ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1174 ใครเป็นคนสอน
ตอนที่ 1174 ใครเป็นคนสอน
ต่อให้หลิ่วอินถงไม่มาหานาง นางก็จะไปเรียกหาเองถึงจวนอยู่แล้ว
ไม่ง่ายเลยกว่าจะพนันชนะมาได้ เรื่องเดิมพันย่อมไม่สามารถทอดทิ้งได้อยู่แล้ว
หลิ่วอินถงโมโหเสียจนหน้าซีดขาว
“ข้าย่อมไม่ลืมอยู่แล้ว!”
ไปเขาหมื่นเมรัยหนึ่งเดือนติดต่อกัน แล้วยังขอตำแหน่งที่ดีที่สุดไปอีก…
สำหรับนางแล้ว เรื่องนี้ไม่ได้จัดการให้ได้ง่ายถึงปานนั้นเสียหน่อย!
เดิมทีคิดว่าหลังฉู่เยว่ผู้นี้ถูกกักตัวอยู่ในเขาเฝิงหมินแล้ว จะรู้จักยับยั้งชั่งใจลงเสียบ้าง ไฉนเลยจะไปคาดคิดว่าเขาจะไร้ยางอายมากกว่าเดิมเสียอีก!
“เช่นนั้นก็ต้องรบกวนศิษย์พี่หญิงหลิ่วแล้ว หนึ่งเดือนหลังจากนี้ ต้องขอให้ท่านไปส่งข้าที่ยอดเขาหมื่นเมรัยด้วย”
ประโยคถัดมาของฉู่หลิวเยว่ทำเอาหลิ่วอินถงยิ่งทวีความโกรธเกรี้ยวมากขึ้นกว่าเก่า
“เจ้าว่ายังไงนะ!? ให้ข้าไปส่งเจ้าด้วยตัวเองอย่างนั้นหรือ!?”
“เหตุใดศิษย์พี่หญิงหลิ่วจึงต้องตกใจถึงขนาดนี้ด้วยเล่าขอรับ?” ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วเล็กน้อย “ข้าเองก็ได้ยินมาว่าตำแหน่งตรงนั้นจับจองไม่ได้ อีกทั้งทุกวันยังต้องไปแย่งชิงกันอีก ดังนั้นก็เลยเอ่ยปากไปเป็นเช่นนั้นขอรับ หากศิษย์พี่หญิงหลิ่วไม่ไปพร้อมกับข้าแล้วล่ะก็…ตัวข้าแค่คนเดียวจะไปสามารถแย่งชิงตำแหน่งข้างตาน้ำพุได้อย่างใดเล่า ท่านว่าหรือไม่ขอรับ?”
หน้าอกของหลิ่วอินถงกระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง จนหน้าอกดูราวกับว่ามีระลอกคลื่นเคลื่อนไหวก็มิปาน!
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่วขอรับ ผลพนันตัดสินออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ท่านคงไม่มีทาง…ปฏิเสธหรอกกระมัง?”
ฉู่หลิวเยว่ประหนึ่งว่ามองบางสิ่งบางอย่างออก จึงได้เอ่ยถามออกไปอย่างระแวดระวังอยู่หลายส่วน
หลิ่วอินถงฉิวเสียจนอยากหัวร่อ
“ได้อยู่แล้ว! ในเมื่อเจ้าพูดถึงขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นข้าก็จะอยู่กับเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบงาน! มิใช่ว่าเจ้าอยากไปเขาหมื่นเมรัยหรือ? หนึ่งเดือนต่อจากนี้ ข้าจะไปกับเจ้าเองทุกๆ วัน!”
นางเองก็อยากจะรู้นักว่าฉู่เยว่ผู้นี้ยังจะมีเล่ห์กลแบบใดแอบซ่อนไว้อีก!
หลิ่วอินถงหมุนกายจากไปอย่างโมโห ฝีเท้าก้าวเร็วกว่าก่อนหน้ามากโขนัก
บรรดาฝูงชนต่างพากันมองตามนางไป
หลังจากเงาร่างของหลิ่วอินถงหายวับไปแล้ว คนจำนวนไม่น้อยก็หันศีรษะกลับมามองไปทางฉู่หลิวเยว่ ดวงตาปรากฏแววชื่นชมยกย่อง
จิ๊!
ฉู่เยว่ผู้นี้ หรือว่าจะตั้งใจไม่แก้ไขสถานการณ์ แล้วปล่อยให้มันเป็นไปตามยถากรรมกันนะ?
