ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1192 หรงซิว อันตราย
ตอนที่ 1192 หรงซิว อันตราย
แค่ประโยคเดียวก็ปลุกคนให้ตื่นจากฝันได้ในทันที
เจียงจื่อหยวนที่เดิมทีหวังจะฉวยเอาโอกาสนี้ให้ตัวเองได้ออกไปด้านนอก ต่อให้นางจะทำได้แค่ปรากฏตัวต่อหน้าหรงซิวก็ยังดี เขาจะได้รู้ว่าที่ตนนั้นยอมทำทุกอย่างอย่างสุดชีวิตเพื่อเขา
ทว่าสิ่งที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยปากออกมาในตอนนี้ ทำให้นางฉุกคิดได้ทันควันว่าการที่ตนพูดเช่นนั้นออกไปต่อหน้าธารกำนัลฟังดูโง่เขลามากเพียงใด!
“ข้า…ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น…”
นางตื่นตกใจอยู่มากเลยทีเดียว จึงรีบร้อนอธิบายออกไป
“ข้าเพียงแค่เป็นห่วงศิษย์พี่หรงซิวเท่านั้น…”
“ทักษะและความสามารถของหรงซิวถือว่าเป็นที่หนึ่งของสำนักหลิงเซียว อีกทั้งบัดนี้เขาก็ได้เป็นถึงโอรสสวรรค์แห่งพระราชวังเมฆา หรือว่าความสามารถในการป้องกันตัวของเขาก็ยังสู้เจ้าไม่ได้ เลยจำเป็นต้องให้เจ้ามาเป็นห่วงเป็นใยเขาหรือ?”
น้ำเสียงของผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเรียบเรื่อยเฉื่อยชา ทว่าคำพูดที่กล่าวออกมานั้นกลับทำให้เจียงจื่อหยวนรู้สึกอับอายขายขี้หน้ายิ่งกว่าเก่า
ทั่วทั้งจัตุรัสเงียบสงัดไร้ซึ่งเสียง
สายตาของฝูงชนที่จับจ้องไปยังเจียงจื่อหยวนเองก็สับสนแลลึกล้ำขึ้นมาทันใด
นั่นสิ!
ที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดมาก็ไม่ได้ไร้เหตุผลเสียทีเดียว
ตอนนี้สถานการณ์ด้านนอกเข้าขั้นวิกฤต แต่ว่าบรรดาผู้อาวุโสในสำนักจำนวนมากก็ถูกส่งตัวออกไปแล้ว ด้วยไม่สามารถให้คนเหล่านั้นมาทำตัวยโสจองหองภายในสำนักได้ อีกอย่างตัวหรงซิวเองก็เป็นที่หนึ่งจากสองในสี่ของรายชื่อจากงานประลองชิงอวิ๋น นางที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับครึ่งเทพมานั่งกังวลอยู่เช่นนี้จะไปมีประโยชน์อันใด?
ต่อให้ได้ไป ก็ใช่ว่าจะช่วยแก้ปัญหาได้ รังแต่จะกลายเป็นภาระแก่ผู้อื่นก็เท่านั้น
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว เช่นนั้นการที่นางแสดงท่าทีออกมาเช่นนี้ก็ดูจะผิดธรรมดาไปหน่อย…
“จิ๊ มีคนอยากเล่นละครประโลมโลกต่อหน้าทุกคนล่ะ แต่ไม่ได้ดูเลยว่าตัวเองมีทักษะมีคุณสมบัติกับเขาหรือไม่”
ภายในฝูงชนแว่วเสียงหัวเราะเยาะออกมาสุ้มเสียงหนึ่ง
สีหน้าของเจียงจื่อหยวนปรากฏเป็นเดี๋ยวแดงเดี๋ยวซีดเผือดในพริบตา!
