ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1148 บดขยี้ซะ
ตอนที่ 1148 บดขยี้ซะ
ในขณะเดียวกันนั้น ร่างกายของถวนจื่อเองก็เกิดเปลี่ยนแปลงขนาดใหญ่เช่นเดียวกัน
เปลวเพลิงที่ทวีความร้อนแรงขึ้นแผดเผาขึ้นมาโดยพลัน!
เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ถวนจื่อดูจะตัวเล็กกว่าอีกฝ่ายประมาณหนึ่ง
“หึ”
หลิ่วอินถงที่จับตามองดูฉากนี้อยู่อดไม่ได้ที่จะแค่นหัวเราะ บนดวงหน้าของนางปรากฏสีหน้ามั่นใจจากเตรียมการมาอย่างดีพร้อม
ปริมาณของพละกำลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญา สามารถใช้ออกมาได้กับระดับและพลังของเจ้านายมีความเกี่ยวพันกันอย่างเหนียวแน่น
ต่อให้สายเลือดของกษายะหางวายุตัวนี้จะบริสุทธิ์เพียงใด ก็ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงความจริงที่ว่าเจ้านายของมันเป็นเพียงจอมยุทธ์ระดับเจ็ดไปได้!
ช่องว่างระหว่างพวกนางในครานี้ ย่อมไร้หนทางชดเชยแต่แรกแล้ว!
“จบเรื่องได้แล้ว!”
เมื่อหลิ่วอินถงออกคำสั่ง กษายะหางวายุตัวนั้นก็พุ่งเข้ามาหาถวนจื่อทันที!
รูปร่างภายนอกของมันเหนือชั้นกว่าอย่างเห็นได้ชัด!
แรงกดดันมหาศาลอันน่าหวาดหวั่นพลันกดทับลงมา!
ปีกทั้งสองของถวนจื่อสั่นระริก ในตอนที่กำลังจะบินขึ้น มันกลับพบว่าพื้นที่ว่างโดยรอบพลันผิดแปลกขึ้นอยู่หลายส่วน!
ทั่วทุกสารทิศพลันรู้สึกหนักอึ้งขึ้นมาในบัดดล ประหนึ่งว่ามันกำลังจมลงไปในโคลนตม กระทั่งพยายามดิ้นรนยังเป็นเรื่องยากเกินกว่าจะทำไหว
“นี่มันอาณาเขตเซียนเทพนี่!”
เสียงร้องอย่างตื่นตกใจดังมาจากทางกลุ่มคน
อาณาเขตเซียนเทพของอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น ต่างจากของเผ่ามนุษย์ที่ต้องบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบากจนบรรลุไปถึงระดับผู้แข็งแกร่งระดับเทพเสียก่อน จึงจะสามารถกางอาณาเขตเซียนเทพของตนขึ้นมาได้อย่างสมบูรณ์แบบ
แต่ของอสูรศักดิ์สิทธิ์นั้น หลังจากที่พวกมันถือกำเนิดขึ้นมา ก็มักจะมีพรสวรรค์นี้ติดตัวกันอยู่แล้ว
ขอเพียงรอจนโตเต็มวัย ก็จะสามารถใช้อาณาเขตเซียนเทพของตนออกมาได้ตามปกติ
และในครานี้ ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่ากษายะหางวายุตัวนั้น คิดจะใช้สิ่งนี้เพื่อสังหารกันซึ่งหน้า!
“ได้ยินมาว่าหากพลังของผู้ทำพันธสัญญากับอสูรศักดิ์สิทธิ์มีไม่มากพอ มันจะส่งผลกระทบต่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ไปด้วย ทำให้อสูรศักดิ์สิทธิ์ไม่สามารถใช้พลังสายเลือดออกมาได้ทั้งหมด…ดูจากครานี้แล้ว เห็นทีจะมิใช่เรื่องโกหก!”
“กษายะหางวายุตัวนั้นของฉู่เยว่ดูท่าจะยังโตไม่เต็มที่ แข่งครั้งนี้คงจะพ่ายแพ้อย่างมิต้องสงสัย!”