ต่อไปหลังจากนี้ เขาก็นับได้ว่ามองหน้าหลิ่วอินถงไม่ติดไปแล้วโดยสิ้นเชิงกระมัง?
ช่าง…ใจกล้าบ้าบิ่นโดยแท้เสียจริง!
ฉู่หลิวเยว่ราวกับไม่ได้ใส่ใจในสายตาของคนเหล่านี้เลยแม้แต่น้อย นางจัดแจงเสื้อผ้าให้ดูไม่ยุ่งเหยิงนักก่อนจะเดินลงไปจากจัตุรัส
จงซวิ๋นรีบสาวเท้าก้าวเข้ามาหา
“ศิษย์น้องฉู่เยว่…”
ยามมองเห็นใบหน้าวิตกกังวลอยู่บ้างของเขา ฉู่หลิวเยว่ก็คลี่ยิ้มบางเบาพลางเอ่ยปลอบโยนว่า
“ศิษย์พี่จงซวิ๋นไม่ต้องเป็นห่วง ทุกสิ่งอยู่ในการคำนวณของข้าแล้วทั้งนั้น”
ยามเห็นสายตาอันสุขุมหนักแน่นของเด็กหนุ่มแล้ว จงซวิ๋นพลันรู้สึกว่าเขาเป็นผู้ใหญ่และสุขุมมากกว่าที่ตนจินตนาการเอาไว้เยอะเลยทีเดียว
แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังเดาไม่ถูกว่าเขากำลังคิดอันใดอยู่
เขาจึงทำได้แค่ผงกศีรษะรับ
“อย่างใดเสีย เรื่องนี้ก็เป็นนางที่เข้ามายุแยงก่อน โทษเจ้าไม่ได้หรอก อีกอย่าง หากว่านางคิดจะทำอันใดจริงๆ แล้วละก็ ผู้อาวุโสวั่นเจิงเองก็คงไม่เห็นด้วยหรอก”
ในฐานะลูกศิษย์เพียงหนึ่งเดียวในรอบหลายปีมานี้ของผู้อาวุโสวั่นเจิง ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าคิดก็คงรู้ว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงนั้นรักและเอ็นดูเขามากเพียงไหน ไม่มีทางยอมให้เขาถูกผู้อื่นรังแกเอาได้หรอก
ในตอนนั้นเอง ด้านข้างก็แว่วสุ้มเสียงหนึ่งขึ้นมาอีก
“หมัดของเจ้าต่อยออกไปได้ไม่เลว”
ฉู่หลิวเยว่และจงซวิ๋นพากันหันไปมอง พบว่าเป็นพวกหลัวเยี่ยนหลินที่ไม่รู้ว่าเดินมาตรงนี้กันตั้งแต่เมื่อไร
คนที่พูดขึ้นมาคือหลัวเยี่ยนหลินนั่นเอง
เขากวาดสายตามองดูฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง แววตาของเขาเรืองรอง
“ระดับเจ็ดขั้นต้นหรือ…พลังของเจ้าดูจะไม่ใช่แค่นั้นเลยนะ”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะออกมา ก่อนจะเลือกวิธีการพูดแบบอ้อมค้อมไปว่า
“ข้าเป็นพวกค่อนข้างทนไม้ทนมือน่ะ”
นี่ก็เป็นเรื่องจริงอีกเช่นกัน
หลังจากได้ประมือกับหุ่นเชิดพวกนั้นแล้ว ความสามารถในการต้านทานการโจมตีของนางนั้นอย่าว่าแต่ระดับเดียวกันเลย ต่อให้เป็นจอมยุทธ์ระดับแปดก็ใช่ว่าจะเทียบนางได้!
แน่นอนว่า เวลาไปตีผู้อื่นก็เหมือนกัน
ก็ต้องบิดให้ถึงเนื้อในกันไปข้าง!
วันนี้ที่นางสามารถชนะการประลองรอบนี้ได้อย่างสบายๆ ต้องขอบคุณพี่เป่าเป็นการใหญ่แล้วจริงๆ
พอคิดมาถึงตรงนี้ หว่างคิ้วของฉู่หลิวเยว่พลันขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
ตอนนั้นพี่เป่าบอกว่าจะคอยนางอยู่ในสำนัก ทว่าจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นมีการเคลื่อนไหวใดปรากฏเลย
แล้วก็หากตอนนี้เขาเองก็อยู่ภายในสำนักจริง ไม่รู้ว่าเหตุใดเขาถึงไม่ยอมมาหานางเสียที
“ฉู่เยว่ เจ้าเป็นอันใดไปหรือ?”
