ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1204 สมแล้วที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาปักใจ
ตอนที่ 1204 สมแล้วที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาปักใจ
หลังจากที่พูดออกไป ทั่วทั้งห้องโถงก็เงียบกริบ
มีหลายคนไม่เคยตระหนักถึงคำถามนี้มาก่อน เพราะว่าความสนใจของพวกเขาต่างวางไว้ที่อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อทั้งหมด
เมื่อได้ยินผู้อาวุโสฮวาเฟิงพูดขึ้นมาในตอนนี้ พวกเขาถึงเพิ่งนึกได้ขึ้นมา
…จริงด้วย!
นี่เป็นคำถามที่สำคัญมาก!
สำนักหลิงเซียวมีการคุ้มกันที่แน่นหนาอยู่เสมอ โดยเฉพาะวันนี้ หลังจากที่รู้ว่าสำนักปีกสุวรรณตามมาถึงฝางโจว ด้านหนึ่งสำนักได้ส่งเหล่าผู้อาวุโสหลายคนมาเพื่อเป็นกำลังเสริม ในทางกลับกันก็เพิ่มการคุ้มกันค่ายกลให้หนาแน่นมากยิ่งขึ้น
ไม่ว่าใครก็ห้ามเข้าออกค่ายกลนี้โดยพละการ
แต่ฉู่เยว่…กลับสามารถออกมาได้โดยไม่ทราบสาเหตุ
ในตอนนั้น ภายในห้องโถงต่างมองไปที่ฉู่หลิวเยว่!
สายตาของพวกเขานั้นแตกต่างกันออกไป แต่เต็มไปด้วยความสงสัย และเฝ้าติดตาม
บรรยากาศหยุดนิ่ง เหมือนกับว่าบรรยากาศโดยรอบถูกแช่แข็ง
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงหันไปจ้องหน้านาง
“ผู้อาวุโสที่คุ้มกันอยู่ในตอนนั้นต่างบอกว่าไม่พบระลอกคลื่นที่ผิดปกติเลย”
“ต้องบอกก่อนว่าศิษย์ทุกคนในสำนัก ตอนที่เข้าออกค่ายกลนี้ จำเป็นจะต้องมีการรายงานตัว”
ถ้าหากไม่รายงานตัว ในตอนที่พวกเขาผ่านค่ายกลจะมีคำเตือนปรากฏขึ้นที่ตราหยกดำของพวกเขา ทำให้หลงเหลือหลักฐานเอาไว้
แต่…ฉู่เยว่ไม่มีเลย!
ราวกับเขาสามารถปรากฏตัวด้านนอกค่ายกลได้อย่างกะทันหัน อีกทั้งยังทะลวงสิ่งกีดขวางมากมาย และพุ่งมาอยู่ที่ด้านข้างของหรงซิว!
ถ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพ เรื่องทั้งหมดนี้ก็สามารถอธิบายได้
แต่เขาอยู่ในระดับเจ็ดขั้นกลางเท่านั้น!
“ค่ายกลของสำนัก มีเพียงผู้อาวุโสที่รับผิดชอบคุ้มกันดูแลเท่านั้น ที่สามารถเปิดขึ้นโดยไม่เกิดการเคลื่อนไหวใดๆ เลย แต่ว่าเจ้า…ทำได้อย่างใด?”
ศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักมาใหม่ไม่ถึงเดือน แต่กลับมีความสามารถถึงขั้นนี้ จะไม่ให้คนสงสัยได้อย่างใด!
ร่างกายของฉู่หลิวเยว่แข็งทื่อ พร้อมหลุบตาลงต่ำ พร้อมมองไปยังพื้นด้านหน้า ภายในหัวสมองก็เริ่มคิดอย่างบ้าคลั่ง
ตอนที่นางจะออกมาในตอนแรก ในใจคิดเพียงแค่เป็นห่วงหรงซิว และไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นอันใดมากขนาดนั้น
หลังจากที่นางฟื้นขึ้นมา นางก็ได้รู้ว่า เรื่องนี้ถูกเหล่าผู้อาวุโสหยิบยกขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด
ความกังวลที่อยู่ในใจของนาง ส่วนหนึ่งก็มาจากตรงนี้
แล้วจะให้นางอธิบายอย่างใด?
หรือจะต้องบอกว่า นางเรียนรู้มาจากความทรงจำที่หายไปของตัวนางเอง?
เช่นนั้นก็ยิ่งพูดไม่ได้เข้าไปใหญ่!
ก่อนหน้านี้นางเป็นศิษย์สำนักหลิงเซียว ไม่เช่นนั้นในสมองของนางไม่มีทางมีภาพเหตุการณ์เช่นนั้นแน่นอน
แต่ทว่าแม้แต่ตัวนางเอง ก็ยังจำไม่ได้ว่าในตอนนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วนางจะอธิบายให้คนเหล่านี้ฟังอย่างชัดเจนได้อย่างใด?
