ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1152 พวกเจ้า ใครจะเข้ามาก่อนกัน
ตอนที่ 1152 พวกเจ้า ใครจะเข้ามาก่อนกัน
“ฉู่เยว่!”
คนทั้งสามต่างก็ร้องเสียงดังด้วยความตระหนกตกใจ หัวใจของแต่ละคนแทบจะกระโจนออกมาจากภายในลำคอ!
ในตอนนั้นเอง คลื่นพลังอันเหี้ยมโหดสายหนึ่งก็แผ่ขยายมาจากทางยอดเขาอย่างรวดเร็ว!
ในใจของหลัวเยี่ยนหมิงรู้ได้ว่าไม่ดีแน่ จึงรีบบังคับพาคนทั้งสองถอยร่นกลับในทันที!
ในจังหวะที่ทุกคนรู้สึกได้ถึงพลังมหาศาลอันน่าหวาดผวาสายหนึ่งกำลังรุดโจมตีเข้ามา ร่างของพวกเขาพลันถูกยกลอยขึ้น!
ประหนึ่งว่าฟ้าดินกำลังเคลื่อนหมุน!
ทว่าเพียงชั่วครู่เดียว พวกเขาทั้งหมดก็ร่วงลงสู่พื้น!
ปั่ก!
เสียงที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกขุ่นมัวดังแว่วมา
หลัวซือซือสะกดกลั้นความเจ็บปวดบริเวณแผ่นหลังเอาไว้ ก่อนจะใช้แรงทั้งหมดของตนยกศีรษะขึ้นมามองดู นางกลับพบว่าตัวเองถูกส่งออกมานอกเขาหมื่นเมรัยเสียแล้ว!
หลัวเยี่ยนหมิงกับจัวเซิงทั้งสองคนเองก็อยู่ข้างๆ นางเช่นเดียวกัน
เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไปจากตรงนี้ เขาวั่นจิ่วยังคงเงียบสงบ กิ่งก้านใบไม้ต่างก็ส่งเสียงกรอบแกรบไปตามลมราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเลยก็มิปาน
ใจของหลัวซือซือประหนึ่งว่าถูกอันใดบางอย่างบีบเค้น!
“ซือซือ เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?”
หลัวเยี่ยนหมิงยันกายของตนขึ้นมาอย่างยากลำบาก เขาแทบไม่สนใจความเจ็บปวดบนร่างกายตน ทว่ากลับเอ่ยปากถามขึ้นมาเสียก่อนด้วยความกังวล
หลัวซือซือส่ายศีรษะ
“พี่ห้าโปรดวางใจเถิดเจ้าค่ะ ข้าไม่เป็นไร! แต่…”
หลัวเยี่ยนหมิงรู้สึกได้ว่าสายตาของนางมีบางอย่างไม่ถูกจึงหันมองตามครรลองสายตาของนางไป
ตอนที่มองเห็นเขาวั่นจิ่วที่เงียบสงัดและอึมครึมหาสิ่งใดเปรียบ เขาเองก็มีท่าทีตกใจเช่นกัน นัยน์ตาหดเล็กลงในพริบตา!
“เหตุใด เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้ได้…”
แม้ว่าที่นี่จะเป็นบริเวณตีนเขาของเขาหมื่นเมรัย ทว่าภาพมันกลับดูไม่เหมือนสถานการณ์บนเขาเลยแม้แต่น้อย!
ยิ่งไปกว่านั้น สุ้มเสียงอันน่าหวาดผวาเมื่อสักครู่นี้ ปกติต่อให้อยู่ไกลกว่านี้ย่อมต้องสังเกตได้ชัด
ทว่าในตอนนี้ เขาหมื่นเมรัยกลับดูไปแล้วเงียบสงัดเป็นอย่างมาก…
“ดูเหมือนว่าบนเขาหมื่นเมรัยจะมีค่ายกลแบบพิเศษปกคลุมไว้อยู่!”
