ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1178 ขอบคุณสำหรับคำชม
ตอนที่ 1178 ขอบคุณสำหรับคำชม
ฉู่หลิวเยว่ประหลาดใจนิดหน่อย นางไม่คิดว่าจู่ๆ เขาจะพูดถึงหรงซิว แถมยัง…
พอฟังดูแล้ว เหตุใดมันดูมีนัยชอบกล…
“อย่างใดเสีย การมีคนช่วยหนุนหลังก็เป็นเรื่องดี แต่จะดีกว่าหากเจ้าไม่หาเรื่องใส่ตัว”
ตู๋กูโม่เป่าเปิดประตู
“ขณะที่เจ้าอยู่ในสำนักหลิงเซียว แม้จะไม่สามารถสานต่อบทเรียนส่วนใหญ่ที่เคยสอนให้ได้ แต่ถ้าว่าง ข้าจะแวะเวียนมาสอนเจ้าด้วยตนเอง”
เมื่อพูดจบ เขาก็สาวเท้าไปด้านหน้าทันที
ไม่นานร่างเงาเล็กๆ นั่นก็หายไปจากครรลองสายตา ท่ามกลางเงามืดของรัตติกาล!
“ไอ้หยา นี่เจ้า…”
ฉู่หลิวเยว่ดึงสติกลับมาอีกครั้ง และนวดคลึงหว่างคิ้วของตนไปมา
นางแทบจะเดาได้ทันทีว่า วันวานที่รอนางอยู่หลังจากนี้ จักเป็นเช่นไร!
นางหยิบถวนจื่อขึ้นมา พลางก้าวเท้าออกไป
“ไปกันเถอะ! ครั้นตอนนี้เป็นอิสระแล้ว ก็ออกไปเปิดหูเปิดตากันดีกว่า!”
…
ณ ภูเขาหมื่นเมรัย
ตั้งแต่ช่วงพลบค่ำจนถึงก่อนรุ่งสางนั้น เป็นเวลาเปิดของภูเขาหมื่นเมรัย
เพลานี้ศิษย์จำนวนมากล้วนมารวมตัวกันที่ภูเขาหมื่นเมรัย
ทว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนหน้านี้แล้ว กลับมีคนน้อยกว่ามาก
สำหรับศิษย์ส่วนใหญ่ในสำนักวิชา เขาหมื่นเมรัยถือเป็นสถานที่แห่งความบันเทิงเริงรมย์ และจะดีกว่าหากนานๆ มาครั้ง มิใช่กระเหี้ยนกระหือรือมาเสียทุกวัน
ยิ่งไปกว่านั้น ช่วงนี้ก็ยังมีเรื่องที่ฉู่หลิวเยว่ไปยั่วโทสะหลิ่วอินถงอีก ศิษย์หลายคนจึงเกรงกลัวและไม่อยากสร้างปัญหา ดังนั้นพวกเขาจึงหยุดมาที่นี่ชั่วคราว
ทันทีที่ฉู่หลิวเยว่มาถึงเขาหมื่นเมรัย ก็สามารถดึงดูดทุกสายตาให้หันไปมองได้ในทันที
ดวงตานับไม่ถ้วนจับจ้องมองนาง ด้วยสีหน้าที่แตกต่างกันไป
แต่ฉู่หลิวเยว่เมินเฉยและเดินตรงขึ้นไปอย่างไม่ทุกข์ร้อน
และขณะที่กำลังจะถึงยอดเขา ในที่สุดนางก็หยุดฝีเท้าลง
ยามนี้พื้นที่ข้างน้ำพุถูกจับจองเกือบเต็มหมดแล้ว
แต่ท่ามกลางกลุ่มคนเหล่านั้น กลับไร้ซึ่งเงาของหลิ่วอินถง
ฉู่หลิวเยว่มองชายหนุ่มคนหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
“วันนี้ศิษย์พี่หญิงหลิ่วไม่มาหรือ?”