“หลิ่วอินถงเองก็กลายเป็นผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพมาตั้งนานแล้ว แม้ว่าพลังที่อสูรศักดิ์สิทธิ์ของนางใช้ได้จะยังมีจำกัด แต่ว่าเอามาใช้จัดการฉู่เยว่แค่นี้ก็พอเสียยิ่งกว่าพอแล้วกระมัง?”
กลุ่มคนพากันกระซิบกระซาบอย่างกระวนกระวายใจ แต่ละคนต่างคิดเห็นตรงกันในเรื่องผลการแข่งขันของการแข่งครานี้
และในตอนนั้นเอง กรงเล็บอันคมกริบของกษายะหางวายุตัวนั้นก็ตวัดไปทางดวงตาของถวนจื่อ!
ราวกับว่าต้องการควักลูกตาของถวนจื่อออกมาในพริบตา!
แววตาของถวนจื่อโหมไปด้วยเพลิงโทสะ!
“ช่างมารดามันเถอะ” ทั้งที่มันไม่ได้รู้ถึงเศษเสี้ยวของความแข็งแกร่งเลย แต่ยังคิดเองเออเองอีกไปว่าตัวเองน่ะยิ่งใหญ่เทียมฟ้า!
ตูม!
ชั่วพริบตาเดียวนั้น ในตอนที่ทุกคนกำลังจับจ้องฉากตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึงอยู่นั่นเอง ร่างของ
ถวนจื่อพลันระเบิดกระแสคลื่นพลังอันน่าหวาดผวาสายหนึ่งออกมา!
แกร๊ก!
ท่ามกลางความว่างเปล่า ราวกับว่ามีบางอย่างทยอยแตกออกมา!
นัยน์ตาของกษายะหางวายุตัวนั้นปรากฏแววความตกตะลึงวาบผ่าน
ทว่าแววความตกตะลึงนั้น ก็แปรเปลี่ยนเป็นความตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างรวดเร็ว!
มันแทบจะพาร่างของตนหลบเลี่ยงและถอยหลังออกมาอย่างไม่เสียเวลาคิด!
“เสี่ยวเฟิ่ง!?”
หลิ่วอินถงมองดูฉากนี้ด้วยสีหน้าตะลึงพรึงเพริด
เมื่อครู่ยังสภาพดีอยู่เลยมิใช่หรือไรกัน เหตุใดพริบตาเดียวถึงกลับตาลปัตรมาเป็นเช่นนี้ได้?
กระทั่งความรู้สึกหวาดกลัวในส่วนลึกของจิตใจของตน นางก็สัมผัสถึงมันได้อย่างชัดเจน
ครู่ต่อมา หลิ่วอินถงก็ได้เข้าใจโดยพลันถึงสาเหตุที่ทำให้นางมีปฏิกิริยาตอบโต้เช่นนั้น
“ปัง ปัง ปัง”!
สุ้มเสียงที่ดังเป็นจังหวะพลันแว่วมา!
อาณาเขตเซียนเทพที่กษายะหางวายุใช้ในตอนแรก ได้พังทลายกลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่าทีละน้อย ทีละน้อย!
รอยร้าวที่แยกออกเป็นช่องว่างสีดำสนิทสายหนึ่งแผ่ขยายออกไป ยามมองดูจากที่ไกลๆ แล้วก็แลดูเหมือนกับแผ่นดินผืนใหญ่ที่แตกระแหง มองดูแล้วในใจรู้สึกหวาดผวายิ่ง!
ประหนึ่งว่ามีแรงกดดันมหาศาลที่หนักอึ้งยิ่งกว่าขจัดมันออกไปเสียสิ้นพลางแล่นปราดขึ้นมาอย่างมิย่อท้อ!
หลิ่วอินถงพลันเบิกตากว้าง!
สีหน้าของกงเซิ่งที่อยู่ข้างกันนั้นเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน แขนที่เดิมกอดอกอยู่คลายออกอย่างไม่รู้ตัวพลางมองไปยังภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างตื่นตะลึงและอับจนคำพูด เขาแทบจะคิดว่าตัวเองมองผิดไปแล้วด้วยซ้ำ!
อาการตอบสนองของคนอื่นๆ เองก็ไม่ต่างไปจากนี้มากนัก
และทุกอย่างนี้ล้วนเป็นเพราะ…ถวนจื่อเองก็ได้กางอาณาเขตเซียนเทพของตนเช่นกัน!