ยิ่งไปกว่านั้นต้องบอกก่อนว่าศิษย์ที่เรียนรู้การเปิดค่ายกลได้นั้นมีไม่เยอะ
ตัวตนของนางจะยิ่งน่าสงสัยมากยิ่งขึ้น
ความเงียบงันเข้าปกคลุม หากมีเข็มตกทุกคนคงได้ยินอย่างชัดเจน แม้กระทั่งเสียงหายใจยังตึงเครียดขึ้นมา
แม้กระทั่งผู้อาวุโสวั่นเจิงก็ยังขมวดคิ้วแน่นเป็นปม
“ฉู่เยว่ เจ้า…นี่มันคือเรื่องอันใดกันแน่ เจ้าแค่พูดสิ่งที่เจ้ารู้ออกมาก็พอ”
ท้ายที่สุดแล้วนางก็คือศิษย์ของตนเอง หากพูดว่าไม่ลำเอียง หากพูดว่าไม่รัก ก็คงจะเป็นเรื่องโกหก
ต่อให้ตอนนี้ ศิษย์คนนี้จะดูน่าสงสัย แต่เขาก็ยังอยากจะเชื่ออีกฝ่าย
“ตราบใดที่เจ้าพูดออกมา ข้าจะเชื่อเจ้า”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป แล้วเงยหน้าขึ้น
ผู้อาวุโสวั่นเจิงนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือข้างหนึ่งจับที่เท้าแขน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งวางไว้ด้านหน้า กำหมัดกรอด
จึงสามารถเห็นความตึงเครียด และความกังวลในแววตาของเขาได้
เขามองมาในแววตาของนาง แม้ว่ามันจะดูจนปัญญาอยู่หลายส่วน แต่กลับมีความอ่อนโยน และใจกว้างมากกว่า
ทำให้หัวใจของฉู่หลิวเยว่อบอุ่นขึ้น
“วั่นเจิง เจ้าจะเชื่อเขาหรือไม่ ตอนนี้มันไม่ใช่ประเด็นหลัก”
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งผู้อาวุโสกวนเหอก็พูดขึ้นอีกครั้ง
“เมื่อครู่นี้ข้าก็พูดอยู่แล้วว่าเด็กคนนี้นั้นมีปัญหา พวกเจ้ายังไม่เชื่ออีกหรือ? หากเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับเจ็ดขั้นกลางธรรมดาจริงๆ แค่ศิษย์ธรรมดาคนหนึ่ง จะทำเรื่องเหล่านี้ได้อย่างใด!”
“วั่นเจิง แม้ว่าเขาจะเป็นศิษย์ของเจ้า แต่เจ้าก็ควรจะเช็ดตาให้สว่าง!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกำหมัดแน่นยิ่งขึ้น แต่เขาก็มองเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจ ตอนนี้ทุกคนกำลังรอคำอธิบายของนาง!
นางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ริมฝีปากแยกออกเล็กน้อย…
“ข้าเป็นคนสอนเขาเอง”
นางยังไม่ทันได้พูดอันใด แต่หรงซิวที่อยู่ด้านข้างกลับพูดขึ้นมาแทน
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้นมามองอย่างประหลาดใจ แต่กลับเห็นว่าเขากำลังเอามือไพล่หลัง สีหน้าราบเรียบ ริมฝีปากยังประดับด้วยรอยยิ้มบางๆ
คำพูดนี้ของหรงซิว ทำให้ความเงียบสงบดั่งป่าช้า เกิดความปั่นป่วนขึ้น
ผู้อาวุโสทุกท่านต่างมองหน้ากัน เห็นได้ชัดว่าเขากำลังตกตะลึงกับคำพูดนี้
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่มีใบหน้าสงบนิ่งมาโดยตลอด ในที่สุดก็แสดงสีหน้าไม่อยากจะเชื่อออกมา
“หรงซิว เจ้าพูดว่าอันใดน่ะ!? เจ้าบอกว่า…เจ้าเป็นคนสอนเขาหรือ?”
เมื่อเผชิญสายตาจากทุกคน หรงซิวก็ยังพยักหน้ายอมรับอย่างตรงไปตรงมา
“ถูกต้อง”
พรึ่บ…
หรงซิวตอบออกมาเพียงสองคำ แต่เหมือนกับเทน้ำเย็นๆ ลงในกระทะน้ำมันร้อน! ทำให้เกิดระลอกคลื่นอย่างยิ่งใหญ่!
“หรงซิว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างใด?”
