ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1129 กราบอาจารย์เข้าสำนัก
ตอนที่ 1129 กราบอาจารย์เข้าสำนัก
“พวกเจ้าตามตอแยกระไรกัน!? ไม่ได้ยินหรือว่าฉู่เยว่ต้องการฝากตัวเป็นศิษย์กับข้า? แย่งศิษย์ของผู้คนในยามนี้ มันไม่มากไปหน่อยหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์
แต่ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสเหล่านั้นจะไม่ได้สนใจเลยสักนิด
“เด็กคนนี้เพิ่งเข้ามาใหม่ และมีอีกหลายเรื่องในสำนักวิชาที่เขายังไม่รู้ ภายใต้สถานการณ์หุนหันพลันแล่นเช่นนี้ ไม่แปลกที่เขาจะเลือกผิด! ลองให้เด็กคนนี้พิจารณาเลือกอาจารย์อีกรอบก็ยังไม่สาย!”
“ถูกต้อง! วั่นเจิง เจ้าทำหน้าตายทั้งวันเช่นนี้ จะมีศิษย์คนใดอยากอยู่กับเจ้ากัน? พวกเขากลัวเจ้าจะตายอยู่แล้ว! ฉู่เยว่ยังเด็กนัก เขาจะทนกับการทรมานแบบนี้ได้อย่างใด?”
“ฉู่เยว่เอ๋ย ข้าว่าเจ้ามาอยู่กับข้าดีกว่า! สัญญาว่ามันจะไม่เลวร้ายเหมือนของวั่นเจิง!”
ท่านอาจารย์หลายคนเริ่มเอ่ยปากพูด
เดิมทีก็มีอัจฉริยะเพียงไม่กี่คนที่เข้ามาฝึกเป็นเซียนหมอ และยากที่จะพบผู้ที่โดดเด่นเช่นนี้ จะให้พวกเขาอยู่เฉยๆ ได้เยี่ยงไร?
ในเวลาแบบนี้ ใครเขาจะห่วงเรื่องภาพลักษณ์กัน!
แค่ฉกคนเก่งๆ มาให้ได้ก็พอ!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
ความแข็งแกร่งของเซียนหมอผู้อาวุโสเหล่านี้มิได้อ่อนแอเลย นี่มัน…
สถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงกะทันหัน และพฤติกรรมสับปลับ ทำให้ผู้คนที่เฝ้าดูอยู่ตะลึงกันยกใหญ่
มิใช่ว่าเหล่าผู้อาวุโสนั้นเย่อหยิ่งหรอกหรือ?
มิใช่ว่าพวกอาจารย์นั้นถือตัวหรือไร?
แล้วสถานการณ์นี้มันอันใดกัน!?
เมื่อเห็นฉากนี้ สีหน้าของเด็กใหม่หลายคนที่ยังไม่ผ่านการทดสอบก็เปลี่ยนไปทันที
บางคนอิจฉา บางคนริษยา และบางคนก็ทำหน้านิ่งจนเดาอารมณ์ไม่ถูก
…
“พี่สี่ ดูสิ ข้าบอกว่าเจ้าเด็กนั่นทำได้แน่นอน!”
ทางฝั่งปรมาจารย์ หลัวเยี่ยนหมิงเฝ้ามองฉากนั้นจากระยะไกล และอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
แต่นัยน์ตาของเขากลับฉายแววประหลาดใจเล็กน้อย
เขารู้ตั้งนานแล้วว่าฉู่เยว่โดดเด่นมาก แต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะผ่านการประเมินของผู้อาวุโสวั่นเจิงได้!
ด้วยพรสวรรค์เช่นนี้ หากเข้ามาศึกษาในสำนัก และฝึกฝนอย่างหนักไม่ย่อท้อ เขาจะต้องมีอนาคตที่สดใสอย่างแน่นอน!
“อืม”
หลัวเยี่ยนหลินพยักหน้ารับคำเสียงเบา พลางมองไปทางเด็กหนุ่มคนนั้นด้วยสายตาชื่นชม
ความจริงแล้วเดิมทีเขาไม่ได้สนใจอีกฝ่ายมากนัก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้…ฉู่เยว่ผู้นั้นจะแข็งแกร่งกว่าที่คาดไว้มาก…
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้เห็นภาพเหล่าผู้อาวุโสแย่งชิงศิษย์กันมานานแล้ว
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อคนเหล่านี้ล้วนเป็นเซียนหมอตัวฉกาจประจำสำนักวิชา
…
“ไม่นึกเลยจริงๆ ว่าจะมีม้ามืดปรากฏตัวขึ้นในการประเมินครั้งนี้ด้วย”
อาวุโสปั๋วเหยี่ยนซึ่งยืนอยู่บนหอระฆังบูรพกษัตริย์กล่าวด้วยความประหลาดใจ
“ช่างน่าตื่นเต้นยิ่งนัก!”