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่ว” ที่ว่านี้ ไม่ต้องเค้นถามก็รู้ว่าหมายถึงใคร
ชายหนุ่มคนนั้นชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว
“ยังไม่เห็นนะ”
ฉู่หลิวเยว่เริ่มขมวดคิ้ว
ดูเหมือนว่าหลิ่วอินถงจะไม่ได้จริงจังกับคำพูดของนางเสียเท่าไร…
ค่ำมืดเช่นนี้แล้ว ยังไม่มาอีกหรือ
ตัวนางน่ะรอได้ แต่ถวนจื่อไม่มีความอดทนขนาดนั้น
ฉู่หลิวเยว่ยืนอยู่ที่นั่น และรอประมาณหนึ่งชั่วยาม หลิ่วอินถงถึงได้ปรากฏตัวขึ้น
คนที่มากับนางคือกงเซิ่ง ผู้ที่อยู่กับนางในวันนั้น
“ศิษย์พี่หญิงหลิว ท่านปล่อยให้ข้ารอนาน”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยทักก่อน พลางระบายยิ้มให้อีกฝ่าย
แต่หลังจากเห็นฉู่หลิวเยว่ หลิ่วอินถงที่สงบนิ่งมานาน ก็พลันฉุนเฉียวขึ้นอีกครา
แต่สายตาของคนรอบข้าง ทำให้นางจำต้องกลืนคำพูดเหล่านั้นลงไป
“ข้าติดธุระเลยมาช้า”
นางรีบตอบปัดๆ ด้วยน้ำเสียงเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่อยากเสียเวลาจับผิดอีกฝ่าย ดังนั้นนางทำทีหัวเราะพลางกล่าวว่า
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่วยุ่งมากประหนึ่งหัวไม่วางหางไม่เว้น จักปลีกตัวออกมาเช่นนี้ มิใช่เรื่องง่ายเลย เช่นนั้นเชิญเถิดขอรับ…”
หลิ่วอินถงแอบกัดฟันกรอด
แค่วันแรก นางก็รู้สึกขายหน้าแล้ว!
ไม่รู้เลยว่าอีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้จะเป็นเช่นไร!
แต่นางได้ให้คำมั่นสัญญาต่อหน้าผู้คนมากมายไปแล้ว หากเปลี่ยนใจกลางคัน…ชื่อเสียงในสำนักวิชาของตนต้องพังพินาศแน่!
ฉะนั้นไม่ว่าจะอึดอัดเพียงใด นางก็ต้องอดทนแล้วผ่านมันไปให้ได้!
นางสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วมองไปที่ยอดเขา
แต่หลังจากที่ได้เห็นใบหน้าของคนเหล่านั้น สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนไปทันที
…ไฉนพวกเขาถึงมารวมตัวกันวันนี้!?
เมื่อเห็นท่าทีของนาง ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มตกตะกอนความคิด และหันไปมองตามสายตาของอีกฝ่าย ก่อนจะหยุดอยู่ที่คนกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว
บริเวณนั้นมีเหล่าชายหญิงที่แต่งกายด้วยผ้าดิ้นทอเนื้อดี ดูแล้วเหมือนจะเป็นเหล่าลูกผู้ลากมากดีหลายคนที่ถูกเลี้ยงดูโดยตระกูลขุนนางชั้นสูง
และที่สำคัญที่สุดก็คือ ลมปราณรอบตัวพวกเขามิได้ด้อยไปกว่าหลิ่วอินถงเลย!
นอกจากนี้ หากพิจารณาจากสีหน้าของหลิ่วอินถงแล้ว ไม่แน่ว่าคนเหล่านั้นอาจแข็งแกร่งกว่านางด้วย…
“กระไรหรือ ศิษย์พี่หญิงหลิ่วมีปัญหาอันใดหรือขอรับ?”
ฉู่หลิวเยว่เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
หลิ่วอินถงค่อยๆ กำหมัดช้าๆ ปลายเล็บอันแหลมคมจิกฝังเข้าไปในฝ่ามือของนาง
นี่เขายังกล้าถามอีกหรือ!
ทว่าครั้นขึ้นหลังเสือแล้วย่อมยากที่จะก้าวลง นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากกัดฟันแล้วดั้นด้นต่อไป
นางหันศีรษะกลับมาพลางกดเสียงต่ำ แล้วเอ่ยย้ำทีละคำว่า
“ครั้นสิ้นหนึ่งเดือนแล้วเราจะได้เห็นดีกัน!”
ประโยคนั้นเต็มไปด้วยคำขู่และคำเตือนอย่างเห็นได้ชัด
พลันมีร่องรอยกลั่นแกล้งปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่
“เดิมทีข้าคิดว่าหากศิษย์พี่หญิงหลิ่วรู้สึกลำบากใจ วันนี้ข้าจักพอแค่นี้ก่อน แต่ในเมื่อศิษย์พี่หญิงหลิ่วบอกว่าไม่มีปัญหา เช่นนั้น…ข้าก็จะเคารพการตัดสินใจของท่าน”
รอยยิ้มพิเรนปรากฏขึ้นที่มุมปากของนางขณะพูด
“ศิษย์พี่หญิงหลิ่วเป็นคนยึดมั่นในสัจจะ ช่างเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์น้องอย่างข้าจริงๆ ขอรับ!”
