ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1143 ให้มันไปเถอะ
ตอนที่ 1143 ให้มันไปเถอะ
จะว่าไปก็แปลกนัก ตาน้ำพุนี้ผุดขึ้นมาจากยอดเขาของเขาหมื่นเมรัยอย่างเคย แต่มิอาจรู้ได้ว่าสุดท้ายแล้ว น้ำพุที่อยู่ภายในนั้นพวยพุ่งออกมาได้อย่างใด
ขนาดของตาน้ำพุกับบ่อน้ำปกตินั้นห่างกันไม่มาก บริเวณขอบของมันเป็นหินภูเขาสีขาวกึ่งโปร่งใส มิอาจรู้ได้ว่าเพราะภายในบรรจุน้ำพุไว้เต็มเปี่ยม หรือเป็นเพราะแสงจันทร์สว่างสุกใสเหลือเกิน โดยรวมแล้วถึงทำให้ตาน้ำพุนี้ดูมันเงาแลชุ่มชื้นเป็นพิเศษ
เมื่อมองจากที่ไกลๆ น้ำพุจากตาน้ำพุก็ยังคงพวยพุ่งออกมาอย่างต่อเนื่อง จากนั้นมันก็ไหลเอื่อย ก่อตัวเป็นธารน้ำสายหนึ่งที่แผ่ขยายลำน้ำมาจากยอดเขา
คนจำนวนไม่น้อยพากันยืนอออยู่โดยรอบ มีบางคนที่ถือกาสุราหรือจอกสุราที่รินจนเต็ม บ้างก็ดื่มสุราลงไปรวดเดียว บ้างก็ละเมียดลิ้มชิมอย่างช้าๆ
ทุกคนต่างก็หันหน้าพูดคุยสนทนาด้วยกันอย่างออกรส บรรยากาศครึกครื้นคึกคักยิ่งนัก
จุดที่นั่งที่จองไว้ดิบดีก่อนที่พวกฉู่หลิวเยว่จะมาถึง ที่แท้ก็เป็นขอบเขตข้างลำน้ำนี่เอง
จากตรงนี้นั้นก็ยังคงห่างจากตาน้ำพุประมาณหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามอง ก็จำได้ว่าคนเหล่านั้นที่ยืนล้อมรอบตาน้ำพุได้ใกล้ที่สุดเป็นศิษย์พี่ชายหญิงที่ต่างก็แข็งแกร่งไม่เป็นรองใคร
ยามมองไปยังคนที่อยู่ข้างกัน เห็นชัดเลยว่าสีหน้าแฝงด้วยความอิจฉาอย่างมาก
ทว่า ไม่มีผู้ใดก้าวข้ามเส้นขอบเขตไปแม้แต่คนเดียว
ดูท่าแล้วทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างก็ยึดมั่นในกฎทั้งสิ้น
“ไม่รู้เลยว่าเมื่อไรพวกเราถึงจะได้ไปยืนอยู่ใกล้ๆ ตาน้ำพุบ้าง…”
จัวเซิงกดเสียงต่ำอย่างหาได้ยาก ภายในแววตาเปี่ยมด้วยความอิจฉา
“ได้ยินมาว่าน้ำพุที่เพิ่งผุดออกมาจากตาน้ำพุ กักเก็บพลังที่บริสุทธิ์อย่างยิ่งยวด หลังจากที่น้ำไหลเอ่อออกมา ประสิทธิภาพของมันก็จะอ่อนแอลงไปมาก ถ้าหากไปยืนอยู่ตรงนั้นได้…”
“เห้อ! มีใครในสำนักบ้างที่ไม่อยาก? แต่มันจะไปง่ายขนาดนั้นได้อย่างใด? ต้องเข้าใจก่อนว่าพวกคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นน่ะล้วนเป็นห้าสิบอันดับแรกจากงานประลองชิงอวิ๋น!”
