ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1132 มาสู้กันสักตั้ง
ตอนที่ 1132 มาสู้กันสักตั้ง
ฉู่หลิวเยว่เริ่มรู้สึกแปลกๆ ในใจ
รายชื่ออันดับของงานประลองชิงอวิ๋นแบ่งออกเป็นสี่แขนง
หรงซิวครองสองอันดับหนึ่งในรายชื่อของแขนงช่างหลอมอาวุธและจอมยุทธ์
ส่วนศิษย์ผู้ลึกลับคนนั้นครองอันดับหนึ่งในอีกสองแขนงที่เหลือ ซึ่งก็คือ เซียนหมอและปรมาจารย์
คนที่สามารถยืนหยัดต่อสู้กับหรงซิวได้เช่นนี้…ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าน่าจะร้ายกาจพอตัว
แต่ศิษย์ที่เก่งกาจเช่นนี้ น่าจะเป็นที่รักใคร่ของเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโสมากเลยมิใช่หรือ ไฉนพวกเขาถึงได้ลบชื่อของคนคนนั้นออกไปล่ะ?
หากดูจากทัศนคติของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนและคนอื่นๆ ที่มีต่อหรงซิวแล้ว จะเห็นได้ว่าพวกเขานั้นใจดีและยอมผ่อนผันให้แก่ศิษย์ที่มีความสามารถและความแข็งแกร่งอันโดดเด่นอยู่แล้ว
ทว่ากับศิษย์ลึกลับคนนี้…
ฉู่หลิวเยว่พลันนึกถึงสิ่งที่นางเคยได้ยินจากจงซวิ๋นก่อนหน้านี้
หรือว่าความจริงแล้วคนที่โดนลบชื่อออกไป จะเป็นศิษย์ของเจ้าสำนักคนนั้น?
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองตารางอันดับชิงอวิ๋นอีกครั้ง แต่จู่ๆ นางก็หยุดชะงักไปเสียดื้อๆ
นางเกือบจะลืมไปแล้วว่า
บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นนั้น ไม่มีชื่อของนางอยู่เลย!
…
แน่นอนว่าชื่อที่ฉู่หลิวเยว่หมายถึงนั้น มิใช่ชื่อ “ฉู่เยว่” ในปัจจุบัน หากแต่เป็นชื่อของนางครั้นสมัยยังเรียนอยู่ในสำนักหลิงเซียว
ถ้าครั้งหนึ่งนางเคยคิดจะแซงหน้าหรงซิวในงานประลองชิงอวิ๋น เช่นนั้น ตัวนางในอดีตก็น่าจะเก่งกาจมากพอตัว
อย่างน้อยก็น่าจะมีชื่อติดอันดับเหมือนกันมิใช่หรือ?
แต่มันกลับ ไม่มีเลย
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองขึ้นลงซ้ำๆ หลายรอบ แต่ก็ยังไม่เห็นนามของตน
เช่นนั้น…
หรือว่าตอนนั้นนางมิได้ใช้ชื่อจริงของตัวเอง?!
ดวงตากลมจ้องมองไปยังช่องว่างบนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น พลางหยุดนิ่งไปครู่หนึ่ง
ก่อนจะมีความคิดบ้าๆ ผุดขึ้นมา แต่ก็ถูกนางปัดทิ้งอย่างรวดเร็ว
อย่างใดเสีย แค่จะเป็นหนึ่งในยี่สิบอันดับแรกในรายชื่อฝั่งจอมยุทธ์ ก็จำต้องทะลวงผ่านให้ถึงขั้นผู้แข็งแกร่งระดับเทพเสียก่อน
ซึ่งไม่ใช่กับนาง
ต่อให้เป็นนางในอดีตที่เคยทะลวงได้สูงกว่านี้ ก็ยังทำไม่ได้
ฉะนั้นการคาดเดานี้ดูไร้แก่นสารมาก
ขณะเดียวกันก็มีเสียงโหวกเหวกดังออกมาจากฝูงชน
“ศิษย์มีนามว่าหลี่จือหมิง ขอท้าชิง ซุนเสี้ยว อันดับที่หนึ่งร้อยในตารางชิงอวิ๋น!”