ฉู่หลิวเยว่ตั้งใจกล่าวสองประโยคนี้ด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด จนหลายคนที่อยู่รอบๆ ได้ยินบทสนทนาของพวกเขาเต็มสองหู
บรรยากาศมาคุแผ่กระจายไปรอบด้าน
หลิ่วอินถงคิดไม่ถึงว่านางจะกล้าเล่นแง่ต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ ใบหน้างดงามของนางพลันแข็งทื่อ
“เจ้า…”
“อาถง”
ขณะที่หลิ่วอินถงกำลังจะระเบิดอารมณ์ออกมา กงเซิ่งที่อยู่ข้างๆ นางก็รีบร้องเรียกดึงสติสัมปะชัญญะสุดท้ายของนางกลับมาเสียก่อน
“อีกเดี๋ยวเราต้องไปจัดการเรื่องอื่นต่ออีก ดังนั้นก็รีบสะสางปัญหาของศิษย์น้องฉู่เยว่เถอะ มิเช่นนั้น ศิษย์น้องฉู่เยว่จะหาว่าเจ้าลืมเขาอีก”
กงเซิ่งกล่าวพลางมองฉู่หลิวเยว่อย่างมีนัย แม้ใบหน้านั้นจะแย้มยิ้ม แต่คำพูดกลับเต็มไปด้วยความประชดประชัน
ช่วงกลางวันเขาไม่ได้อยู่ที่จัตุรัส แต่เขาได้ยินเรื่องราวต่างๆ จากหลิ่วอินถง
แม้จะตกใจที่ฉู่หลิวเยว่สามารถเอาชนะจอมยุทธ์ระดับเจ็ด ซึ่งเป็นระดับที่เหนือกว่าตนอย่างหลิ่วจื่ออันได้ ทว่าทั้งใจเขากลับดูถูกเหยียดหยามฉู่หลิวเยว่ยิ่งนัก
สำหรับเขาแล้ว ชัยชนะของฉู่หลิวเยว่มิใช่เรื่องปกติ อีกฝ่ายจักต้องใช้เล่ห์กลบางอย่างเข้าช่วยอีกครั้งแน่ๆ
อีกทั้งยังขอให้หลิ่วอินถงมาส่งตนที่เขาหมื่นเมรัยทุกวันเป็นเวลาหนึ่งเดือนเต็ม และนั่นทำให้เขายิ่งเกลียดฉู่หลิวเยว่มากขึ้น
แต่ฉู่หลิวเยว่หาได้สนใจไม่
ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอันใด ตราบใดที่ทำตามข้อตกลง อย่างอื่นย่อมไม่สำคัญ
ดังนั้นนางจึงยิ้มกว้างแล้วตอบเขากลับว่า
“ศิษย์พี่กงเซิ่งพูดถูกแล้วขอรับ ตัวข้านั้นความจำแย่มาแต่ไหนแต่ไร ฉะนั้นจากนี้หนึ่งเดือน ก็ขอให้ศิษย์พี่หญิงหลิ่วช่วยอดทนกับข้าด้วยเถอะนะขอรับ”
หลิ่วอินถงร้อนผ่าวไปทั่วทรวงอก ราวกับถูกแผดเผาด้วยไฟโทษะที่กำลังลุกโชนอย่างบ้าคลั่ง จนแทบเผานางให้มอดไหม้!
นางปิดปากเงียบแล้วยกเท้าก้าวไปข้างหน้า!
กงเซิ่งเดินตามหลังหลังนางไปติดๆ และเมื่อเดินผ่านฉู่หลิวเยว่ เขาก็หยุดฝีเท้าพลางปรายตามองนางเล็กน้อย แววตาดูลึกล้ำราวแฝงความนัย
“หน้าด้านสิ้นดี”
ใบหน้าของเขายังคงแย้มยิ้ม แต่คำพูดที่ออกมาจากปากนั้นช่างเย็นชาและมืดมน จนทำให้คนฟังสั่นสะท้าน
แต่ฉู่หลิวเยว่กลับหัวเราะเบาๆ
“ขอบคุณศิษย์พี่กงเซิ่งสำหรับคำชม”
กงเซิ่งสูดหายใจเข้าลึกๆ อย่างระงับอารมณ์ ก่อนจะหมุนตัวกลับแล้วรีบตามหลิ่วอินถงไป!
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นนิดๆ และก้าวเท้าตามไปอย่างเชื่องช้า
…
หลิ่วอินถงมาถึงตาน้ำพุบนยอดเขา
เมื่อกลุ่มคนที่มาก่อนได้ยินเสียงเคลื่อนไหว ก็ต่างพากันเงยหน้ามองอย่างพร้อมเพรียง
หลิ่วจื่อถงยืนอยู่กับที่ พลางสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ และกล่าวอย่างสุภาพว่า
“เหลี่ยงเซียวเซียว ตรงนี้พอจะยังมีที่ว่างหรือไม่? ข้าขอ…”
“ไม่ได้”
แม่นางที่แต่งตัวดีขัดจังหวะนางทันควัน พร้อมเอ่ยอย่างไร้เยื้อใย
“ตรงนี้มีคนจองแล้ว อีกเดี๋ยวคงจะมาถึง ถ้าอยากเข้ามานั่ง ก็ค่อยมาใหม่เช้าวันพรุ่งแล้วกัน”