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่มีอาการเหม่อลอย หลัวซือซือก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามออกไป
ฉู่หลิวเยว่พลันได้สติกลับคืนมา ก่อนจะส่ายศีรษะ
“ไม่มีอันใด แค่สู้ชนะรอบนี้มันปุบปับไปเลยเหนื่อยนิดหน่อยน่ะ”
ทุกคน “…”
เจ้าได้ตำแหน่งผู้ชนะมาครองตั้งแต่เริ่ม แล้วยังไม่ได้รับบาดเจ็บสักกระผีก ไปเอาอันใดมาเหนื่อยหนอ?
หลัวเยี่ยนหลินพลันกล่าวขึ้นมาว่า
“เจ้าเองก็ดูมีพรสวรรค์ในสายจอมยุทธ์อยู่นะ หากว่ามีเวลา ลองไปขอคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโสดู แล้วหมั่นฝึกปรือให้ดี บางทีอาจทำได้ไม่เลวก็ได้”
หากว่าฉู่เยว่ผู้นี้อยู่เพียงระดับเจ็ดขั้นต้นจริง เช่นนั้นการที่เขาสามารถเอาชนะหลิ่วจื่ออันได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ก็เพียงพอที่จะพิสูจน์แล้วว่าเขามีพรสวรรค์!
ต่อให้ตอนนี้ขั้นพลังปราณไม่สูงนัก ทว่าในอนาคตภายภาคหน้า…ก็อาจจะไม่ถูกจำกัดไว้แล้วก็ได้!
มุมปากของฉู่หลิวเยว่หยักยกขึ้นน้อยๆ
“ขอบพระคุณศิษย์พี่หลัวมากขอรับที่คอยชี้แนะ อีกอย่าง เรื่องของวันนี้ นับว่าติดสินน้ำใจศิษย์พี่หลัวแล้วครั้งหนึ่ง ในภายภาคหน้าหากมีโอกาส ฉู่เยว่ย่อมต้องใช้คืนให้จงได้”
ในใจหลัวเยี่ยนหลินพลันรู้สึกชมชอบในตัวฉู่หลิวเยว่มากกว่าเดิมยิ่งขึ้นไปอีก
ที่เขาเอ่ยปากออกไปนั้น แท้จริงแล้วก็มิใช่ว่าทำเพื่อช่วยฉู่เยว่ไปเสียทั้งหมด
ทว่าอีกฝ่ายเอ่ยทบเขาเป็นบุญคุณไปเสียก่อน นับว่าฉลาดเฉลียวและยึดมั่นในความยุติธรรมโดยแท้
“ก็แค่คำพูดประโยคเดียวเท่านั้น เจ้าไม่ต้องชดใช้อันใดให้ข้าหรอก อย่างใดเสียเจ้าก็เป็นเพื่อนของพวก
ซือซือ เรื่องเล็กน้อยไม่นับว่าเป็นอันใดไปได้หรอก คราวหลังก็ตั้งใจฝึกตน รีบไต่ขึ้นอันดับของงานประลอง
ชิงอวิ๋นให้ได้ในเร็ววัน จะได้ไม่ต้องถูกผู้อื่นรังแกข่มเหงกันเช่นนี้อีก”
สีหน้าของฉู่หลิวเยว่ขรึมลงเล็กน้อย นางผงกศีรษะรับอย่างจริงจัง
“ดีแล้ว ในเมื่อเรื่องมันก็จบลงไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว พวกเจ้าทุกคนก็แยกย้ายกันไปพัก…”
“ฉู่เยว่”
หลัวเยี่ยนหลินพูดยังไม่ทันจบ ก็มีสุ้มเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นมาจากทางด้านหลังเสียก่อน
คนทั้งหลายต่างพากันเอี้ยวศีรษะกลับไปมอง กลับพบว่าประตูใหญ่ของหอระฆังบูรพกษัตริย์พลันเปิดออกกว้าง ผู้อาวุโสวั่นเจิงเดินออกมาจากข้างในนั้น
เขาเดินเข้ามาหาก่อนจะหยุดลงตรงหน้าทุกคนชั่วครู่หนึ่ง
ทุกคนต่างก็พากันคำนับเขาอย่างพร้อมเพรียงกัน
“คารวะท่านผู้อาวุโสวั่นเจิง”
ฉู่หลิวเยว่กวาดสายตามองดูสีหน้าเขาอย่างรวดเร็วแวบหนึ่ง
“ท่านอาจารย์ขอรับ?”
