ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1169 เล่นไม่ซื่อ
ตอนที่ 1169 เล่นไม่ซื่อ
หลิ่วจื่ออันถึงกับตะลึงงัน
บรรดาฝูงชนที่ยืนมองดูเองก็ทยอยเงียบเสียงลงทีละคน มีบางสายตามองไปทางฉู่หลิวเยว่ด้วยความไม่เข้าใจ
คำพูดที่เอ่ยมาหมายความว่าอย่างใดกัน?
เขายังไม่อยากยุติการประลองอย่างนั้นหรือ?
แต่การประลองครั้งนี้ก็แข่งกันจบไปแล้ว อีกอย่างเขาเองก็เป็นฝ่ายชนะด้วย!
นี่ยังมีความจำเป็นใดที่ต้องประลองกันต่ออีก?
“เจ้ายังอยากประลองต่อหรือ?”
คิ้วของหลิ่วจื่ออันขมวดเข้าหากันแน่นยิ่งกว่าเก่า
“ข้าขอยอมแพ้ไปแล้ว เจ้ายังต้องการอันใดอีก?”
ฉู่หลิวเยว่ฉีกยิ้มไร้เดียงสาดูแล้วมิมีซึ่งพิษภัย
“ขึ้นชื่อว่าการท้าประลอง เดิมทีก็ต้องได้รับการยินยอมจากทั้งสองฝ่ายว่าการประลองนี้สมควรจบลง ถึงจะยุติได้มิใช่หรือ?”
ยามมองรอยยิ้มของเด็กหนุ่มผู้นั้น ในใจของหลิ่วจื่ออันพลันหนักอึ้ง!
เขามีความรู้สึกลางๆ ประหนึ่งว่าตนกำลังถูกล้วงความลับอยู่อย่างใดอย่างนั้น
“แล้วเจ้าอยากประลองปรุงยาต่อหรือ?”
ไม่ต้องพูดถึงเลยว่าเขาชนะไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย อย่างใดก็ไม่จำเป็นต้องไปประลองต่อด้วยแล้ว หรือต่อให้พวกเขาสู้กันต่ออีกรอบจริงๆ แต่แท้จริงแล้วคนทั้งสองก็หาได้มีพลังหลงเหลืออันใดมากมายไม่
“ใครบอกว่าจะแข่งปรุงยากันเล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยปากด้วยน้ำเสียงแฝงแววประหลาดใจอยู่บ้าง
“มิใช่ว่าเราสามารถกำหนดรูปแบบของการท้าประลองได้อย่างอิสระหรอกหรือ?”
“หา! หรือว่าเจ้ายังอยากสู้กับข้าอีกสักรอบ?”
หลิ่วจื่ออันทำราวกับว่าตนเพิ่งได้รับฟังคำพูดน่าหัวร่อก็มิปาน เขาแค่นเสียงเย้ยหยันออกมา กวาดตามองฉู่เยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง ในนัยน์ตาแฝงด้วยแววตาดูหมิ่นดูแคลนอย่างไม่คิดปิดบัง
“หากข้าจำมิผิด เจ้าในตอนนี้อยู่แค่ระดับเจ็ดขั้นต้นเองนี่? ด้วยพละกำลังที่มีอยู่แค่นี้ เจ้ายังคิดจะสู้กับข้าอีกหรือ?”
การที่เขาหยามเหยียดเรื่องระดับของฉู่หลิวเยว่เช่นนี้นับว่าเป็นเรื่องปกตินัก
ว่ากันตามจริงแล้ว ระดับมาตรฐานการเข้าเรียนของพวกจอมยุทธ์ในสำนักจะอยู่ที่ระดับเก้า
ต่อให้เป็นปรมาจารย์และเซียนหมอบางส่วนที่ไม่เชี่ยวชาญในทักษะด้านนี้ ส่วนใหญ่เองก็หาได้อ่อนด้อยถึงเพียงนั้นไม่
ฉู่หลิวเยว่ที่อยู่ระดับเจ็ดขั้นต้นจึงกลายเป็นตัวตนที่อยู่ต่ำสุดของห่วงโซ่อาหารในสำนักอย่างมิต้องสงสัย
หลิ่วจื่ออันที่ฝึกปรือวิชาจอมยุทธ์แม้จะไม่ได้มีพรสวรรค์โดดเด่นอันใด แต่กระนั้นก็ยังเป็นถึงผู้แข็งแกร่งระดับแปดขั้นต้น
คิดจะจัดการกับฉู่หลิวเยว่ที่มีระดับเจ็ดขั้นต้นน่ะ ง่ายประหนึ่งปอกกล้วยเข้าปาก
อีกอย่าง การประลองของพวกจอมยุทธ์ เวลาลงมือกันล้วนแล้วแต่สู้เอาเป็นเอาตายกันทั้งนั้น
หากว่ามิได้มีฝีมือจริงๆ คิดแต่จะพึ่งพาลูกไม้สกปรก ย่อมไม่เพียงพอให้ได้มาซึ่งชัยชนะอยู่แล้ว
เห็นได้ชัดเลยว่าในสายตาของหลิ่วจื่ออันนั้น มองว่าการที่ฉู่หลิวเยว่ออกตัวเสนอเงื่อนไขเช่นนี้ ย่อมเป็นเพราะต้องการใช้วิธีการที่ไม่ขาวสะอาดมาฉวยชิงชัย
มิฉะนั้น เขาก็จินตนาการมิออกแล้วจริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่จะก้าวข้ามช่องว่างที่กว้างใหญ่ระหว่างคนทั้งสองถึงเพียงนี้ไปได้อย่างใด!