ฉู่หลิวเยว่เดินตามแซ่เสียงนั่นไปแล้วมองดูภาพตรงหน้า
เจ้าของเสียงเป็นชายหนุ่มรูปร่างกำยำ และมีผิวคล้ำ
สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยความกังวลใจและความหวาดหวั่น แต่ก็ยังคงซ่อนความตื่นเต้นในดวงตาคู่นั้นไว้ไม่ได้
การที่มีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นนั้น เป็นเครื่องยืนยันชั้นดีว่าศิษย์คนนั้นแข็งแกร่งเพียงใด
หลายคนตั้งเป้าหมายเพื่อสิ่งนี้ และฝึกฝนอย่างหนักไม่หยุดหย่อน โดยหวังว่าสักวันหนึ่งชื่อของพวกเขาจะขึ้นไปอยู่บนนั้นบ้าง
และแน่นอนว่า คนที่มีชื่อติดอันดับอยู่แล้ว ก็ไม่กล้าผ่อนปรนตัวเองเช่นกัน
เพราะพวกเขาเองก็เสี่ยงถูกคัดออกได้ทุกเมื่อ
เช่นเดียวกับตอนนี้ เมื่อรายชื่อถูกประกาศแล้ว ก็จะมีคนมาท้าชิงอันดับกันทุกๆ ต้นเดือน
และต้องรู้ว่าตราบใดที่เหตุการณ์ฉุกเฉินให้ผ่อนผัน ผู้ที่มีรายชื่อในตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นทุกคน จะไม่สามารถปฏิเสธคำท้าในการประลองต้นเดือนเช่นนี้ได้ทุกกรณี
มิฉะนั้นจะถือเป็นการยอมแพ้
นอกจากนี้ หากมีคนหลายคนต้องการท้าประลองคนๆ เดียวกันในช่วงเวลาเดียวกัน พวกเขาจะต้องประลองกันเองเพื่อตัดสินว่าใครแข็งแกร่งที่สุดเสียก่อน แล้วสุดท้ายก็ค่อยมาสู้กับผู้ที่มีชื่ออยู่ในอันดับ
ชิงอวิ๋น
และคนส่วนใหญ่ที่ติดอันดับเอง ก็ต้องการเขยิบขึ้นสู่อันดับที่สูงกว่าเช่นกัน
ดังนั้นคนที่อยู่อันดับต่ำก็สามารถท้าประลองคนที่อยู่อันดับสูงได้ด้วย
ทว่าในส่วนของรายชื่อแขนงจอมยุทธ์นั้น ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา กลับไม่มีใครพยายามท้าประลองกับสามอันดับแรกเลย
ส่วนเหล่าผู้ที่มีอันดับต่อจากสามคนนี้ ก็มักจะสลับตำแหน่งอันดับกันขึ้นลงไปมา ทว่าความแข็งแกร่งของพวกเขานั้น มิได้แตกต่างกันสักเท่าไรเลย
แต่เหมือนว่าพวกเขาจะตกลงกันแล้ว จึงไม่มีใครคิดท้าดวลกับพวกที่อยู่เหนือตน
ไม่ต้องพูดถึงหรงซิวที่อยู่อันดับหนึ่ง และบุคคลลึกลับที่ถูกลบชื่อออกจากอันดับสอง หรือแม้แต่อันดับสาม ก็ไม่มีใครกล้าคิดจะท้าทายเลยสักคน
แม้ว่าเจ้าของอันดับสามผู้นั้น จะยังอยู่ในสำนักวิชาก็ตาม
อย่างใดเสีย นามของผู้ที่ครองตำแหน่งสูงสุดเหล่านั้น ก็ยังเปรียบเสมือนภูเขาลูกใหญ่อันยากจะข้ามผ่าน
ผู้คนจำนวนมากต้องการที่จะปีนขึ้นไปและก้าวข้ามผ่านมันให้ได้ ทว่าความจริงแม้แต่เงยหน้าขึ้นมองก็ยังถือเป็นเรื่องยาก
และแม้แต่คนที่หวังว่าสักวันจะไล่ตามพวกเขาให้ทัน ก็ยังไม่กล้าหุนหันพลันแล่น นับประสาอันใดกับคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านล่าง?
ไม่นานการประลองระหว่างหลี่จือหมิงและซุนเสี้ยวก็เริ่มขึ้น
หลังจากนั้นคนอื่นๆ ก็เริ่มท้าประลองตามกันไป
จัตุรัสชิงหมิงนั้นกว้างใหญ่ไพศาล และมากพอที่จะรองรับให้คนเหล่านี้ทำการประลองในช่วงเวลาเดียวกัน
รวมทั้งยังมีผู้อาวุโสที่คอยควบคุมอยู่ด้านข้าง จึงไม่มีอันใดต้องกังวล
ทางด้านปรมาจารย์เองก็กำลังจะมีการประลองเกิดขึ้นเช่นกัน
เมื่อเทียบกันแล้ว ฝั่งของเซียนหมอนั้นเงียบสงบกว่ามาก
ประการแรกอาจเป็นเพราะเซียนหมอมีน้อย แต่ในทางกลับกัน เพราะพนันโอสถกันทุกวัน จึงทำให้พวกเขาเข้าใจเรื่องความแข็งแกร่งของกันและกันดี
หากไม่มั่นใจว่าจะชนะ โดยพื้นฐานแล้วก็ไม่ควรท้าประลอง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีศิษย์จากฝั่งเซียนหมอประมาณสิบกว่าคนยืนขึ้นและเริ่มท้าประลอง
ส่วนฝั่งผู้หลอมอาวุธนั้น…
ยิ่งไม่มีสิ่งใดให้พูดถึง
ฉู่หลิวเยว่มิได้ข้องใจแต่อย่างใด ตราบใดที่คนผู้นั้นมีพรสวรรค์ด้านการหลอมอาวุธสักนิด ก็สามารถขึ้นไปอยู่บนรายชื่อได้แล้ว
“ฉู่เยว่? มาสิ! หัดมาสังเกตเรียนรู้ไว้เยอะๆ อีกสองสามเดือนก็ถึงคราวของเจ้าแล้ว!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงร้องเรียกนาง
ฉู่หลิวเยว่จึงเดินกลับไปและยืนอยู่ข้างๆ เขาอย่างเชื่อฟัง
ตอนนี้มีการแข่งกลั่นโอสถเกิดขึ้นตรงหน้าพวกเขาทั้งหมดแปดคู่ในเวลาเดียวกัน
ซึ่งบางคนก็เป็นคนที่ฉู่หลิวเยว่คุ้นเคยดี
…เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นางได้เดินท่องไปตามเนินเขาต่างๆ ในสำนักวิชาเพื่อพนันโอสถ และได้พบกับผู้คนมากหน้าหลายตา
“ไอ้หนู เจ้าว่าตานี้ใครจะชนะ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเชิดคางขึ้น พลางกระซิบถาม
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา
“ท่านอาจารย์ ท่านต้องการพนันโอสถกับข้าหรือไม่ ขอรับ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิง “…”
เจ้าเด็กนี่อยากได้คะแนนจนเสียสติไปแล้วหรือ!?