นางหันศีรษะไปมองอย่างรวดเร็ว คิดจะเอ่ยปากโต้เถียงคนที่เอ่ยประโยคเมื่อครู่ออกมา
ทว่าภายในจัตุรัสมีคนอยากมากนัก อีกทั้งเสียงนั้นค่อนข้างแปลกหู นางจึงนึกไม่ออกเสียทีว่าเป็นใครกันแน่ที่พูดออกมา
นางกัดริมฝีปากของตัวเองแน่น สีหน้าของนางเต็มไปด้วยความคับข้องใจ
เมื่อก่อนหากนางแสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมา มักจะได้รับความสงสารและความเห็นอกเห็นใจจากคนจำนวนมากเสมอ
ทว่าครานี้กลับดูเหมือนว่าจะใช้ไม่ได้อีกต่อไปแล้ว
ยามสำนักเผชิญปัญหาใหญ่หนักหนา ในใจของคนทุกคนล้วนคิดถึงสำนัก หาใช่ใครคนใดคนหนึ่ง
การกระทำนี้ของเจียงจื่อหยวนแสดงให้เห็นชัดแล้วว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น ซึ่งแน่นอนว่าทุกคนไม่เห็นด้วย และยังเริ่มมีกระทั่งความรู้สึกไม่ชอบหน้านางอยู่บ้างแล้ว
“นั่นสินะ! ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนบอกแล้วว่าทุกคนกลับไปสงบจิตสงบใจรอ ส่วนนางก็ยืนกรานจะออกไปให้ได้ นางไปแล้วทำอันใดได้? จะไปเอาหัวตัวเองเป็นประกันหรือ? ฮ่าฮ่า!”
“ข้าว่านางออกจะสำคัญตัวไปหน่อยแล้วกระมัง? นางเป็นห่วงศิษย์พี่หรงซิวในฐานะอันใดกัน?”
“ฮี่ฮี่ จริงๆ แล้วข้าเองก็เป็นห่วงศิษย์พี่หรงซิวมากเหมือนกัน! แต่ว่าข้าน่ะสำเหนียกในความสามารถของตัวเองดี คงไปก่อปัญหาให้ศิษย์พี่และท่านผู้อาวุโสทั้งหลายในตอนนี้ไม่ได้หรอก!”
ทุกประโยคล้อเลียนและเยาะเย้ยเหมือนเข็มเหล็กที่แทงเข้ากลางใจเจียงจื่อหยวนอย่างแรง ฉีกกระชากความมั่นใจของนางและหนังหน้าของนางไม่เหลือชิ้นดี! จากนั้นก็โยนมันลงพื้นแล้วกระทืบซ้ำเข้าไปอีก!
แต่ไหนแต่ไรมานางก็เป็นลูกรักสวรรค์มาโดยตลอด ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก็ล้วนเป็นผู้ที่ได้รับการปรนนิบัติเอาใจด้วยเกียรติสูงสุดท่ามกลางผู้คนมากมาย
ทว่ากับที่นี่ คนพวกนั้นกลับมองมาที่นางเหมือนกำลังมองเรื่องตลกเดินได้อยู่อย่างใดอย่างนั้น
มือเท้าของเจียงจื่อหยวนรู้สึกอ่อนแรงลงไปหลายส่วน
นางคิดอย่างใดก็ไม่เข้าใจ ตัวเองเพียงพูดออกไปแค่สองสามประโยคเท่านั้น แล้วก็ยังไม่ได้ทำอันใดผิดด้วย เหตุใดจึงพลิกมาเป็นเช่นนี้ได้?
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนมองดูดวงหน้าซีดเผือดของนางที่ดูจะสติหลุดลอยไปแล้วด้วยความอับอายก็ส่ายศีรษะ
“ฟังที่อาจารย์ของเจ้าพูดเสีย ช่วงนี้เจ้ากำลังจะถึงขั้นบุกทะลวงแล้ว ช่วงระยะเวลานี้ก็ตั้งใจฝึกฝนดีๆ เสียล่ะ!”
