาปรากฏตัวที่นี่ล่ะ?”
“คุณชายใหญ่ตระกูลเว่ยหรือ? ตระกูลเว่ยไหนกัน?”
“จะเว่ยไหนได้อีก? แน่นอนว่าต้องเป็นตระกูลเว่ยแห่งลุ่มน้ำชิงกู่น่ะสิ!”
“หา…เขาเองหรอกหรือ! ได้ข่าวว่าคุณชายใหญ่เว่ยผู้นี้มีความสามารถยิ่งนัก แถมยังได้รับการยกย่องมากที่สุดในตระกูลเว่ย และเกือบจะเป็นผู้สืบทอดอำนาจต่อจากประมุขของตระกูลเว่ยแล้ว! แต่มิใช่ว่าเขาเรียนจบตั้งแต่ปีก่อนและออกจากสำนักวิชาไปแล้วหรือ? ไฉนเขาถึงมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อีกเล่า?”
“ดูสิ! ข้างๆ นั้นเหมือนคุณหนูสองแห่งเฟยซิงเหมินอย่างชือรุ่ยเออร์ เลย! เหตุใดนางถึงมาอยู่ที่นี่?”
“…พวกเจ้ามิรู้หรือว่า พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นศิษย์ของสำนักที่มาจากจากตระกูลชั้นนำทั้งนั้น?”
เริ่มมีคนกระซิบซาบกัน
ทุกคนต่างพากันจ้องมอง และดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างที่พูดจริงๆ!
พวกเขาส่วนใหญ่ออกจากสำนักไปแล้ว และมีเพียงไม่กี่คนที่ยังศึกษาอยู่ในสำนัก
เมื่อคนเหล่านี้รวมตัวกัน แค่พลังอำนาจที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ก็เพียงพอที่จะเขย่าอาณาจักรเสิ่นซวี่ให้สั่นคลอนได้แล้ว!
ไม่แปลกใจที่ลูกศิษย์ลูกหาจำนวนมากจะมีปฏิกิริยาเช่นนี้
ทันใดนั้นฝูงชนทั้งหมดก็เงียบลง
ราวกับพื้นที่โดยรอบหยุดนิ่งไปชั่วขณะ
ครั้นสัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัว ฉู่หลิวเยว่ก็พลันเงยหน้าขึ้นเช่นกัน
แต่เพราะนางยืนอยู่ในตำแหน่งที่ห่างไกลและเยื้องไปทางด้านหลังเสียส่วนใหญ่ จึงยากที่จะมองเห็นลักษณะท่าทางของคนที่เดินออกมาจากตรงนั้น
ทว่าหลังจากที่ชายหนุ่มร่างสูงเพรียวในชุดคลุมสีขาวก้าวเท้าออกมา ฉู่หลิวเยว่ก็จำเขาได้แทบจะในทันที!
ในยามนี้ท้องฟ้าสดใส แสงแดดอุ่นๆ สาดส่องลงมาอย่างพอเหมาะพอเจาะ
หอระฆังบูรพกษัตริย์สีนิลเบื้องหลังร่างสูงสง่า เปล่งรัศมีอันเย็นยะเยือกออกมาจางๆ ภาพนูนสูงบนประตูสัมฤทธิ์นั้นดูโดนเด่นออกมาราวกับมีชีวิต ดูยิ่งใหญ่และหนักอึ้ง ประกอบกับสีขาวสว่างเจิดจ้าของจัตุรัสชิงหมิง ที่ช่วยขลับให้ฉากหลังของเขาดูเป็นเอกเทศและอลังการงานสร้างมากยิ่งขึ้น
รัศมีของเขาเจิดจรัสและสะดุดตา ตัดกับสิ่งปลูกสร้างสองสิ่งที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ร่างสูงในชุดคลุมสีขาวย่างกรายเข้ามาราวกับเทวทูตจากสุราลัย เปลือกตาทั้งสองหลุบลงต่ำ พร้อมกับเงาจางๆ ที่ทอดตัวลงบนใบหน้าเนียนละเอียดเสมือนหยกเนื้อดี
ครั้นมองจากระยะไกลแล้ว ราวกับหยกสีขาวใต้ผืนน้ำทะเลสีครามก็มิปาน และเพียงก้าวเท้าออกมาจากหอระฆัง ภาพของบุรุษผู้นั้นก็สามารถดึงดูดความสนใจของทุกคนได้อย่างง่ายดาย
แม้ในบรรดากลุ่มคนที่เดินออกมานั้น จะมีชายหนุ่มหล่อๆ และแม่นางสวยๆ มากมาย แต่เมื่อเทียบกับเขาแล้ว คนพวกนั้นก็แทบจะไร้จุดยืนในทันทีและกลายเป็นเพียงตัวประกอบเล็กๆ อันมิเป็นจุดสนใจ
การปรากฏตัวของเขาทำให้ฝูงชนเงียบลงทันตา
แต่ทันใดนั้น เขาก็สัมผัสได้ถึงอันใดบางอย่างแล้วเงยหน้าขึ้น
ดวงตาคู่นั้น!