แม้นตัวเขาจะมิได้ฝึกตนเป็นเซียนหมอ แต่เขาสามารถบอกได้ว่า เด็กหนุ่มนามฉู่เยว่ผู้นั้นมีความสามารถเพียงใด
ขณะเดียวกัน ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็เหลือบมองหรงซิวด้วยหางตา ก่อนจะพบว่าหรงซิวเองก็เหมือนจะมองเด็กคนนั้นเช่นกัน
“อันใด หรงซิวคิดว่าเจ้าหนุ่มนั่นเป็นเช่นไรหรือ?”
หรงซิวดึงสายตากลับมา พลันขบเม้มริมฝีปากเบาๆ
“เขา…ทำได้ดีจริงๆ”
มีแสงสว่างวาบผ่านดวงตาอันเฉียบแหลมของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยน
“การได้รับคำชมจากเจ้านั้นมิใช่เรื่องง่ายเลย!”
หรงซิวไม่เคยสนใจสิ่งเหล่านี้ และไม่สนว่าคนอื่นจะคิดอย่างใด และยิ่งไม่ใช่คนพูดจาเรื่อยเปื่อย
นอกจากนี้ เขาเองยังเป็นอัจฉริยะระดับแนวหน้า และมีคนเพียงไม่กี่คนที่เหมาะจะได้รับการยกย่องและการยอมรับจากเขา
หรงซิวยิ้มบาง
“ผู้ที่สามารถทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงต้องการตัวได้เพียงนี้ ย่อมเป็นผู้ที่มีทักษะแบบเขา”
“พูดอีกก็ถูกอีก”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนลูบเคราของตนไปมา
นับตั้งแต่ผู้อาวุโสวั่นเจิงแพ้พ่ายให้แก่เจ้าสำนักในครานั้น เขาก็เข้มงวดมากขึ้นกว่าเดิมมาก
และนี่คือสาเหตุที่เขามิอาจเปิดใจรับศิษย์ได้นานอยู่หลายปี
แต่ครั้นได้พบและรู้จักกับอัจฉริยะผู้ปราดเปรื่องดั่งสวรรค์สรรสร้างเช่นนี้ เขาก็แทบไม่สนว่าคนอื่นจะเป็นตายร้ายดีเช่นไรแล้ว
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมีนิสัยดื้อรั้นและทิฐิสูง
หายากที่จะเจอคนที่เข้าตาเขาอย่างวันนี้ ฉะนั้นแล้วเขาจะไม่มีทางยอมเด็ดขาด
“เหมือนว่าฝั่งจอมยุทธ์เอง ก็จะมีต้นกล้าดีๆ สองสามต้นผุดขึ้นมาเช่นกัน”
แค่เห็นก็สัมผัสได้ถึงศักยภาพอันล้นหลาม
ทว่าคราวนี้ หรงซิวยังคงระบายยิ้มเล็กน้อย แต่กลับตอบเพียง “อืม” เบาๆ เท่านั้น และไม่ได้หันไปมองฝั่งจอมยุทธ์ด้วยซ้ำ
แสดงว่าเขามิได้สนใจใคร่รู่
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมึนงงกว่าเดิม และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ด้านล่างอีกครั้ง
นี่เขา…
หรงซิวยังคงสงบนิ่งไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์และไม่คิดจะใส่ใจสิ่งอื่นรอบตัว แต่ดูเหมือนว่าสิ่งที่เขาสนใจนั้นจะเป็น…
…
“ท่านผู้อาวุโสทั้งหลาย ต้องขอบพระคุณสำหรับความรักความเมตตาของพวกท่านมากขอรับ แต่ก่อนหน้านี้ฉู่เยว่ได้เลือกฝากตัวเป็นศิษย์กับผู้อาวุโสวั่นเจิงแล้ว ฉะนั้น…”
เมื่อเผชิญหน้ากับความกดดันของผู้อาวุโสหลายคน ฉู่หลิวเยว่มิได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใด และทำเพียงเผยยิ้มอันใสและสุภาพกลับไป แล้วปฏิเสธพวกเขาทีละคน
ตั้งแต่ต้นจนจบ จิตใจของนางแน่วแน่ มิหวั่นไหวสักนิด
ผู้อาวุโสหลายคนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เมื่อเห็นทัศนคติที่แน่วแน่ของนาง แต่สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ยอมแพ้
สมน้ำหน้า ถ้าจะปล้นใคร ก็ดูด้วยว่าเขายอมให้ปล้นหรือเปล่า!
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมีความสุขและภูมิใจมาก จนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมาดังๆ
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า! อยากปล้นเขาไปจากข้าหรือ ไม่มีทางเสียหรอก!”