คำพูดนี้เรียกได้ว่าหาทางออกให้เจียงจื่อหยวนอย่างถึงที่สุดแล้ว
นางขบริมฝีปากของตน พยายามเค้นเสียงตัวเองให้เอ่ยตอบรับคำอย่างยากลำบาก ก่อนจะหมุนกายจากไปอย่างรวดเร็ว
ศีรษะที่มักจะเชิดขึ้นสูงด้วยความภาคภูมิใจมาโดยตลอด บัดนี้ก้มลงต่ำได้ในที่สุด ในภาพแผ่นหลังของนางปรากฏความตื่นตระหนกและความอับอายอยู่หลายส่วน
พวกเหลี่ยงเซียวเซียวที่สบตากันไปมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนเช่นเดียวกันต่างก็รีบพากันจากไปในทันที
…
เมื่อผ่านพ้นฉากละครคั่นเล็กๆ ไปแล้ว อารมณ์ของคนจำนวนมากภายในจัตุรัสก็ผ่อนคลายลงไปหลายส่วน
ดูจากความหมายที่ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนต้องการจะสื่อแล้ว ก็คงจะไม่มีปัญหาอันใดอย่างที่ว่าจริงๆ
ดังนั้น เมื่อผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเอ่ยเร่งเร้าอีกครั้งหนึ่ง บรรดาศิษย์ที่มารวมตัวกันก็สลายตัวกันไปอย่างว่องไว
“พวกเราเองก็กลับกันไปก่อนเถอะ!”
จัวเซิงไกวแขนของตนครั้งหนึ่ง
“ซือซือ เมื่อครู่ที่อาจารย์สอนข้าไม่ค่อยเข้าใจเท่าไร เดี๋ยวพอกลับไปแล้วสู้กับข้าหน่อยสิ ช่วยข้าแก้ปัญหาหน่อยนะ?”
แม้ว่าบัดนี้ขั้นพลังปราณของเขาจะแกร่งกว่าหลัวซือซือนิดหน่อย ทว่าในความเป็นจริงแล้ว ทักษะในด้านวิชาจอมยุทธ์ของหลัวซือซือนั้นโดดเด่นกว่าเขาอยู่บ้างเลยทีเดียว
จัวเซิงรู้ถึงข้อนี้ดีอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงมักจะขอคำแนะนำจากหลัวซือซืออย่างใจเย็นอยู่เสมอ
หลัวซือซือผงกศีรษะรับ
หลัวเยี่ยนหมิงครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยว่า
“เช่นนั้นข้ากลับไปศึกษาค่ายกลก่อนนะ”
แม้ว่าพวกเขาจะเพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่นาน ทว่าการอยู่ที่นี่ก็ทำให้ได้รับแรงกดดันจากการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้นต่อให้มีพรสวรรค์ไม่เลว มีพื้นฐานที่ใช้ได้ก็ตาม พวกเขาเองก็ไม่กล้าที่จะทำตัวเกียจคร้านเลยสักนิดเดียว
“ฉู่เยว่ แล้วเจ้าล่ะ?”
คนทั้งสามต่างก็หันมองมาทางฉู่หลิวเยว่
นางฉีกยิ้มกว้าง
“ในเมื่อพวกเจ้ากลับไปกันหมด เช่นนั้นข้าก็กลับด้วยเหมือนกัน”
…
กลุ่มคนต่างก็พากันแยกย้ายจากไป
ฉู่หลิวเยว่มุ่งหน้าเดินไปยังฟากของเซียนหมอได้ระยะหนึ่งแล้ว ทว่าท้ายที่สุดก็ยังไม่ได้ขึ้นเขาไป
ในตอนนั้นผืนฟ้าก็ค่อยๆ เย็นค่ำลง ดวงอาทิตย์ก็เริ่มหย่อนตัวลงทางด้านตะวันตก
นางเลือกตำแหน่งที่ปกปิดตนเองได้ดีที่สุด หลังจากแน่ใจแล้วว่ารอบข้างไร้ผู้คน นางก็เงื้อข้อมือขึ้น
บนข้อมือขาวดุจดั่งหิมะ ดอกท้อดอกหนึ่งผลิบานขึ้นมาอย่างเงียบงัน
ความคิดของนางพลันสั่นไหว ก่อนที่เงาร่างจะหายวับไปจากพื้นที่เดิมอย่างรวดเร็ว!
