ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1163 ท้าประลอง
ตอนที่ 1163 ท้าประลอง
เมื่อได้ยินเสียงนั่น ทุกคนต่างก็หันไปมองอย่างพร้อมเพรียง
ก่อนจะเห็นเด็กหนุ่มในชุดคลุมสีน้ำเงิน ที่มายืนอยู่ด้านหลังพวกเขาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
ถึงจะดูผอมไปสักหน่อย แต่กลับดูสูงเพรียวอย่างมาก ใบหน้านวลแลหล่อเหลา ดวงตากลมใสสะอาดบริสุทธิ์
เขามองมาทางนี้ ริมฝีปากสีชาดยกขึ้น มุมปากระบายยิ้มบางเบา ราวกับสายลมเอื่อยๆ ที่พัดผ่านกลุ่มเมฆไปอย่างนุ่มนวล นำพามาซึ่งความรู้สึกอันผ่อนคลายและสบายใจ
คนหนุ่มสาวเหล่านั้นตะลึงไปครู่หนึ่ง
ในกลุ่มของพวกเรา มีทั้งคนที่อยู่บนเขาหมื่นเมรัยในวันนั้นและคนที่ไม่ได้อยู่
แต่พวกเขาก็ไม่รู้จักมักจี่กับฉู่เยว่แต่อย่างใด
แต่พอได้เห็นเขาชัดๆ อีกครั้งในยามนี้ ถึงได้รู้ว่าเจ้าเด็กนี่มัน…หล่อเหลาเอาการขนาดไหน
“ฉู่เยว่ เจ้ากลับมาแล้วหรือ!?”
จงซวิ๋นดึงสติกลับมาได้เป็นคนแรก ก่อนจะตอบสนองแล้วร้องทักเขาทันที
เขาก้าวไปข้างหน้าแล้วเดินเข้าไปมองสำรวจรอบตัวฉู่หลิวเยว่ด้วยท่าทางเป็นกังวล
“เจ้าไม่เป็นอันใดนะ?”
การถูกคุมขังอยู่บนภูเขาเฝิงหมินเป็นหนึ่งในวิธีการลงโทษที่รุนแรงที่สุดของสำนักวิชา
เขาเพิ่งเข้ามาเรียนที่นี่ แต่กลับต้องเผชิญกับเรื่องเช่นนี้ เขาคงลำบากมากแน่ๆ
เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่เต็มไปด้วยความกังวลของจงซวิ๋น ฉู่หลิวเยว่ก็ถึงกลับปรับอารมณ์ไม่ถูก หัวใจดวงน้อยอุ่นวาบขึ้นมาโดยไม่ทราบสาเหตุ
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นวางใจได้ขอรับ ข้าสบายดี”
หรือจะพูดว่า ดีมากเป็นพิเศษเลยก็ว่าได้!
เดิมทีจงซวิ๋นคิดว่านางพูดแบบนั้นเพื่อให้ตนวางใจ
แต่หลังจากพิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว เขาก็พบว่าเด็กหนุ่มตรงหน้านั้นดูผ่อนคลายมากขึ้น ดวงตาประดับรอยยิ้ม ราวกับว่าเขาสบายดีจริงๆ
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งใจ
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว…”
“เจ้าหรือฉู่เยว่?”
พลันมีเสียงของใครบางคนที่นางไม่รู้จักดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นทันที
มีคนสามคนยืนอยู่ตรงข้ามนาง พวกเขายังดูเด็กและน่าจะอายุไม่เกินยี่สิบหนาว
คนที่เอ่ยทักนางคือคนที่ยืนอยู่หน้าสุด
ยามนี้เขากำลังยืนกอดอกอย่างถือตัว แล้วจ้องมองฉู่หลิวเยว่ไม่วางตา
แววตาของเขาดูซับซ้อนและยากจะอธิบาย
“เพิ่งเข้าสำนักก็ถูกจับไปขังบนเขาเฝิงหมินแล้ว ศิษย์น้องฉู่เยว่ช่างเก่งกาจนัก ฝีมืออย่างข้าเทียบไม่ติดเลยจริงๆ! ฮ่าฮ่า!”
ถ้อยคำที่ฟังดูไม่จริงใจเหล่านี้ เต็มไปด้วยการประชดประชันเสียดสี
“เจ้า…”
จงซวิ๋นชักสีหน้าทันทีและกำลังจะโต้ตอบ แต่ก็ถูกฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ข้างๆ ยั้งไว้ก่อน
นางก้าวไปข้างหน้า ใบหน้าหล่อเหลาพยักหน้าแล้วแย้มยิ้ม
“ใช่แล้ว ข้าเองก็คิดเช่นนั้น ความจริงแล้วข้าน่ะ เก่งกาจกว่าพวกท่านเยอะเลย”
อีกฝ่ายหยุดหัวเราะทันที
“แต่พวกท่านอย่าได้เสียใจเลย บางครั้งท่านก็ต้องยอมรับความจริง”
ดูเหมือนฉู่หลิวเยว่จะไม่เห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของคนเหล่านั้น ริมฝีปากบางยกยิ้ม พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงรื่นหู
หากแต่สิ่งที่กล่าวไปนั้น กลับทำให้คนฟังเจ็บแค้นเจียนตาย
“เหอะ!”