จัวเซิงแสยะปากพลางหยัดตัวลุกขึ้น
“มิเช่นนั้นแล้ว มันย่อมไม่มีทางเป็นอย่างที่พวกเราเห็นกันอยู่ตอนนี้แน่! นี่ยังอธิบายได้อีกว่าเหตุใดเขาหมื่นเมรัยที่ปรากฏเสียงการเคลื่อนไหวเช่นนั้น กลับมิมีใครตรงดิ่งเข้ามาดูเลยแม้แต่น้อย!”
คำพูดของจัวเซิงทำให้ฝั่งหลัวซือซือทั้งสองคนเข้าใจในบัดดล
“มิน่าเล่า!”
ในหัวของหลัวเยี่ยนหมิงพลันปรากฏแสงสว่างวาบ
“เวลาเปิดของเขาหมื่นเมรัยในทุกวันล้วนมีกฎเกณฑ์ตั้งขึ้นไว้โดยเฉพาะ ก่อนหน้านี้ข้าไม่เคยคิดมาก่อน ตอนนี้พอลองมาคิดดู จุดนี้ไม่แปลกไปหน่อยหรือ? บางทีเวลาผู้อาวุโสหลอมอาวุธ มักดึงดูดทัณฑ์สวรรค์อยู่บ่อยครั้ง จึงได้ตั้งกฎเช่นนี้ออกมา อีกทั้ง…”
“อีกทั้งเพื่อไม่ให้เป็นการดึงดูดความสนใจและสร้างความวิตกให้แก่ทุกคน พวกเขาจึงเลือกกางค่ายกลให้เร็วขึ้นหน่อยจึงจะปกปิดเรื่องทุกอย่างไว้ได้ หากไม่รั้งรออยู่บนเขาหมื่นเมรัย ก็จะไม่มีใครรู้ว่าด้านบนนั้นเกิดอันใดขึ้นกันแน่”
หลัวซือซือครุ่นคิดไปตามคำพูดของเขา
คนทั้งสามจมดิ่งสู่ความเงียบงันไปชั่วขณะหนึ่ง
เรื่องนี้แท้จริงแล้วเข้าใจได้ง่ายเลยทีเดียว
เมื่อสักครู่ก่อนนี้ตอนพวกเขารั้งอยู่บนเขายังเห็นทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองเส้นนั้นแล่นปราดลงมาได้อย่างชัดเจน มาตอนนี้ก็เพิ่งถูกบังคับขับไล่ไสส่งให้ออกมา ทุกสิ่งจึงหายวับไปต่อหน้าต่อตา
“แต่ฉู่เยว่ยังอยู่ข้างในอยู่เลยนะ!”
จัวเซิงเกาศีรษะแกรกๆ
หลัวซือซือกับหลัวเยี่ยนหมิงสบตากันคราหนึ่ง ต่างก็มองเห็นความกังวลที่ฉายชัดอยู่ในแววตาของอีกฝ่าย
ทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายที่เข้ามาใกล้เมื่อครู่มีพลังที่น่าตื่นตะลึงมากโดยแท้
ต่อให้เป็นพวกเขาเองก็ไม่กล้าเผชิญหน้ากับมันโดยตรง!
แล้วยังต้องพูดถึงฉู่เยว่ที่อยู่ระดับเจ็ดขั้นต้นอีกหรือ?
“เขาหมื่นเมรัยเป็นชุมทางระหว่างเขตของเซียนหมอและช่างหลอมอาวุธ น่าจะต้องมีผู้อาวุโสประจำการอยู่…”
หลัวเยี่ยนหมิงเอ่ยอย่างเนิบนาบ
“ตอนนี้พวกเราไม่น่าจะเข้าไปได้แล้ว”
หลัวซือซือมีท่าทีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
“ข้าจะไปพบท่านอาจารย์”
ท่านอาจารย์ของนางก็คือผู้อาวุโสเหวินซีนั่นเอง
“ตอนนี้เลยหรือ?”