แม้ว่าขอบเขตของมันจะเล็กมากนัก ทว่าด้วยขนาดที่แผ่ขยายไปทั่วทุกมุมทั้งหมดเช่นนี้ ก็สามารถบดขยี้กษายะหางวายุของหลิ่วอินถงได้อย่างง่ายดาย!
“นี่มัน เป็นไปได้อย่างใดกัน!?”
กงเซิ่งพ่นลมหายใจหนาวยะเยือกออกมาพลางพึมพำเสียงต่ำ
“ฉู่เยว่เป็นแค่จอมยุทธ์ระดับเจ็ดแท้ๆ แล้วอสูรศักดิ์สิทธิ์ของมันกางอาณาเขตเซียนเทพได้อย่างใดกัน!?”
มิมีผู้ใดตอบคำถามนั้นของเขา
ทั้งหมดนี่ล้วนเกิดขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว!
เมื่อเห็นว่ากษายะหางวายุตัวนั้นคิดจะหนี นัยน์ตาของถวนจื่อก็ปรากฏประกายเย็นเยียบที่ส่องสว่างนักสายหนึ่งวาบผ่าน
มันพุ่งไปยังด้านหน้าอย่างรวดเร็ว!
ในตอนนี้พื้นที่ว่างเปล่าที่อยู่ใกล้กันนั้นล้วนถูกปกคลุมไปด้วยอาณาเขตเซียนเทพของถวนจื่อ ดังนั้นความเร็วของมันจึงเพิ่มขึ้นอย่างมาก พริบตาเดียวก็พุ่งเข้ามาประชิดทางด้านหลังของกษายะหางวายุตัวนั้นแล้ว!
กษายะหางวายุตัวนั้นราวกับว่ารู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างจึงหันกลับไปมอง ดวงตาที่แสนจะยโสโอหังของมันปรากฏแววตื่นตะลึงและหวาดผวาอย่างหาได้ยากเข้ามาแทนที่
ถวนจื่อปรายตามองมันคราหนึ่ง
กี้!
เสียงวิหคร้องเสนาะดังฟังชัดพลันแว่วขึ้นมา มันก้องกังวานไปทั่วผืนฟ้าเหนือเขาวั่นจิ่วอยู่ครู่ใหญ่!
บรรดาผู้คนต่างก็ใจสั่น ประหนึ่งว่ามีหินยักษ์ก้อนหนึ่งร่วงหล่นมาจากด้านบนแล้วกระแทกแตกออกอย่างรุนแรง! ในชั่วพริบตานั้นก็ราวกับว่าเลือดในกายทั้งหมดเย็นเฉียบจนยากที่จะขยับไปไหนได้!
“นี่ก็คือ…แรงกดดันของกษายะหางวายุหรือนี่…?”
ท่ามกลางความเงียบสงัด มีคนผู้หนึ่งเอ่ยพึมพำขึ้นมาเสียงต่ำ
เสียงพูดเบาหวิวนัก ทว่าเต็มไปด้วยความตระหนกตกใจยิ่ง
“นี่…นี่มันอสูรศักดิ์สิทธิ์ที่ครองสายเลือดของหงส์ทองคำไว้ชัดๆ เลยนี่นา!”
ทันใดนั้นเอง ถวนจื่อก็พุ่งตรงไปยังเบื้องหน้าท่ามกลางสายตานับไม่ถ้วนที่กำลังจดจ้อง!
กษายะหางวายุที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเอี้ยวตัวหลบโดยสัญชาตญาณ!
ฉัวะ!
บนปีกของมันถูกทิ้งไว้ซึ่งบาดแผลขนาดใหญ่รอยหนึ่ง!
ขนของมันร่วงหลุดออก โลหิตหลั่งรินชุ่มโชก!
บริเวณปากแผลของมันเปิดจนมองเห็นกระทั่งกระดูกสีขาวได้ชัด!
คนจำนวนไม่น้อยต่างพรูลมหายใจหนาวเหน็บออกมา
…แค่ตวัดลงมากรงเล็บเดียว ก็ฉีกกระชากปีกให้ขาดครึ่งได้เลยอย่างนั้นหรือ!?
นี่เป็นพลังต่อสู้อันน่าหวาดเกรงอย่างใดกัน!