ต่างฝ่ายต่างเงียบไปพักหนึ่ง และในที่สุดกลุ่มคนรุ่นเยาว์เหล่านั้นก็ได้สติกลับมา
“พูดอันใดของเจ้า?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาอย่างใสซื่อ
“เหมือนว่าพวกศิษย์พี่จะหูไม่ค่อยดี เช่นนั้นข้าจะพูดให้ฟังอีกครั้ง”
นางฉีกยิ้มกว้าง รอยยิ้มนั้นดูสดใสประหนึ่งเป็นมิตรต่อเหล่ามนุษย์และสัตว์โลก
ทว่าคำพูดที่พวยพุ่งออกมานั้น กลับทิ่มแทงลงกลางใจคนฟัง ราวกับเข็มอันแหลมคม!
“ข้าบอกว่า…”
“พวกท่านมันกระจอก”
“ตอนนี้ได้ยินชัดแล้วใช่หรือไม่?”
…
จองหอง!
อวดดี!
หลายคนที่อยู่ที่นี่ รวมถึงจงซวิ๋น ต่างก็คิดเช่นนี้ยามได้ยินสิ่งที่ฉู่เยว่พูดออกมา!
เจ้าเด็กนี่ บ้าไปแล้วหรือไร?
นี่เขารู้ตัวหรือเปล่าว่าพูดอันใดออกมา!?
“ฉู่เยว่ เจ้า…”
สีหน้าของจงซวิ๋นเปลี่ยนไปทันที
เขาคิดว่าฉู่เยว่อาจจะไม่พอใจคนพวกนั้นมากๆ มิฉะนั้นเขาคงไม่ตอบรับการยั่วยุของคนเหล่านั้นทันทีที่กลับมาหรอก
อย่างใดเสียเขาก็เป็นแค่เด็กอายุสิบห้าสิบหก อาการเลือดร้อนเช่นนี้ย่อมมิใช่เรื่องแปลก
แต่เขาแค่คิดไม่ถึงว่าฉู่เยว่จะพูดอันใดแบบนนั้นออกมา!
ขณะเดียวกัน จู่ๆ ฉู่เยว่ก็หันกลับมาแล้วขยิบตาให้เขา พลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ศิษย์พี่ไม่ต้องห่วง ข้าไตร่ตรองดีแล้ว”
จงซวิ๋นผงะไปเล็กน้อย
เขามองเห็นชัดเจนว่าภายในดวงตาของเด็กหนุ่มนั้น ไร้ซึ่งร่อยรอยความโกรธจากการถูกยั่วยุ
…แสดงว่าการท้าทายและการเสียดสีของคนพวกนั้นเมื่อครู่ก่อน กระตุ้นความโกรธของฉู่เยว่ไม่ได้เลยสักนิด
เดิมทีเขาก็เป็นคนที่เงียบขรึมและมีเหตุผลอยู่แล้ว!
แต่ถ้าเขาพูดแบบนี้ ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ล่ะก็…
“หึ! อวดดีจริงๆ!”
หลิ่วจื่ออันยิ้มเยาะด้วยความโมโห
นานแล้วที่ในสำนักวิชา ไม่มีเด็กใหม่ที่กล้าลองดีเช่นนี้ปรากฏตัว!
“ในเมื่อเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มาประลองกันจริงๆ จังๆ สักครั้งประไร?”
จงซวิ๋นใจเต้นรัวอย่างลุ้นระทึก
ต่อมาหลิ่วจื่ออันก็สะบัดมือ พลันมีตราหยกสีดำโผล่ออกมา!
“ข้า…หลิ่วจื่ออัน วันนี้ข้าต้องการประลองกับฉู่เยว่! ฉู่เยว่ เจ้ากล้ารับคำท้าหรือไม่!?”
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตาลง
จงซวิ๋นรีบแย้งทันที
“ฉู่เยว่! อย่าตอบรับเด็ดขาด! เจ้าตอบรับคำท้าในครานี้ไม่ได้!”
ฉู่หลิวเยว่หันกลับไปมองเขา
“เพราะอันใด?”
ในใจของจงซวิ๋นเต็มไปด้วยความกังวล ก่อนจะอธิบายว่า
“เพราะถ้าเจ้ารับคำท้าแล้ว จะไม่มีใครยื่นมือเข้าไปแทรกแซงการประลองของพวกเจ้าได้! ยิ่งไปกว่านั้น หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ยินยอมให้จบการประลอง เช่นนั้นเจ้าก็ต้องสู้ต่อไปเรื่อย!”
“พูดก็คือถ้าไม่สู้จนตัวตาย ก็ต้องโดนฝ่ายตรงข้ามกดขี่ข่มเหงและทำร้ายจนกว่าจะชนะ มิเช่นนี้การประลองนี้ก็จะไม่มีวันจบ!”