หลัวเยี่ยนหมิงเงยศีรษะกวาดสายตามองรอบหนึ่ง
ตอนนี้ใกล้จะได้เวลาย่ำรุ่งแล้ว หากไปพบผู้อาวุโสตอนนี้เกรงว่าจะไม่ค่อยเหมาะนัก…
ราวกับว่าอ่านความคิดของเขาออก หลัวซือซือจึงส่ายศีรษะ
“เรื่องนี้ต้องรีบแจ้งให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเร็วได้ เขาติดอยู่ในนั้นนานมากขึ้นเท่าใด ย่อมเสี่ยงอันตรายมากขึ้นเท่านั้น”
ทัณฑ์สวรรค์สายนั้นย่อมไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแน่
หลัวเยี่ยนหมิงละล้าละลังอยู่พักหนึ่ง ท้ายที่สุดก็พยักหน้าให้
“ได้! เช่นนั้นข้าจะรออยู่ที่นี่ ส่วนพวกเจ้าไปตามผู้อาวุโสเหวินซีมา!”
…
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่บนยอดเขากับทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายที่อยู่เหนือศีรษะกำลังยืนคุมเชิงกัน
ใช่แล้ว คุมเชิงกัน
ตอนที่รับรู้ได้ว่าทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายพุ่งเข้าโจมตีมาทางตนเมื่อสักครู่ ฉู่หลิวเยว่ก็ชักมือขึ้นจากน้ำพุ สะบัดเอาหยดน้ำออกแล้วหยัดตัวลุกยืนขึ้น
ทว่าเมื่อเข้ามาใกล้ ทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสายนั้นกลับพากันหยุดลง
ห่างจากตัวนางอยู่ไม่กี่ก้าวนัก
ฉู่หลิวเยว่เงยศีรษะขึ้นมอง
นางยืนอยู่ใกล้เสียจนมองเห็นได้อย่างชัดเจนถึงลักษณะอันสว่างไสวอร่ามตาของทัณฑ์สวรรค์ทั้งสองสาย
แรงกดดันมหาศาลของมันทวีความน่าตะลึงพรึงเพริดยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า!
ทว่า…พวกมันกลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
พวกมันยังคงฉวัดเฉวียนอยู่กลางอากาศราวกับว่ามีท่าทีสองจิตสองใจอยู่บ้าง
หากว่ามีคนได้เห็นฉากนี้เข้าย่อมต้องรู้สึกว่านี่มันช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก!
ฉึบ!
กลางฝ่ามือของฉู่หลิวเยว่เปล่งแสงขึ้นวาบหนึ่ง กระบี่หลงหยวนก็ถูกนางกำไว้ในมือเสียแน่น
บนใบดาบหนาหนักที่แสนเรียบง่ายสะท้อนประกายอันเย็นยะเยือกออกมา
นั่นเป็นจิตสังหารอันเข้มข้นและเดือดพล่านไปด้วยความตื่นเต้น!
หึ่ง!
พลังปราณดั้งเดิมปริมาณอักโขถ่ายเทเข้าไปจนกระบี่หลงหยวนส่งเสียงกระหึ่ม!
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา มุมปากค่อยๆ หยักยกเผยให้เห็นรอยยิ้มอวดดี
“พวกเจ้าทั้งสอง ใครจะเข้ามาก่อนกัน?”
…
“ท่านอาจารย์! ท่านอยู่ข้างในหรือเปล่าเจ้าคะ? ท่านอาจารย์!”
ผู้อาวุโสเหวินซีที่เดิมทีกำลังพักผ่อนอยู่พลันได้ยินเสียงเคาะประตูดังขึ้นอย่างรีบร้อน
เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสุ้มเสียงวิตกกังวลนี้มาจากศิษย์หลัวซือซือที่ตนเพิ่งรับเข้ามาหมาดๆ ใจของผู้อาวุโส
เหวินซีก็พลันกระตุก
เพียงแค่คิด ประตูใหญ่ทางเข้าก็ถูกเปิดออก
หลัวซือซือกับจัวเซิงทั้งสองคนกำลังยืนอยู่หน้าประตู สีหน้าตึงเครียดอย่างมาก
“เหตุใดหรือ? เกิดเรื่องอันใดขึ้น?”