หางคิ้วของฉู่หลิวเยว่เลิกขึ้นเล็กน้อย
ห้าสิบอันดับแรก เช่นนั้นโดยปกติแล้วก็คือสี่สิบกว่าคน
มิเช่นนั้นก็สามารถพูดได้ว่าสี่สิบอันดับแรกไปจนถึงสามสิบอันดับแรกเสียด้วยซ้ำ
การจัดอันดับเช่นนี้ภายในสำนักย่อมนับได้ว่าเป็นกลุ่มที่มีความสามารถโดดเด่นอย่างมาก
แต่แน่นอนว่ามิอาจพูดได้ว่าเป็นระดับต้นๆ
พวกที่เก่งกาจเหนือใครกลุ่มนั้นคงไม่มีใครมาปรากฏตัวในสถานที่เช่นนี้หรอก
ฉู่หลิวเยว่เบนสายตากลับมา สาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ธารน้ำพลางมองดูอย่างพินิจพิเคราะห์
พอยืนอยู่ตรงนี้ก็สัมผัสได้ถึงลมปราณอันเบาบางที่ถูกกักเก็บไว้อยู่ภายใน
ราวกับว่า…เป็นกระแสพลังบริสุทธิ์ที่มีความพิเศษเฉพาะตัวรูปแบบหนึ่งก็มิปาน
ในใจฉู่หลิวเยว่บังเกิดความสงสัยขึ้นมาหลายส่วน
ได้ยินมาว่าในอดีต เขาหมื่นเมรัยลูกนี้แท้จริงแล้วเป็นเพียงยอดเขาธรรมดาลูกหนึ่งเท่านั้น
อยู่มาวันหนึ่งเมื่อพันปีก่อน มิรู้ว่าเหตุใด ฟ้าดินเกิดวิกฤตแปรปรวน ลมพายุก่อตัวขึ้น
หลังจากความวุ่นวายได้สงบลง บนเขาหมื่นเมรัยก็ปรากฏสิ่งอันน่าอัศจรรย์เช่นนี้ออกมา
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ก็ผ่านมาได้หลายปีดีดักแล้ว
“จิ๊ สุราของเขาหมื่นเมรัยนี่เป็นของดีโดยแท้!”
จัวเซิงห้ามความอยากรู้อยากเห็นของตนไว้ไม่ไหว ฉวยตักสุรามาเต็มจอก หลังดื่มลงไป ดวงตาทั้งสองก็พลันเปล่งประกาย
“พวกเจ้าเองก็ลองดูซี!”
หลัวเยี่ยนหมิงและหลัวซือซือเองก็ผลัดกันดื่มคนละอึกสองอึก จากนั้นก็ทยอยกันแสดงสีหน้าตะลึงงันออกมา
“เป็นของดีจริงๆ ด้วย!”
“รสกลมกล่อมยิ่งกว่ามะแขว่นใบเขียว ที่พวกเราเคยดื่มกันก่อนหน้านี้ที่ตระกูลอีกนะนี่…”
นางหันศีรษะมามอง ถวนจื่อที่ไม่รู้ว่าปรากฏตัวตั้งแต่เมื่อใดนั่งยองอยู่บนไหล่ของนาง
ในตอนนั้นเอง มันก็มองไปทางธารน้ำพุด้วยดวงตาอันเป็นประกาย ท่าทีของมันดูกระหายอยากเสียเหลือเกิน
ฉู่หลิวเยว่ “เจ้าอยากดื่มหรือ”
ถวนจื่อพยักหน้าหงึกหงักอย่างบ้าคลั่ง
อยากสิ!
อยากมากด้วย!
กลิ่นมันหอมหวนเสียเหลือเกินเข้าใจหรือไม่!?