ทว่าครั้นเห็นท่าทางจริงจังของเด็กหนุ่มตรงหน้า ผู้อาวุโสวั่นเจิงถึงตระหนักได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้ล้อเล่น
ดูเหมือนว่าเขาจะอยากได้คะแนนเพิ่มจริงๆ!
“เจ้าเพิ่งเข้ามาในสำนักวิชา หลังจากนี้ยังมีเวลาสั่งสมคะแนนอีกเยอะ แล้วจักรีบร้อนไปไย? ข้าแค่ถามความเห็นจากเจ้า…”
แต่ก่อนที่ผู้อาวุโสวั่นเจิงจะพูดจบ เขาก็หันไปเห็นรอยยิ้มของเด็กหนุ่มเสียก่อน
“ท่านอาจารย์ เหมือนว่าทางสำนักจะตั้งกฎห้ามพนันโอสถช่วงสิ้นเดือน แต่มิได้สั่งห้ามช่วงต้นเดือนหนิขอรับ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเปลือกตากระตุกหนึ่งที
“ได้ยินว่าทุกครั้งที่ช่วงเวลานี้มาถึง จะมีคนบางกลุ่มเริ่มทำการแข่งขันแล้ววางเดิมพัน อันที่จริงวันนี้ก็มีหลายคนมาขอความเห็นจากศิษย์…”
ฉู่หลิวเยว่กล่าวพลางแสดงท่าทีลำบากใจ
“ท่านว่าข้าควรจะตอบรับ หรือไม่ตอบ…”
“เดี๋ยวข้ากลับไปเพิ่มคะแนนให้เจ้าก็ได้!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงตะโกนแทรกอย่างอดไม่ได้
เหตุใดก่อนหน้านี้เขาถึงมองไม่ออกว่าเด็กคนนี้จะมาไม้นี้?
คราแรกก็ดูน่ารักน่าเอ็นดู แต่พอตอนนี้กลับดูต่างจากที่เขาคาดไว้มาก…
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฉู่หลิวเยว่ก็ระบายยิ้มด้วยความพอใจ ขนงคิ้วโก่งโค้งลง ดวงตาคู่กลมเปล่งประกายสดใส
“ท่านอาจารย์ยอดเยี่ยมที่สุดเลยขอรับ!”
ทว่ารอยยิ้มนี้กลับทำให้ผู้อาวุโสวั่นเจิงตากระตุกอย่างรุนแรง
“เจ้า เจ้า…”
เหตุใดถึงรู้สึกเหมือนถูกหลอกเลยล่ะ!?
อีกทั้งความรู้สึกนี้ ที่ดูคุ้นเคยอย่างน่าประหลาด…
แต่ไม่รอให้เขาได้ครุ่นคิดอย่างถี่ถ้วน ฉู่หลิวเยว่ก็หันไปมองการประลองแล้ว
นางยกมือกอดอกแล้วยกมือข้างหนึ่งลูบปลายคางเบาๆ ราวกำลังใช้ความคิด
“ศิษย์คิดว่าการแข่งขันรอบนี้…”
ท่ามกลางแสงสุริยันอันเจิดจ้า ใบหน้าหล่อเหลาของเด็กหนุ่มนั้นช่างดูไร้เดียงสาและไร้พิษสง
เด็กหนุ่มตรงหน้าจมดิ่งกับความคิด เงียบขรึมอย่างใช้สมาธิ อีกทั้งยังมีลมปราณแปลกๆ แพร่กระจายออกมารอบตัว
ในใจผู้อาวุโสวั่นเจิงแอบคิดว่าเขาอาจคิดมากเกินไป
ทว่าขณะเดียวกัน จู่ๆ ก็มีเสียงอึกทึกดังมาจากฟากฟ้า!
“หรงซิว! มาสู้กันสักตั้งหน่อยปะไร!?”