“เจ้าตามข้ามา”
บนดวงหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงมิได้แสดงสีหน้าใดออกมา อีกทั้งยังดูอารมณ์ไม่ออก เขาทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียวก่อนจะสาวเท้าก้าวเดินไปยังด้านหน้า
คนที่เหลือต่างก็มองตากันไปมาอย่างไม่รู้จะทำอย่างใดดี
“เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่าผู้อาวุโสวั่นเจิงดูเหมือนจะมีบางอย่างไม่ถูกต้องกันนะ?”
หลัวซือซือพึมพำ
“ไม่ใช่แค่เหมือนจะมีหรอก มีบางอย่างไม่ถูกต้องจริงๆ นั่นแหละ!”
จัวเซิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงมั่นอกมั่นใจ ทว่าสีหน้ากลับเต็มเปี่ยมไปด้วยความงุนงง
“แปลกชะมัด…ฉู่เยว่ ดูจากที่เจ้าชนะการประลองไปได้อย่างสวยงามแบบนี้แล้ว ในฐานะอาจารย์ของเจ้า ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ควรจะดีใจและภูมิอกภูมิใจมากเลยสิถึงจะถูก เหตุใดถึง…”
เขาพูดออกมาไม่ได้ อย่างใดซะนี่มันประหลาดมากจริงๆ
ไม่เหมือนคนที่รู้สึกยินดีปรีดา แล้วก็ไม่เหมือนคนที่กำลังโมโหอยู่ด้วย ทำเอาผู้อื่นคาดเดาไม่ได้ ดูไม่ออกจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่ส่ายศีรษะ
“ข้าไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวค่อยไปหาพวกเจ้าทีหลังนะ”
พูดจบ นางก็เดินตามเขาไปทันที
“นี่…”
เดิมทีจงซวิ๋นคิดจะเดินตามไป ทว่าเมื่อคิดถึงสีหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงเมื่อสักครู่แล้ว ฝีเท้าของตนก็หยุดชะงักลง
…
ฉู่หลิวเยว่ตามผู้อาวุโสวั่นเจิงกลับไปยังจวนพำนักของเขา
บนภูเขากู่ไป่ลูกนี้ ฉู่หลิวเยว่เองก็เพิ่งเคยมาครั้งแรก
เดิมทีแล้วนางควรจะมากราบอาจารย์เข้าสำนักอย่างเป็นทางการในวันที่สองหลังจากที่การทดสอบช่วงต้นเดือนเสร็จสิ้นลง ทว่าในคืนนั้นดันเกิดเรื่องขึ้นบนเขาหมื่นเมรัยฟากนั้นเสียก่อน หลังจากนั้นไม่นานนางก็ถูกขังอยู่ในเขาเฝิงหมินอีก จึงยังมิได้มาที่นี่เสียที
บนภูเขาเต็มไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าเขียวชอุ่ม ในอากาศเองก็อวลกลิ่นหอมจางๆ จากบรรดาสมุนไพรทั้งหลาย
ภายในสำนักนั้น จวนที่พำนักของผู้อาวุโสทุกท่านล้วนตั้งแยกเป็นเอกเทศ ดังนั้นบนภูเขาลูกนี้ ณ ตอนนี้จึงมีเพียงพวกเขาสองคนเท่านั้น
ภายในแปลงสมุนไพรแปลงหนึ่งบนกลางทางบริเวณไหล่เขา มีกระท่อมไม้ที่แสนจะเรียบง่ายหลังหนึ่งตั้งอยู่
คนทั้งสองเดินเข้าไปในกระท่อม ในที่สุดผู้อาวุโสวั่นเจิงก็หยุดยืนนิ่ง ก่อนจะหันศีรษะกลับมามอง
เขามองฉู่หลิวเยว่อย่างเงียบเชียบด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความรู้สึกเย็นวาบและเฉียบคมท่ามกลางความเงียบสงัด!
ราวกับว่าต้องการจะมองนางจนทะลุปรุโปร่งอย่างใดอย่างนั้น!
ในใจของฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ บีบรัดเข้าหากันอย่างช้าๆ…
ผู้อาวุโสวั่นเจิงจ้องเขม็งมาที่นาง ก่อนจะเอ่ยถามเน้นทีละคำว่า
“วิถีหมัดของเจ้า ใครเป็นคนสอนอย่างนั้นหรือ?”