ฉู่หลิวเยว่มองท่าทางอันหาได้ยากเช่นนี้ของมันก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา ก่อนจะเอื้อมไปหยิบจอกสุราแล้วเติมจนเต็มจอก จากนั้นก็ยื่นส่งให้มันตรงหน้า
“นี่ ให้เจ้า”
ถวนจื่อยื่นศีรษะเข้าไปใกล้แล้วดื่มไปอึกหนึ่ง นัยน์ตาของมันก็ยิ่งทอประกายแสงสว่างวาบ
ไม่ทันไร น้ำพุภายในจอกนั้นก็ถูกถวนจื่อดื่มจนหมดเกลี้ยง
มันใช้ลิ้นแตะเพดานปากทำเสียงเดาะลิ้น แล้วมองอย่างกระหายไปทางฉู่หลิวเยว่ ภายในแววตาเปิดเปลือยทุกความรู้สึก
“เอาอีกหรือ?“
ฉู่หลิวเยว่กวาดตามองพุงของมันอย่างสงสัย
ตอนนี้ถวนจื่อยังไม่ได้คืนสู่ร่างที่แท้จริง แต่ว่าขนาดตัวมันเท่าฝ่ามือ จอกเมื่อครู่ก็สามารถครอบตัวมันได้ทั้งตัวแล้ว
อีกทั้งยังไม่รู้ว่าน้ำพุเยอะถึงเพียงนั้น มันดื่มลงท้องจนหมดเกลี้ยงไปได้อย่างใด
ตอนนี้ยังจะดื่มอีกหรือ?
ถวนจื่อขยับเข้าไปออดอ้อนออเซาะใกล้อีกหน่อย พรมจูบบนหน้านางเบาๆ ก่อนจะใช้หัวที่เต็มไปด้วยขนฟูฟ่องถูไถไปมาบนดวงหน้าของนางอย่างประจบเอาใจ
นิสัยขี้ประจบเอาใจถูกเปิดโปงจนหมดสิ้น
ฉู่หลิวเยว่ “…”
“เอ๋ ฉู่เยว่ นั่นสัตว์อสูรในพันธะของเจ้าหรือ?”
หลัวซือซือเอ่ยถามอย่างตื่นตะลึง
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับ
“ฮี่…นี่ดูเหมือน…กษายะหางวายุเลยนะ?”
หลัวเยี่ยนหมิงที่ยืนอยู่ด้านข้างแทบปกปิดความตื่นเต้นไว้ได้ไม่มิด
มันเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์นี่!
อีกทั้งยังเป็นอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่มีพลังสืบทอดจากสายเลือดแข็งแกร่งมหาศาลอย่างยิ่งยวดอีกด้วย!
ต่อให้เป็นพวกเขาก็อาจไม่มีวันได้ทำพันธะกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ระดับนี้
หลัวซือซือเองก็เบิกตากว้างน้อยๆ เช่นกัน
นางรู้ว่าฉู่เยว่มีพันธสัญญาผูกกับอสูรศักดิ์สิทธิ์ มิเช่นนั้นแล้วเมื่อตอนกลางวัน เขาก็คงไม่ผ่านข้อกำหนดแล้วเข้าร่วมการทดสอบรอบนั้นของช่างหลอมอาวุธได้
แต่ว่านางเองก็คาดไม่ถึงเช่นกันว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ของฉู่เยว่จะเป็นตัวตนที่ยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้
“ดูไม่ออกเลยจริงๆ! ฉู่เยว่ เจ้าเพิ่งอายุได้เท่าไรเอง แต่กลับมีอสูรศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้ที่ผูกพันธะไว้ด้วยแล้ว!?”
จัวเซิงที่ปรายตามองไวๆ เองก็มีสีหน้าตื่นตะลึง
“ไม่ใช่ว่าเจ้าเรียนด้านเซียนหมอหรอกหรือ เหตุใดถึงสามารถทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้?”