“ในเมื่อเป็นการท้าประลอง เหตุใดจะสู้กันอีกสักรอบไม่ได้เล่า?”
เมื่อได้ยินคำตอบหนักแน่นจากปากของฉู่หลิวเยว่ หลิ่วจื่ออันก็เกือบหลุดเสียงหัวเราะออกมา
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ผงกศีรษะรับอย่างจริงจัง
“ศิษย์พี่หลิ่ว เชิญ…”
หลิ่วจื่ออันส่งเสียง ‘หึ’ ออกมาคราหนึ่ง
“ดี! เช่นนั้นข้าก็จะสู้กับเจ้าสักรอบก็แล้วกัน!”
…
“ฉู่เยว่คิดอันใดอยู่กันแน่? แข่งชนะไปแล้วรอบหนึ่งก็ไม่นับ ยังอยากจะแข่งต่ออีก แล้วคิดจัดการประลองแบบของพวกจอมยุทธ์ด้วยเนี่ยนะ?”
“ระดับเจ็ดขั้นต้นอย่างนั้นหรือ ไม่ใช่ว่าข้าดูถูกเขานะ แต่พลังระดับนี้น่ะมันต่ำเกินไปจริงๆ!”
“ครั้งนี้หากว่าจบไม่สวยล่ะก็ หลิ่วจื่ออันมีหวังได้อับอายขายขี้หน้าเหมือนเมื่อครู่เป็นแน่…”
หลัวเยี่ยนหลินพลันเอ่ยถามขึ้นมา
“ความสามารถในการต่อสู้ของเขาเป็นอย่างใดบ้าง?”
หลัวซือซือที่มิคาดคิดว่าพี่สี่จะเป็นฝ่ายเอ่ยปากขึ้นมาก่อนส่ายศีรษะ
“พวกข้าเองก็ไม่เคยเห็นเขาลงมือ เพราะแบบนั้น…ก็เลยไม่ค่อยแน่ใจเหมือนกันเจ้าค่ะ”
หลัวเยี่ยนหลินพึมพำกับตัวเองอยู่ครู่หนึ่ง
“แล้วเรื่องที่มาที่ไปของเขา พวกเจ้าพอรู้บ้างหรือไม่?”
พวกหลัวซือซือต่างพร้อมใจกันส่ายศีรษะ
ฉู่เยว่ดูจะไม่ชอบพูดถึงเรื่องพวกนี้นัก แต่ไหนแต่ไรเขาก็เก็บเงียบมาโดยตลอด พวกเขาจึงไม่ได้ไปซักถามอันใดมากมาย
“…แต่ว่าบนตัวเขามีอาวุธโบราณที่ยอดเยี่ยมมากๆ อยู่ชิ้นหนึ่ง หลังจากที่พวกข้าเข้าสำนักมา อาวุธโบราณที่ใช้ปกปิดลมปราณบนตัวก็ดูจะใช้การอันใดไม่ได้แล้ว แต่ของฉู่เยว่นั้นราวกับว่ามิได้รับผลกระทบใดๆ เลย กระทั่งพวกผู้อาวุโสเหวินซีเองก็ยังดูไม่ออก”
หลัวเยี่ยนหมิงที่ยืนอยู่ข้างกันนั้นพลันกล่าวขึ้น
“โอ๋?”