ด้วยเหตุนี้ ในสำนักวิชาจึงไม่ค่อยมีใครกล้าเข้าร่วมการประลองเช่นนี้
ซึ่งคนที่ทำเช่นนี้มักจะเป็นผู้ที่มีความคับแค้นใจส่วนตัว
และตอนนี้ฉู่เยวก็ได้ทำให้อีกฝ่ายโกรธจนเลือดขึ้นหน้าแล้ว หากตอบตกลงเมื่อไร พอถึงตอนนั้น…
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นคิดว่าข้าจะถูกเล่นงานหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามเบาๆ
จงซวิ๋นประสานสายตากับนาง พลันใจกระตุกวูบด้วยความรู้สึกบางอย่าง
หรือว่าเขา…มั่นใจว่าจะเอาชนะหลิ่วจื่ออันได้?
เมื่อสบเข้ากับดวงตาที่บ่งบอกถึงความแน่วแน่และสงบนิ่งคู่นั่น จงซวิ๋นก็ไม่อาจโน้มน้าวอีกฝ่ายได้อีกต่อไป
ฉู่เยว่ เขา…
ดูไม่เหมือนเด็กน้อยผู้ใสซื่อไร้เดียงสาอย่างภาพลักษณ์ภายนอกเลย…
“ศิษย์พี่โปรดวางใจ”
หลังจากพูดจบ นางก็มองไปที่ฝั่งตรงข้ามอีกครั้ง
หลิ่วจื่ออันเลิกคิ้ว
“อันใด ไม่กล้ารับคำท้าหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่เหยียดยิ้ม
มาหาเรื่องกันถึงหน้าประตูบ้านเช่นนี้ ถ้านางปล่อยไปง่ายๆ ล่ะก็ ไม่รู้ว่าในอนาคตนางจะคนถูกรังแกเช่นนี้อีกเมื่อไร
อย่างใดเสีย นางก็ทำให้หลิ่วจื่ออันขุ่นเคืองใจแล้ว ไหนจะลูกสมุนที่เวลานี้ที่หลิ่วอินถงส่งมาอีก?
ฉู่หลิวเยว่กล้าพูดได้เต็มปากว่านางไม่เคยไปท้าใครก่อน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการจงใจยั่วยุใครเลย
หลิ่วอินถงต่างหากที่หาเรื่องนางก่อน และตอนนี้ก็ยังไม่ยอมจบง่ายๆ อีก
ต่อให้ตอนนี้นางยอมเป็นลูกไล่ให้ แต่อีกฝ่ายจะไม่มีวันญาติดีกับนางแน่นอน มีแต่จะเหยียบย่ำนางตามใจชอบ!
ดังนั้นนางจึงไม่ยอมพูดจาประจบประแจงคนเหล่านี้ตั้งแต่แรก
และสิ่งเดียวที่นางต้องทำก็คือ ใช้โอกาสนี้บอกกับทุกคนว่า อย่ามายุ่งกับนาง!
ฉู่หลิวเยว่หยิบตราหยกสีดำของตนออกมา
“ข้ารับคำท้า!”
…
ตามระเบียบแล้ว ศิษย์ของสำนักวิชาจะต้องทำการประลองเช่นนี้ในจัตุรัสชิงหมิงเท่านั้น
ดังนั้นพวกเขาจึงเคลื่อนพลมาที่นี่ด้วยกัน
จัตุรัสแห่งนี้กินพื้นที่บริเวณกว้างและมีขนาดใหญ่มาก
เมื่อพวกเขามาถึง ก็เลือกใช้พื้นที่เล็กๆ ในการประลอง
แต่ถึงกระนั้นก็ยังดึงดูดความสนใจของผู้คนมากมายอยู่ดี
เพราะปกติแล้ว ศิษย์จะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าออกจัตุรัสชิงหมิงตามอัธยาศัยเช่นนี้
ดังนั้นการปรากฏตัวของพวกเขาไม่กี่คนในจัตุรัสที่ว่างเปล่านี่ จึงดึงดูดความสนใจของผู้คนจำนวนมากได้ไม่ยาก
ฉู่หลิวเยว่เดินเข้าไปแล้วหยุดฝีเท้าลง
หลิ่วจื่ออันยืนอยู่ตรงข้ามนาง
ทั้งสองคนมองหน้ากันจากระยะไกล
“ศิษย์น้องฉู่เยว่ ก่อนหน้านี้คงไม่มีใครบอกเจ้าว่า หากเจ้ามิใช่ผู้แข็งแกร่ง ก็ควรจะหัดระวังคำพูดคำจาและถ่อมตนให้มาก มิฉะนั้น เจ้าอาจตายโดยไม่รู้ตัว”
หลิ่วจื่ออันหัวเราะเยาะ
มุมปากของฉู่หลิวเยว่ยกโค้งขึ้นเล็กน้อย
เคร้ง!
หม้อต้มโอสถใบหนึ่งหล่นลงมาอย่างแรง!
“ศิษย์พี่หลิ่ว คำพูดเหล่านั้น เอาไว้เจ้าชนะข้าก่อน แล้วค่อยพูดก็ยังไม่สาย!”