ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1194 ปกป้องนางจนสุดความสามารถ
ตอนที่ 1194 ปกป้องนางจนสุดความสามารถ
หรงซิวพลันรับรู้ได้ถึงการลอบโจมตีจากด้านหลัง
แววตาของเขาเข้มขึ้นกว่าเก่า ก่อนจะปล่อยลำแสงสีทองออกมาจากฝ่ามือ!
ทว่า การเคลื่อนไหวของเขาพลันหยุดชะงัก บนดวงหน้าปรากฏแววประหลาดใจวาบผ่านอย่างหาได้ยาก
เพียงแค่ความลังเลที่เกิดขึ้นชั่วขณะ ลูกธนูดอกนั้นพุ่งมาจากทางด้านหลังเขา มองดูก็รู้ว่ามันกำลังจะเสียบเข้าร่างเขาอยู่รอมร่อ!
“หรงซิว!”
พวกผู้อาวุโสซูเฟิงที่ยืนมองอยู่ไกลๆ ยามเห็นภาพฉากนี้ล้วนตกอกตกใจกันทั่วถ้วน ต่างคนต่างเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด ก่อนจะตะโกนเสียงทุ้มออกไปสุดเสียง
“รีบหลบไปสิ!”
มาเวลานี้แล้ว เหตุใดหรงซิวถึงยังเอาแต่เหม่อลอยอยู่ได้!?
จินเหลยแสยะยิ้ม มุมปากของเขากระดกขึ้น อีกทั้งแววตาก็ส่ออาการเยาะเย้ย ราวกับว่าตัวเองได้กุมชัยชนะไว้ในมือเรียบร้อยแล้ว
หรงซิวนั้นต่อสู้ได้เก่งกาจโดยแท้ ก่อนหน้านี้ที่พวกเขาทุกคนล้อมหรงซิวเอาไว้ ก็ยังไม่สามารถฉวยอันใดมาจากเขาได้เลยแม้แต่น้อย
แต่แล้วอย่างใดเล่า?
ในช่วงเวลาหน้าสิ่วหน้าขวานเช่นนี้ ห้ามเหม่อลอยหรือลังเลเป็นอันขาด ข้อผิดพลาดแค่เพียงเล็กน้อยล้วนนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ร้ายแรงเกินจินตนาการได้ทั้งสิ้น
ทว่าในตอนที่เขาคิดว่าตนสามารถนั่งรอดูหรงซิวบาดเจ็บและพ่ายแพ้ไปได้นั่นเอง เงาร่างสูงโปร่งเพรียวบางของคนผู้หนึ่งพลันปรากฏกายอยู่ด้านหลังหรงซิว!
คนผู้นั้นปรากฏตัวได้กะทันหันนัก เขายังไม่ทันได้รวบรวมพลังของตนด้วยซ้ำ คนก็มาถึงแล้ว!
นี่มันการเคลื่อนย้ายเหนือแสง!
ยามจินเหลยและผู้คนที่อยู่รอบข้างเห็นภาพฉากนี้ ทุกคนต่างก็บังเกิดความคิดแบบเดียวกันขึ้นมา!
ผู้ที่สามารถใช้การเคลื่อนย้ายเหนือแสงได้ อย่างน้อยที่สุดก็ต้องผู้แข็งแกร่งระดับเทพขึ้นไป แต่พวกเขาล้อมหรงซิวเอาไว้แน่นหนามาก พวกผู้อาวุโสในสำนักที่อยู่ข้างนอกนั่นพยายามครั้งแล้วครั้งเล่าก็ยังไม่สามารถฝ่าวงล้อมเข้ามาได้ แล้วเหตุใดคนผู้นั้นถึงได้…
เคร้ง!
เสียงปะทะกันเสียก้องกังวานแว่วดังขึ้น!
ที่แท้ก็เป็นคนผู้นั้นใช้กระบี่สีดำในมือปัดป้องลูกธนูเอาไว้!
ซ่า!
ข้อมือของคนผู้นั้นเงื้อขึ้นเล็กน้อย ลูกธนูดอกนั้นถูกปัดออกไปแฉลบเข้ากับคมกระบี่สีดำสนิทเข้าอย่างจัง!
บังเกิดเสียงแหลมเสียดหูยิ่งนัก!