ในที่สุดผู้อาวุโสกวนเหอก็ไม่สามารถยืนตัวตรงได้อีกต่อไปแล้ว เขาจ้องไปที่ทั้งสองคนตาเขม็ง
เหมือนว่าหรงซิวจะไม่สนใจเลยแม้แต่น้อยว่าคำพูดของเขานั้นจะทำให้ส่งผลกระทบต่อทุกคนอย่างมาก เขากลับยิ้มน้อยๆ แล้วพูดว่า
“ข้าสามารถเปิดค่ายกลของสำนักได้ ในจุดนี้ ผู้อาวุโสทุกท่านน่าจะรู้ใช่หรือไม่? ข้าสอนเขา เขาจึงสามารถออกจากค่ายกลได้ นี่มีอันใดน่าแปลกตรงไหน?”
มีอันใดน่าแปลกตรงไหน?
มันน่าแปลกทุกตรงนั่นแหละ!
แน่นอนว่าหรงซิวเป็นบุคคลที่อยู่ในระดับสูงของสำนัก เขาสามารถเปิดค่ายกลได้ตั้งแต่หลายปีก่อนหน้านี้แล้ว แต่ว่า…ประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ตรงนั้น!
“กวนเหอ เจ้านั่งลงก่อน ไม่ต้องตื่นเต้นขนาดนั้น”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนยกมือขึ้น
ผู้อาวุโสกวนเหอก็ได้แต่นั่งลงเพราะความโกรธ พร้อมมองทั้งสองคนนั้นด้วยแววตาลึกซึ้ง
เขาจะดูว่า ทั้งสองคนนี้จะพูดอันใดออกมาอีก!
“หรงซิว”
ท้ายที่สุดแล้วผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็มีตำแหน่งสูงสุดในที่แห่งนี้ หากเขาถามออกมา นั่นเป็นเรื่องที่เหมาะสมที่สุดแล้ว
“เจ้าสามารถทะลวงค่ายกลได้หรือไม่ นั่นเป็นเรื่องของเจ้า แต่ประเด็นสำคัญในตอนนี้ เหตุใดถึงต้องสอนให้กับฉู่เยว่ พวกเจ้าเป็นอันใดกัน? แล้วก็ สอนให้กันตั้งแต่เมื่อใด?”
เขาชะงักไป
“เจ้ากลับมาสำนักในครั้งนี้ ความจริงแล้วเพิ่งจะกินเวลาหนึ่งเดือนกว่าเท่านั้น และหลังจากนั้นไม่นานก็ติดตามผู้อาวุโสซูเฟิง และคนอื่นออกมาจากสำนัก ตามหลักการแล้ว เจ้ากับฉู่เยว่ น่าจะไม่ได้เกี่ยวข้องอันใดกันด้วยซ้ำ?”
ยกเว้นวันนั้นตอนต้นเดือนที่ทั้งสองได้เจอกัน เวลาอื่นๆ ก็เหมือนว่าจะไม่มีโอกาสได้เจอหน้ากันเลย
นอกเสียจากว่าทั้งสองคนนี้รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว!
“ฉู่เยว่…พวกเรารู้จักกันมานานมากจริงๆ”
หรงซิวไม่ได้ปฏิเสธ แต่ให้คำตอบที่คลุมเครือ
ทุกคนเงียบไปครู่หนึ่ง
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนขมวดคิ้วแน่น
“ก่อนหน้านี้เหตุใดเจ้า…”
พูดไปได้เพียงครึ่งเดียว แต่เขาก็หยุดพูดอย่างกะทันหัน
จริงสิ
วันนั้นที่หอระฆังบูรพกษัตริย์ เหมือนว่าหรงซิวจะเหลือบสายตามองไปยังฉู่เยว่อยู่หลายครั้ง
ตอนนั้นเขาไม่ได้ใส่ใจมากนัก ท้ายที่สุดในตอนนั้นฉู่เยว่ก็ได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสวั่นเจิง และเป็นจุดสนใจของทุกคน
หรงซิวมองมากขึ้นหน่อย ก็ไม่ได้ผิดอันใด
แต่ตอนนี้เมื่อเขามาคิดดูแล้ว ที่แท้…พวกเขาก็รู้จักกันมาก่อนนี่เอง!
“ก่อนที่เขาจะมาสำนัก ข้าได้เคยสอนเขาไปก่อนแล้ว เดิมทีคิดว่าเขาจะต้องใช้เวลานานกว่าจะทำเป็น แต่คิดไม่ถึงเลยว่า เขาจะสามารถเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว”
เมื่อพูดเช่นนี้ หรงซิวก็หันกลับไปยิ้มให้นางด้วยรอยยิ้มชื่นชม
“ทำได้ไม่เลวเลย”
สมแล้วที่เป็นผู้หญิงคนเดียวที่เขาปักใจ