หลัวเยี่ยนหลินแสดงท่าทีตื่นตกใจอย่างหาดูได้ยากออกมา
“คนที่สามารถครอบครองอาวุธโบราณระดับนั้นได้น่ะ มีอยู่ไม่มากหรอกนะ…”
มีคนอยู่สองประเภทที่สามารถทำได้
ประเภทแรกคือตัวฉู่เยว่ต้องโชคดีมากๆ จนเผอิญไปเจออาวุธโบราณชิ้นนั้นด้วยตัวเอง แล้วได้รับมันมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
ส่วนประเภทสองคือตัวเขามาจากตระกูลชนชั้นสูงที่ยิ่งใหญ่สักที่หนึ่ง! อีกทั้งยังต้องมีตำแหน่งในตระกูลที่สูงมากอีกด้วย!
ตระกูลหลัวของพวกเขาเองก็เรียกได้ว่าเป็นตระกูลชนชั้นสูงโดยแท้ หากถามว่ามีอาวุธโบราณระดับนั้นในครอบครองหรือไม่ นั่นก็แน่นอนว่าย่อมต้องมี
เพียงแต่ว่าของสิ่งนั้นเลอเลิศล้ำค่ายิ่ง พวกเขาจึงมิแน่ใจว่าจะสามารถครอบครองมันได้
ไม่ต้องไปพูดถึงพวกหลัวซือซือเลย กระทั่งตอนที่เขามายังสำนักครั้งแรกก็ไม่ได้มีสมบัติที่มีค่ามากเช่นนี้ติดกายมาด้วย
หลัวเยี่ยนหลินลอบครุ่นคิดอยู่กับตัวเอง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองบนลานประลอง
เด็กหนุ่มผู้นั้นรูปร่างสูงโปร่งสง่างาม แม้ว่าใบหน้าจะยังคงแฝงความอ่อนวัยอยู่หลายส่วน ทว่าคลื่นอารมณ์ภายในดวงตากลับเย็นยะเยือกและผ่อนคลายนัก
ท่าทีการวางตัวเช่นนี้ ดูไม่เหมือนคนที่มาจากตระกูลไร้ชื่อเสียงเรียงนามเลยสักนิด…
“…ครั้งนี้เกรงว่าพวกหลิ่วอินถงจะไปเตะเจอตอเข้าเสียแล้วสิ…”
…
“วั่นเจิง วั่นเจิง?”
ด้านบนของหอระฆังบูรพกษัตริย์ บรรดาผู้อาวุโสทั้งหลายเองก็กำลังนั่งรับชมการประลองอยู่เช่นกัน
หนึ่งในนั้นเห็นผู้อาวุโสวั่นเจิงมีสีหน้าเหม่อลอย ไม่รู้ว่ากำลังคิดเรื่องอันใดอยู่ จึงตะโกนเรียกเขาถึงสองครั้งสองครา
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจึงได้สติกลับคืนมาในที่สุด
“เกิดอันใดขึ้นหรือ?”
“เกิดอันใดขึ้นอันใดของเจ้า? พวกข้าสิต้องเป็นคนถามต่างหากว่าเจ้าเป็นอันใด!”
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งเอ่ยแกมหัวเราะ
“เจ้ามัวคิดอันใดอยู่ถึงได้เหม่ออยู่นานแบบนั้น!”
หว่างคิ้วของผู้อาวุโสวั่นเจิงขยับเล็กน้อย เขาส่ายศีรษะ
“ไม่มีอันใด”
“เลิกคิดได้แล้วน่า มาดูลูกศิษย์เจ้าเสียก่อนเถอะ! รอบนี้ชนะการปรุงยาแล้วก็ไม่นับ ยังอยากจะสู้กับอีกฝ่ายอีกสักยกแน่ะ!”
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสที่อยู่ในเหตุการณ์ได้เห็นฉู่หลิวเยว่หลอมยาสำเร็จลุล่วงได้ด้วยดี และได้รับมาซึ่งชัยชนะ พวกเขาต่างก็พากันประหลาดใจกันถ้วนทั่ว
หลังจากประหลาดใจแล้ว พวกเขาต่างก็รู้สึกอิจฉาริษยาวั่นเจิงกันอย่างเต็มเปี่ยม
พรสวรรค์ในด้านเซียนหมอของฉู่เยว่ผู้นี้ ยอดเยี่ยมกว่าที่พวกเขาคาดคิดเอาไว้ก่อนหน้านี้มากโขนัก!
หากรู้ว่าเป็นเช่นนี้แต่แรก พวกเขาก็คงจะชิงตัวกันมาตั้งแต่วันกราบอาจารย์เข้าสำนักช่วงต้นเดือนแล้ว!