แต่ในชั่วพริบตานั้นเอง กระบี่สีดำของคนผู้นั้นก็ผ่ากลางลูกธนูจนขาดเป็นสองท่อนอย่างว่องไว!
แกร๊ก!
ทุกอย่างที่กล่าวมานั้นล้วนเกิดขึ้นในพริบตาเดียว!
“ใครกัน!?”
ในใจของพวกจินเหลยเริ่มกระวนกระวาย ทั้งหมดต่างจ้องเขม็งไปยังคนผู้นั้น
ทว่าในตอนที่พวกเขาเห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้นอย่างชัดแจ้งแล้ว ก็แสดงสีหน้าตื่นตะลึงโดยพร้อมเพรียงกัน
นั่นมัน…เด็กหนุ่มหรือ?
นั่นเป็นเด็กหนุ่มคนหนึ่งจริงๆ!
เขาสวมชุดคลุมสีน้ำเงินแกมเขียว รูปร่างสูงโปร่งเพรียวบาง ดวงหน้าจิ้มลิ้มงดงามนัก บนใบหน้าของเขายังหลงเหลือเค้าลางความอ่อนเยาว์อันเป็นเอกลักษณ์ของอนุชน
ดูแล้ว อย่างใดก็ไม่เกินยี่สิบหนาวแน่นอน
นั่นคือเด็กที่ดูเผินๆ แล้วย่อมไม่สามารถเทียบเคียงกับพวกเขาได้อย่างแน่นอน
ทว่าในครั้งนี้ ด้วยกระบี่สีดำในมือ จู่ๆ เขาก็ทลายแนวกั้นของพวกเขาได้อย่างรวดเร็วและมาปรากฏตัวด้านหลังของหรงซิวเพื่อมาช่วยปัดป้องลูกธนูดอกนั้นให้!
ในพริบตานั้นเอง ฝูงชนต่างก็เข้าใจในทันทีว่า…เขาใช้อาวุธโบราณสักอย่างหนึ่งที่สามารถใช้การเคลื่อนย้ายเหนือแสงได้!
…
ฉากเหตุการณ์อันวุ่นวายพลันเงียบกริบลงในพริบตา
มือทั้งสองของฉู่หลิวเยว่กุมกระบี่เอาไว้ การปัดป้องลูกธนูดอกเมื่อครู่ทำให้ง่ามมือของนางเหน็บชาเลยทีเดียว
หากมิใช่เพราะว่าระยะนี้นางฝึกฝนวิชากับต้าเป่ามาตลอดและพัฒนาพลังกายของตนอย่างเต็มเปี่ยม นางในตอนนี้ย่อมต้องไร้หนทางหยุดการโจมตีครานี้อย่างแน่นอน
นางรับรู้ได้ถึงสายตาเฉียบคมหาสิ่งใดเปรียบจำนวนนับไม่ถ้วนมองมาจากทั่วทุกสารทิศ ประหนึ่งว่าสายตาเหล่านั้นเป็นคมดาบที่ทิ่มแทงบนร่างของนางก็มิปาน!
“เจ้าเป็นใครกัน!?”