พวกเขาล้วนรู้กันอยู่ว่าระดับจอมยุทธ์ของฉู่เยว่นั้นอยู่ที่ระดับเจ็ดขั้นต้น
หากวัดจากทักษะและพลังแล้ว มันไม่สมเหตุสมผลที่นางจะสามารถสยบอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เย่อหยิ่งพวกนี้ได้จึงจะถูก
ฉู่หลิวเยว่คลี่ยิ้มบางๆ
“โชคค่อนข้างดีน่ะ”
“นี่มันออกจะดีเกินไปหน่อยกระมัง…”
จัวเซิงพึมพำออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ สายตาที่มองไปทางฉู่หลิวเยว่ยิ่งทวีความชอบกล
“สรุปแล้วเจ้าเป็นมาอย่างใดกันแน่?”
ดูจากสมบัติที่ถือครองไว้ คงจะเป็นบุตรชายของตระกูลชั้นสูงสักตระกูลหนึ่งกระมัง?
ฉู่หลิวเยว่เพียงยิ้มมิได้ตอบคำอันใด เป็นเชิงว่ามิคิดเปิดเผยสถานะของตน
พวกหลัวซือซือเองก็มิได้ใส่ใจ
ศิษย์ภายในสำนักหลิงเซียวล้วนมีโอกาสมาจากสถานที่แห่งใดหรือครองพลังแบบไหนก็ได้ภายในแผ่นดินใหญ่
มีคนจำนวนมากที่ไม่คิดเปิดเผยที่มาแลพื้นเพทั้งหมดของตนด้วยเหตุผลหลากหลายประการ
ยิ่งไปกว่านั้น ในสำนักเองก็มีเจ้าสำนักและผู้อาวุโสคอยสอนสั่งและควบคุม ทุกคนต่างก็ให้ความสำคัญอยู่กับการฝึกตน มิใช่เรื่องอื่นใด
ด้วยเหตุนี้ เมื่อใครคนหนึ่งมิอยากเอ่ยถึงพื้นเพหรือภูมิหลังของตน คนรอบข้างก็จะรู้ดีว่ามิควรซักไซ้ถามต่อ
อย่างใดเสียเรื่องพวกนี้ก็ไม่ได้สลักสำคัญอันใดต่อการอยู่ภายในสำนักอยู่แล้ว
ขอเพียงเจ้าโดดเด่นแลเก่งกาจมากพอ เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องไปสนใจเรื่องอื่นทั้งนั้น
ฉู่หลิวเยว่หยอกล้อกับถวนจื่อไปมา
“อยากดื่มอีกก็ไปดื่มเอาเองแล้วกัน”
อย่างใดเสียพวกเขาก็นั่งกันอยู่ริมธารน้ำ ขอแค่ถวนจื่อบินลงไปเองก็ได้ดื่มสมใจแล้ว
ทว่าถวนจื่อกลับส่ายศีรษะ แววตาอันเป็นประกายซึ่งเปี่ยมด้วยความกระตือรือร้นมองไปยังทิศทางหนึ่ง
ฉู่หลิวเยว่มองตามสายตาของมันไป มุมปากเองก็พลันกระตุกเล็กน้อย
“…เจ้า…คงไม่ใช่ว่าอยากไปดื่มน้ำตรงตาน้ำพุหรอกใช่หรือไม่?”
ถวนจื่อกระพือปีกของมันดังพึ่บพับ
ใช่แล้วล่ะ!
ไปตรงนั้นน่ะตรงนั้น!
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางคว้าปีกของถวนจื่อเอาไว้แล้วหิ้วมันขึ้นมา จากนั้นก็จ้องเข้าไปในดวงตาของมันโดยตรง
“ถวนจื่อ เจ้าเข้าใจอันใดในตัวเองผิดไปหรือเปล่า หรือว่าเข้าใจข้าผิดไปกัน?”
นางไม่มีคุณสมบัติใดจะไปตรงนั้นเลยด้วยซ้ำ แต่มันกลับรู้สึกสนใจขึ้นมาเสียอย่างนั้น?
ถวนจื่อจ้องไปที่นางพลางทำตาปริบๆ
“ให้มันไปเถอะ”
สุ้มเสียงอันเฉื่อยชามิแยแสของอินทรีสามตาพลันดังแว่วเข้ามา