กว่าจะได้อัจฉริยะล้ำค่าเช่นนี้มาครอบครอง แน่นอนว่าเขาต้องฝึกฝนเลี้ยงดูศิษย์ผู้นี้อย่างดี!
แต่พอคิดว่าเมื่อวานเขาลงโทษฉู่เยว่รุนแรงไปหน่อย ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็แอบรู้สึกกลืนไม่เข้าคายไม่ออกเสียอย่างนั้น
แต่โชคดีที่เด็กคนนี้ใจดี! มิได้เก็บเรื่องเช่นนั้นมาใส่ใจ!
มิฉะนั้นเขาได้พลาดโอกาสดีๆ เช่นนี้ไปแน่!
“อย่ากังวลไปเลยเจ้าหนู! หลังจากเข้าสำนักแล้ว ข้าจักอยู่ข้างเจ้าเสมอ และจะไม่ยอมให้ใครมารังแกเจ้า!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกล่าวเสียงขึงขัง
ฉู่หลิวเยว่แย้มยิ้ม
“เช่นนั้นข้าต้องขอขอบพระคุณท่านผู้อาวุ…ท่านอาจารย์ อย่างมากขอรับ”
เมื่อได้ยินคำว่า “ท่านอาจารย์” ผู้อาวุโสวั่นเจิงพลันดีอกดีใจ
“ดีมาก ดีจริงๆ! ไว้รอกลับไปแล้ว ค่อยทำพิธีกราบอาจารย์เข้าสำนักให้ถูกต้อง!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมีความสุขจนแทบฉุดไม่อยู่
สิ่งนี้ทำให้บรรยากาศของฝั่งเซียนหมอ แลดูผ่อนคลายลงกว่าครู่ก่อนเล็กน้อย แต่ก็ทำให้จิตใจของใครหลายคนอ่อนไหวขึ้นมาเหมือนกัน
นั่นเพราะ…
ฉู่หลิวเยว่เป็นคนแรกที่ผ่านการประเมิน!
นางเป็นคนแรกที่ก้าวออกไปแล้วแสดงศักยภาพอันโดดเด่นออกมา แถมยังประสบความสำเร็จในการเป็นศิษย์ของผู้อาวุโสวั่นเจิงอีก ซึ่งเป็นการสร้างความกดดันให้กับคนอื่นๆ อย่างมาก
ทุกคนล้วนเป็นเซียนหมอ ดังนั้นพวกเขาจึงค่อนข้างอ่อนไหวกับเรื่องแบบนี้เป็นพิเศษ
พวกเขาทุกคนต่างมองออกว่า พรสวรรค์ด้านนี้ของฉู่หลิวเยว่แข็งแกร่งมากเพียงใด!
ถ้าเป็นพวกเขาคงยากที่จะจำเนื้อหาของใบสั่งยาทั้งสองได้!
ยิ่งไปกว่านั้น นางเลือกใบสั่งยาที่ถูกต้องได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังชี้ให้เห็นถึงข้อผิดพลาดในใบสั่งยาด้วย
ชั่วขณะหนึ่ง มีคนที่อิจฉาริษยานางมากมาย
หลังจากฉู่หลิวเยว่ผ่านการประเมินแล้ว นางก็ถอยหลังไปหนึ่งก้าวและเขยิบไปยืนอยู่ริมๆ เพื่อหลีกทางให้คนอื่นเข้าไปบ้าง
“คนต่อไป!”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งตะโกนขึ้น
คนที่เหลือต่างมองหน้ากัน
จากนั้นแม่นางที่ยืนอยู่หน้าสุดก็เป็นฝ่ายก้าวเท้าออกไป
“มาแล้วเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองแม่นางคนนั้นแวบหนึ่ง
ดูเหมือนว่านางจะอายุราวยี่สิบหนาว นางมีผิวขาวนวล จมูกโด่งเชิด และดวงตาคู่สวยที่ดูชุ่มฉ่ำราวหยาดน้ำใส
อย่างใดก็ตาม ความเย่อหยิ่งที่ปรากฏบนเรียวคิ้วและดวงตาคู่นั้น กลับทำให้นางดูเย็นชาและยากจะเข้าถึง
นางเดินตรงไปหาผู้อาวุโสวั่นเจิง
“ผู้อาวุโสวั่นเจิง ศิษย์เองก็ต้องการกราบอาจารย์เข้าสำนักกับท่านเจ้าค่ะ”
นางเบนสายตามองมาทางฉู่หลิวเยว่นิดๆ เสมือนการยั่วยุ
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเสียงต่ำ
ศิษย์ของสำนักหลิงเซียวนี่ชอบเอาชนะเสียจริง…