ผู้อาวุโสวั่นเจิงมองตามครรลองสายตาของพวกเขาที่จับจ้องเขม็งไปย้งข้างล่าง นึกไม่ถึงว่าจะได้เห็นคนทั้งสองกำลังหยิบหม้อยาของตัวเองขึ้นมา ต่างฝ่ายหันมาเผชิญหน้ากันอยู่ไกลๆ เตรียมตัวจะประลองกันเต็มที่!
ผู้อาวุโสท่านหนึ่งที่อยู่ข้างกันนั้นพลันเอ่ยแกมหัวเราะว่า
“วั่นเจิง ลูกศิษย์ผู้นี้ของเจ้าไม่เพียงแต่มีทักษะเซียนหมอที่ดี ความสามารถในการก่อเรื่องนี่ก็ไม่ใช่เล่นๆ เลย! ดูเหมือนว่าหลังจากนี้…เจ้าคงได้ยุ่งหัวฟูแน่เลยละ!”
เดิมทีนี่เป็นวาจาหยอกล้อ ทว่าเมื่อลอยผ่านเข้าหูผู้อาวุโสวั่นเจิง มันกลับกลายเป็นประหนึ่งไอพิษไปในชั่วพริบตา!
ราวกับว่ามีบางอย่างเคลื่อนผ่านความคิดของเขาในชั่วขณะ!
ทว่าไม่รอให้เขาได้ครุ่นคิดชัดเจน ก็พลันแว่วเสียงกราดเกรี้ยวของหลิ่วจื่ออันดังขึ้นมาจากด้านล่าง
“แบบนี้มันไม่ถูกต้องนี่!”
ขบวนความคิดของเขาพลันวุ่นวายสับสน ผู้อาวุโสวั่นเจิงขมวดคิ้วพลางมองไปยังเหตุการณ์ด้านล่าง
…
บนพื้นที่จัตุรัส คนทั้งสองยืนประจันหน้ากันอยู่
สีหน้าของหลิ่วจื่ออันแดงก่ำ อารมณ์รุนแรงพุ่งพล่านยิ่ง เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นมาชี้ไปยังฉู่เยว่ที่อยู่ตรงกันข้าม
พูดให้ถูกต้องก็คือ เขากำลังชี้มายังเจ้าตัวเล็กที่อยู่บนไหล่ของนางต่างหาก
แม้ว่าทั่วทั้งร่างของมันจะเป็นสีแดงชาด ตั้งแต่หัวจรดเท้าปกคลุมไปด้วยขนฟูฟ่องดูน่ารักน่าเอ็นดูยิ่ง ทว่ากับคนที่อยู่ในเหตุการณ์ มีใครมิรู้บ้างว่านั่นคืออสูรศักดิ์สิทธิ์ในพันธสัญญาของฉู่หลิวเยว่…กษายะหางวายุ!?
อีกอย่าง เจ้าตัวนี้นี่แหละที่เอาชนะอสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองของหลิ่วอินถงมาได้อย่างใสสะอาด! ความสามารถในการต่อสู้ที่แข็งแกร่งของมันชัดเจนเลยว่าอยู่ในอันดับหนึ่งเป็นแน่!
ถ้าหากว่าต้องประมือกับมันเข้าจริงๆ…หลิ่วจื่ออันที่เป็นจอมยุทธ์ระดับแปดมีหวังได้ตายลูกเดียว!
“การประลองครั้งนี้เป็นการตัดสินชี้ชัดของพวกเราสองคน ถ้าเจ้าใช้อสูรศักดิ์สิทธิ์ในครอบครองก็แปลว่าเล่นไม่ซื่อน่ะสิ!”
ด้วยเพราะแรงประหม่าและเคร่งเครียด เสียงของหลิ่วจื่ออันจึงเสียดแหลมเป็นพิเศษ
“ในเมื่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ทำพันธะกับผู้ฝึกตนแล้วก็จะถือว่าเป็นสหาย ร่วมเป็นร่วมตาย ผนึกกำลังสู้ศึกปะทะศัตรูเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว เหตุใดมาตอนนี้ท่านกลับพูดว่าไม่สามารถทำได้เล่า?”
ฉู่หลิวเยว่เคาะกระหม่อมของถวนจื่อ คลี่ยิ้มบางเบาพลางกล่าวอย่างผ่อนคลาย
“ท่านก็เรียกอสูรศักดิ์สิทธิ์ของท่านออกมาสู้สักรอบก็ได้แล้วมิใช่หรือไร?”