จินเหลยตะโกนเสียงเข้ม
เดิมทีด้วยความไม่รู้ตัว เขานั้นอยากจะเห็นนักว่าคนผู้นั้นมีขั้นพลังปราณแบบใดกันแน่ ทว่าเขากลับประหลาดใจเมื่อพบว่าอีกฝ่ายนั้นปกปิดลมปราณของตนได้ดีเยี่ยมเลยทีเดียว
ต่อให้เป็นเขาก็ไร้หนทางสอดส่องความสามารถที่แท้จริงของเด็กหนุ่มผู้นั้น
เพียงแต่ว่า หากสามารถปัดป้องลูกธนูเมื่อครู่ได้ ดูเหมือนว่าอย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นจอมยุทธ์ระดับเก้าแล้ว
ยามมองดวงหน้าอ่อนเยาว์ใบนี้แล้ว แทบไม่มีใครเชื่อมคำว่า ‘ผู้แข็งแกร่งระดับเทพ’ เข้ากับคนผู้นี้ได้อย่างแน่นอน
ฉู่หลิวเยว่กลับเมินคำพูดของเขาโดยสิ้นเชิง ทำเพียงแค่หันศีรษะไปมองหรงซิวแวบหนึ่งเท่านั้น
ครรลองสายตาคนทั้งสองสบประสานกัน
ความประหลาดใจแลตื่นตกใจในแววตาของหรงซิวล้วนมลายไปหมดสิ้น หลงเหลือเพียงสีดำเข้มทะมึนที่มองเห็นได้เลือนรางเท่านั้น
ท่ามกลางคลื่นใหญ่ที่สาดซัด ราวกับว่ามีคลื่นใต้น้ำไหลกระเพื่อม
เพียงการสบสายตาครั้งเดียวก็เพียงพอแล้ว
สีหน้าท่าทางและลมปราณของเขายังอยู่ในระดับที่ดี คงไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดร้ายแรง
อีกอย่างเขาก็ดู…รับมือเรื่องพวกนี้ได้สบายๆ อยู่ด้วย
สายตาของนางกวาดมองคราบเลือดที่เปรอะเปื้อนอยู่บนเสื้อคลุมของเขาอย่างรวดเร็ววาบหนึ่ง
คราบพวกนั้นส่วนใหญ่คงไม่ใช่ของเขากระมัง
นี่ทำให้ใจที่แขวนบนเส้นด้ายของนางสงบลงได้ในที่สุด ทว่าในขณะเดียวกันนั้นเอง ก็มีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมา
ความสามารถของหรงซิวดูจะแข็งแกร่งกว่าที่นางคาดการณ์ไว้เยอะมาก!
ผู้ชายคนนี้นี่มัน…
“ฉู่เยว่!?”
ในตอนที่คนฟากนี้ล้วนตกอยู่ในความเงียบอันน่าแปลกพิกลอยู่นั่นเอง บรรดาผู้อาวุโสหลายท่านที่อยู่ไกลออกไปก็เห็นใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ได้ชัดเจนในที่สุด ทุกคนต่างก็อดไม่ได้ที่จะตื่นตกใจ
ผู้อาวุโสวั่นเจิงคือผู้ที่ตะลึงงันมากที่สุด ใบหน้าที่ต่อให้ภูเขาไท่ซานถล่มก็ไม่เปลี่ยนสีหน้า บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความตื่นตะลึง
หลังจากที่ตื่นตะลึง ก็แปรเปลี่ยนเป็นความโกรธ
“เหตุใดเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่ได้!?”
เจ้าเด็กนี่ ก่อนหน้านี้บอกไปแล้วมิใช่หรือว่าให้กลับไป?
เหตุใดถึงได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่กันได้เล่า!?
แล้วยังจะรีบรุดพุ่งเข้ามายังใจกลางที่คนกลุ่มนี้คิดโอบล้อมโจมตีคนอีก!
เขาเบื่อจะใช้ชีวิตยาวนานแล้วหรือไร!?
เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดจะเอ่ยอธิบายสักหน่อยหนึ่ง ทว่าคนโดยรอบจับจ้องมาประหนึ่งเสือจับจ้องเหยื่อ นางจึงไม่มีโอกาสได้เอ่ยปากพูดเสียที
“ฉู่เยว่หรือ?”
สายตาดำทะมึนของจินเหลยกวาดมองฉู่หลิวเยว่ตั้งแต่หัวจรดเท้าคราหนึ่ง ก่อนจะแสยะยิ้ม
“เหมือนว่าจะเป็นศิษย์ของสำนักหลิงเซียวสินะ?”
ในสมองของเขาคิดประมวลผลเร็วรี่ ตระกูลชนชั้นสูงในอาณาจักรเสิ่นซวี่ ไม่มีสกุลฉู่อยู่ในนั้น
นี่ยิ่งทำให้เขาเหิมเกริมยิ่งกว่าเดิมและไม่ได้มองฉู่หลิวเยว่อยู่ในสายตาอีกต่อไป
วันนี้ กระทั่งพระราชวังเมฆาพวกเขาก็ล่วงเกินมาแล้ว ยังต้องกลัวเศษสวะผู้หนึ่งเช่นนี้อีกหรือ?
“เจ้าหนูน้อย กล้าดีไม่เบาเลยทีเดียว!”