…
อาศัยการเคลื่อนย้ายเหนือแสง ฉู่หลิวเยว่ก็มาถึงบริเวณด้านข้างค่ายกลของสำนักได้อย่างเงียบเชียบ
คงเป็นเพราะว่าผู้อาวุโสในสำนักได้เพิ่มมาตรการการเฝ้าระวังให้เข้มงวดมากกว่าเดิม บนค่ายกลจึงแผ่ประกายเรืองแสงออกมาจางๆ อันมีแรงกดดันมหาศาลนัก
นางสะกดกลั้นลมหายใจ ดวงตาทั้งสองจ้องเขม็งไปยังค่ายกล ภายในสมองมีความคิดมากมายไหลหลากผ่านไปมา
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนพูดเอาไว้ไม่ผิด ตอนนี้ไม่ว่าใครก็ไม่กล้าไปทำตัวหยิ่งผยองอยู่ในเมืองฝางโจวที่อยู่ด้านนอกของสำนักเลยสักคน
บรรดาผู้อาวุโสออกไปยังฝางโจวพร้อมกัน การจะจัดการคนพวกนั้นคงไม่ใช่ปัญหาเลยด้วยซ้ำ
อีกอย่าง หรงซิวเองก็มีพลังกล้าแกร่งมากจริงๆ
ฉู่หลิวเยว่ที่รู้จักเขามาได้นานขนาดนี้ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่แน่ใจว่าสรุปแล้วหรงซิวมีขั้นพลังปราณแบบใดกันแน่
หากพูดตามตรงแล้ว ก็คงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นหรอก
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปากของตัวเองแน่น ก้นบึ้งของจิตใจกำลังสู้กันอย่างสุดกำลัง
หากว่านางไปที่นั่น ก็คงเป็นเหมือนเจียงจื่อหยวนไม่มีผิด กลายเป็นภาระไร้ประโยชน์เสียเปล่าๆ
ถ้าหากเป็นแบบนั้นแล้วละก็ ไม่สู้สงบจิตสงบใจรออยู่ที่นี่เสียจะดีกว่า
อีกอย่างค่ายกลของสำนักก็มีการเฝ้าระวังอย่างเข้มงวด นางอยากลอบหนีออกไปโดยไม่ดึงดูดความสนใจใคร ซึ่งเรื่องนั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยจริงๆ
คิดไปคิดมา ฉู่หลิวเยว่ก็หมุนฝีเท้าเตรียมตัวจะกลับเข้าสำนักไป
ทว่าทันทีที่นางขยับตัว ตำแหน่งตันเถียนภายในกายพลันแผ่คลื่นกระเพื่อมออกมา!
คลื่นกระเพื่อมนั้นหาได้เป็นสิ่งที่ไข่มุกธาราสร้างขึ้นมาไม่ แต่เป็น…เจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำอันนั้น!
แสงสีทองที่แผ่วจางเสียจนแทบมองไม่เห็นแผ่แสงออกมาจากภายในรอยแตกสามสาย
ในตอนนั้นเองไม่รู้ว่าด้วยเหตุอันใด ผนึกสีดำอันนั้นถึงได้ส่งสัญญาณออกมาว่ามันกำลังอ่อนกำลังลง!
นี่มัน…
แววตาของฉู่หลิวเยว่จดจ้องมอง ในตอนที่นางกำลังคิดว่ามันหมายความว่าอย่างใดอยู่นั่นเอง เบื้องหน้าพลันมีแสงสีเงินวาบผ่าน!
นางจ้องเขม็งมองไป กลับพบว่าจู่ๆ กริชที่หรงซิวให้นางเอาไว้ลอยขึ้นมาด้วยตัวเอง!
หึ่ง!
กริชเล่มนั้นสั่นไหวระริก!
ปลายแหลมบนคมกริชสาดแสงสีเงินอันชวนให้เย็นวาบไปถึงสันหลัง! จิตสังหารกระจายฟุ้งไปทั่วบรรยากาศ!
ใจของฉู่หลิวเยว่พลันกระตุก
หรงซิว…อันตราย!
นางแทบไม่ใช้เวลาคิดด้วยซ้ำ ก่อนที่ตัวนางจะหมุนกายพุ่งไปยังค่ายกลในทันใด!