กระทั่งหลิ่วอินถงที่จับตามองฉากต่อสู้กลางอากาศฉากนี้เองยังไร้สิ่งใดจะเอ่ย
เป็นกษายะหางวายุเหมือนกัน กระทั่งกษายะหางวายุของนางโตเต็มวัยก็แล้ว รูปร่างเองก็ใหญ่โตกว่า ดูแล้วพละกำลังเองก็แกร่งกล้ายิ่งกว่า
เดิมทีนางคิดว่าชัยชนะครานี้ห่างเพียงเอื้อมมือ ใครจะรู้ว่า…
“เสี่ยวเฟิ่ง!”
หลิ่วอินถงรีบเรียกสติกลับมาโดยพลัน ก่อนจะเอ่ยเสียงแหลมออกไป
“นี่เจ้ามัวแต่ทำอันใดอยู่!? เอาชนะมันซะสิ!”
ถ้าหากว่าแพ้ ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมาล่ะก็…
เมื่อกษายะหางวายุตัวนั้นได้ยินคำสั่ง ในดวงตาก็ปรากฏแววคิดดิ้นรนขึ้นมา
ทว่ามิรอให้มันได้เตรียมตัวดี กรงเล็บของถวนจื่อก็ตวัดฟาดลงมาอย่างไร้ปรานี!
เจ้าเป็นบ้านักใช่หรือไม่!
อวดดีนักหรือ!
เจ้าตัวบัดซบหน้าไม่อายเยี่ยงเจ้า กับพลังสายเลือดกระจอกงอกง่อยเช่นนั้น ยังมีหน้ามาคิดเอาชนะข้าอีกอย่างนั้นหรือ!?
ฉัวะ…แกร๊ก!
เสียงถอนขน ฉีกกระชากเนื้อหนัง หักกระดูกผสมปนเปกันไป ทำเอาคนที่ได้ยินต่างก็รู้สึกปวดฟันขึ้นมา!
โลหิตสดๆ สาดกระจายไปทั่ว!
คนจำนวนไม่น้อยพากันขนหัวลุกซู่
นี่ นี่มัน…
ถ้าปล่อยให้ลงมือต่อไป เกรงว่ากษายะหางวายุตัวนั้นจะถูกตีจนพิการไปเสียกระมัง!?
หลิ่วอินถงเองก็รู้ซึ้งถึงข้อนี้ดี
ในใจของนางทั้งตื่นตะลึงทั้งโกรธเกรี้ยว จะอย่างใดก็คิดไม่ถึงว่าวันหนึ่งอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองที่ตนคอยเฝ้าดูประคบประหงมอย่างดีดั่งสมบัติล้ำค่า จะมาถูกจัดการเสียแบบนี้!
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
ทั่วทั้งร่างของนางเริ่มสั่นระริกเล็กน้อย ขอบตาเองก็แดงก่ำ
ในช่วงเวลานั้น ต่อให้นางยืนกรานไม่คิดจะยอมรับ แต่ก็รู้ภาพรวมอยู่แก่ใจว่าอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของนางมิใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลยแม้แต่น้อย ยิ่งกว่านั้นจะกลายเป็นเนื้อบนเขียงให้คนอื่นเขาสับเอาเสียเปล่าๆ!
ถวนจื่อทำประหนึ่งว่าฟังไม่ได้ยินก็มิปาน มันยังคงทิ้งบาดแผลนานารูปแบบไว้บนร่างของกษายะหางวายุตัวนั้นอย่างต่อเนื่อง!
หลิ่วอินถงหันไปมองทางฉู่หลิวเยว่อย่างเปิดเผย ก่อนจะตะโกนออกไปด้วยท่าทีที่แสร้งทำเป็นเข้มแข็ง
“เจ้ายังไม่บอกให้มันหยุดมืออีก!?”
ฉู่หลิวเยว่จึงเอ่ยปากขึ้นด้วยท่าทีไม่รีบไม่ร้อน
ทว่ากลับมิได้เอ่ยบอกให้ถวนจื่อหยุดตามคำร้องของนาง
นางปรายตามองไปยังหลิ่วอินถง
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็แปลว่าศิษย์พี่หลิ่วยอมแพ้แล้วใช่หรือไม่ขอรับ?”