ผู้อาวุโสเหวินซีเอ่ยถามพลางมุ่นคิ้ว
มาหากันปุบปับในเวลานี้ย่อมต้องไม่ใช่เรื่องเล็กเป็นแน่
หลัวซือซือเอ่ยตอบอย่างกังวลใจ
“ท่านอาจารย์เจ้าคะ! ท่านรีบไปที่เขาหมื่นเมรัยเถิด! ฉู่เยว่ติดอยู่บนยอดเขาเจ้าค่ะ!”
“ว่าไงนะ?”
ความรู้สึกง่วงงุนที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดพลันสลายหายไปในทันที ผู้อาวุโสเหวินซีพลันเบิกตากว้างก่อนจะกระโดดแผล็วออกมาจากเตียง
“เจ้าบอกว่าฉู่เยว่ติดอยู่บนเขาหมื่นเมรัยอย่างนั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ! อีกทั้งตอนที่พวกเราลงเขามา ยังมีทัณฑ์สวรรค์อีกสองสาย…”
สีหน้าของผู้อาวุโสเหวินซีเคร่งเครียดอย่างยิ่ง เขารุดหน้าก้าวออกไปข้างนอกทันที
“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้!”
หลัวซือซือและจัวเซิงต่างก็พรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก
หากว่ารีบไปให้ไวขึ้นอีกสักนิด ฉู่เยว่ที่อยู่ฝั่งนั้นก็อาจจะปลอดภัยขึ้นมาบ้าง
”พวกเจ้าทั้งสองคนรออยู่ที่นี่!”
ผู้อาวุโสเหวินซีพลันหมุนกายกลับมาเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
“แต่ว่า…”
“แล้วก็ ห้ามเอาเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ไปเล่าให้ผู้ใดฟังเด็ดขาด!”
ก่อนหน้านี้ผู้อาวุโสเหวินซีมักจะชอบหัวเราะเริงร่าและมีท่าทีเป็นกันเองมาโดยตลอด นี่จึงเป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองได้เห็นใบหน้าที่เข้มงวดและจริงจังเช่นนี้ของเขา ในใจพลันกระตุกรัวก่อนจะผงกศีรษะตอบกลับไปโดยไม่รู้ตัว
“ท่านอาจารย์โปรดวางใจ พวกเราย่อมมิปริปากแม้แต่ครึ่งคำ!”
ผู้อาวุโสเหวินซีจ้องเขม็งไปยังคนทั้งคู่แวบหนึ่ง จากนั้นก็พ่นลมหายใจออกมาเล็กน้อย
“เอาเถอะ พวกเจ้าเองก็ไม่ต้องเป็นกังวลมาก ข้าจะขึ้นไปดูเสียก่อน…”
“ต้องรบกวนท่านอาจารย์ช่วยพาฉู่เยว่กลับมาอย่างปลอดภัยด้วยนะเจ้าคะ”
หลัวซือซือกล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่อยู่
ผู้อาวุโสเหวินซีลูบเครา กล่าวตอบพลางจดจ้องนางว่า
“ไม่ต้องให้เจ้าบอก ข้าก็จะต้องไปลากเจ้าเด็กนั่นกลับมาให้ได้! ครานี้ติดอยู่ในเขาหมื่นเมรัยย่อมเป็นเพราะลงมาช้าไม่ทันเวลากันล่ะสิ!”
คนทั้งสองเงียบกริบด้วยเพราะรู้สึกผิด
จริงๆ ก็ไม่ได้ถือว่าช้าถึงเพียงนั้นเสียหน่อย…ก็แค่ช้าไปนิดเดียวเท่านั้นเอง…
ใครจะไปรู้ว่าเรื่องมันจะดำเนินแปรเปลี่ยนมาถึงจุดนี้กัน?
“รอดูแล้วกันว่ากลับมาแล้วข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กนั่นอย่างใด!”
ผู้อาวุโสเหวินซีเอ่ยอย่างโมโห
นี่เพิ่งจะได้กลายเป็นศิษย์ของสำนักวันแรก! ก็ก่อเรื่องใหญ่โตปานนี้แล้ว!
ตอนแรกยังคิดอยู่เลยว่าเจ้าเด็กนั่นฉลาดรู้จักฟังความ ใครจะไปรู้ว่า…
“เอ๋ เหวินซี? เจ้ามาทำอันใดที่นี่กัน?”