ทุกคนที่สบเข้ากับดวงตาคู่นั้นต่างตกตะลึงกันถ้วนหน้า!
ต้องเป็นคนแบบใดกัน ถึงได้มีดวงตาที่ลึกล้ำและยากจะคาดเดาเช่นนี้
ประหนึ่งว่ามันสามารถกลืนกินทุกสิ่งได้ในพริบตา และยังเหมือนจะมีกระแสความอ่อนโยนบางอย่าง ที่สามารถครอบงำให้ผู้ที่สบตาตกหลุมรักชายผู้นี้ได้โดยปริยาย
แม่นางบางคนจ้องมองเขานิ่งๆ พลันหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ทว่าสายตาของเขากลับมองไปที่คนๆ เดียวเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่สบตาเขา
หรงซิวหรี่ตาลงทันควัน
ฉู่หลิวเยว่พลันใจกระตุกวูบ แล้วรู้สึกผิดขึ้นมาในบัดดล ก่อนจะหลบสายตาคมคู่นั้น
แต่ทันทีที่เบนสายตาไปทางอื่น นางก็ยิ่งรู้สึกเสียใจ
นี่นางจะรู้สึกผิดเหตุใดกัน!?
หรงซิวต่างหากที่ควรเสียใจ!
เขาจะต้องรู้อยู่แล้วแน่ๆ ว่าเมื่อก่อนนางเคยมาที่สำนักหลิงเซียว แต่เขาก็เลือกที่จะปิดบังนาง!
แม้แต่ข่าวจากสำนักหลิงเซียว ก็ยังจงใจเลี่ยงไม่ให้นางรู้!
สุดท้ายแล้วเขามันก็แค่คนปอดแหก!
แต่เมื่อฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมองอีกครั้ง นางกลับเห็นผู้อาวุโสหลายคนยืนอยู่ข้างๆ หรงซิว
พวกเขากระซิบบางอย่างกับหรงซิว
หรงซิวนั้นตัวสูงมาก และเพื่อความสะดวกเขาจึงก้มศีรษะลงเล็กน้อย พร้อมทำท่าตั้งอกตั้งใจฟัง แล้วพยักหน้ากลับด้วยสีหน้าเรียบเฉย
ขณะนี้เหล่าชายหนุ่มและแม่นางหลายสิบคนที่เดินออกมาก่อนหน้าเขา ล้วนพากันย้ายไปยืนอยู่ข้างสนาม
ซึ่งในทางกลับกัน การแยกออกไปเช่นนี้ บ่งบอกว่าตำแหน่งของหรงซิวนั้นพิเศษมาก
…เขายืนอยู่ท่ามกลางเหล่าผู้อาวุโส
อีกทั้งดูเหมือนว่าเหล่าผู้อาวุโสเองก็จะปฏิบัติกับหรงซิวอย่างเป็นมิตรและสุภาพมากเช่นกัน
จากนั้นฝูงชนที่ตกตะลึงในความหล่อเหลาจนพูดไม่ออกเมื่อครู่ ก็ค่อยๆ เริ่มกระซิบกระซาบกันอีกครั้ง
“สวรรค์โปรด! บุรุษผู้นั้นเป็นใครกัน! ช่างงดงามกระไรเยี่ยงนี้ หากเป็นศิษย์ของสำนัก ก็ไม่น่าดูหล่อสยบมารเช่นนี้!”
“ดูๆ แล้วเหมือนว่า…จะเป็น…”
“พระราชวังเมฆาสวรรค์! นั่นมัน โอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์มิใช่หรือ?! ได้ยินว่าไม่กี่ปีก่อนเขาออกจากสำนักวิชาไป ไม่คิดเลยว่าวันนี้จะได้เจอเขาที่นี่!”
“หรงซิวหรือ?! นั่นคือ…หรงซิวที่ร่ำลือกันใช่หรือไม่!?”
ผู้คนต่างส่งเสียงอุทานกันยกใหญ่
ส่วนคนหูตาไวอย่างผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน ก็จับสังเกตปฏิกิริยาของทุกคนได้ในทันที
พลันส่ายหัวและแอบยิ้มอย่างอดไม่ได้
“ว่าแล้วเชียว…ถ้าเจ้ามาจะต้องได้เห็นภาพแบบนี้แน่ๆ เช่นนั้น การประเมินในช่วงต้นเดือนนี้ ข้าจะให้เจ้า…”
หรงซิวกล่าวอย่างถ่อมตัว “ข้ามิกล้ารับผิดชอบแทนผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน เชิญท่านเถิดขอรับ”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหัวเราะและก้าวไปข้างหน้า
“ข้า ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน ในนามของสำนักวิชาหลิงเซียว ข้ายินดีต้อนรับทุกท่าน!”