ฉู่หลิวเยว่กำกระบี่หลงหยวนในมือแน่น สีหน้าที่ปรากฏขึ้นมามิได้ประหม่าเลยแม้แต่น้อย
เมื่อได้ยินเช่นนั้น นางก็ทำเพียงหัวเราะออกมา
“ทุกท่านกล่าวชมกันเกินไปแล้ว”
หนังตาของจินเหลยกระตุกอย่างแรง สีหน้าเย็นยะเยียบลงในพริบตา
“ดูเหมือนว่าผู้อาวุโสในสำนักของพวกเจ้าจะไม่สั่งสอนศิษย์กันจริงๆ หรือว่าไม่เคยมีใครบอกเจ้าหรือว่าคนบางคนก็ไม่ควรยั่วโทสะด้วย!?”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ จากนั้นก็หันไปมองหรงซิวแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามออกไปอย่างจริงใจหาสิ่งใดเปรียบว่า
“ศิษย์พี่หรงซิว พวกเขาล้วนเป็นคนที่ข้าไม่ควรไปยั่วยุด้วยหรือขอรับ?”
เสียงพูดคำว่า ‘ศิษย์พี่หรงซิว’ คำนี้ สุ้มเสียงของนางทั้งใสกังวานและอ่อนโยน อีกทั้งยังลากท้ายประโยคยาวเล็กน้อย ฟังดูแล้วเหมือนมีขนนกมาสะกิดกลางใจแผ่วเบา ทำให้ใครต่อใครรู้สึกคันคะเยอขึ้นมาทันควัน
ยามสบเข้ากับนัยน์ตาขี้เล่นแลฉลาดหลักแหลมของนาง รวมไปถึงมุมปากที่เผยอขึ้นมาอย่างจงใจยุแหย่ หรงซิวก็เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย แววตาเป็นประกายเข้มขึ้น
นิสัยเช่นนี้จะอย่างใดก็ไม่เคยเปลี่ยนไปเลยจริงๆ
หากมิใช่เพราะตอนนี้ที่นี่มีคนอยู่เยอะเกินไปเช่นนี้ เขาจะ…
เขาพยายามกดยั้งความคิดของตนลงไปอย่างเงียบเชียบไม่แสดงอาการใด ก่อนที่ริมฝีปากบางจะวาดยกหยักขึ้นเป็นเส้นโค้งงดงามหมดจด
“ย่อมมิใช่”
สุ้มเสียงของเขาทุ้มต่ำและดังกังวาน ทุกคำทุกประโยคราวกับว่าเขากำลังกระซิบกระซาบอยู่ข้างหู ทำให้ผู้คนดำดิ่งไปกับมันโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าอยากจะยั่วยุอย่างใดก็ย่อมทำได้”
บทสนทนาของคนทั้งสองเจตนากำกวมคลุมเครือนัก ทว่าสิ่งที่ผู้อื่นได้ยินนั้นกลับฟังดูไม่รู้จักชั่วดี อีกทั้งฟังแล้วรู้สึกได้ถึงความยโสโอหังอย่างยิ่ง
จินเหลยราวกับว่าได้ยินเรื่องตลกก็มิปาน เขาส่งเสียง ‘ฮ่า’ ออกมาคราหนึ่ง
ก่อนที่เขาจะเงื้อขวานในมือขึ้นมาชี้ไปทางคนทั้งสองตรงๆ!
“ทุกท่าน เหลือเวลาไม่มากแล้ว”
จิตสังหารอันตรายที่ซึ่งชวนให้เย็นวาบไปทั่วแผ่นหลังพลันระเบิดออกมาจากร่างของเขา!
เมื่อผู้อาวุโสทุกท่านได้เห็นฉากนี้เข้าต่างก็ใจกระตุกอย่างรุนแรงกันถ้วนทั่ว
ผู้อาวุโสวั่นเจิงร้อนใจเสียจนอดรนทนไม่ได้ เตรียมจะรุดก้าวไปยังข้างหน้า หรงซิวพลันหันมามองทางฟากนี้แวบหนึ่ง
ดวงหน้าอันสูงส่งบริสุทธิ์มิเป็นสองรองผู้ใดของเขาคงไว้ซึ่งรอยยิ้มอยู่บางส่วน
“ผู้อาวุโสทุกท่านโปรดวางใจ”
“มีข้าอยู่ ย่อมต้องปกป้องนางอย่างเต็มที่แน่นอน”