ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1211 ชี้แจ้ง
ตอนที่ 1211 ชี้แจ้ง
เจดีย์เจ็ดชั้น เขาเฝิงหมิน
หลังจากความเงียบเข้าปกคลุมอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดเสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าเลือกแล้ว เช่นนั้นก็เข้าไปเถอะ”
หัวใจของฉู่หลิวเยว่เต้นไม่เป็นจังหวะ
คาดไม่ถึงว่าครั้งนี้นางจะไม่ต้องเลือกใหม่
นางยิ้มออกมาแล้วกล่าวขอบคุณ พร้อมเดินไปที่ประตูบานนั้น
ตอนที่มือของนางวางบนประตู คนผู้นั้นก็ถามอย่างกะทันหัน
“ครั้งนี้ เจ้าตั้งใจมาที่นี่ใช่หรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาลงต่ำเล็กน้อย ก่อนจะมีประกายแสงวาบเข้ามาในดวงตาอย่างรวดเร็ว
เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ประกายตาก็เป็นปกติแล้ว
“ผู้อาวุโสหมายความว่าอย่างใด?”
นางถามขึ้นด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเต็มไปด้วยความสับสน
เขาเงียบไปครู่หนึ่ง เสียงนั้นก็ดังขึ้นอีกครั้ง
“ไม่มีอันใด เจ้าเข้าไปเถอะ”
น้ำเสียงราบเรียบ
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า แล้วไม่ได้ถามอันใดมาก ก่อนจะผลักประตูเข้าไป
แกร๊ก
ประตูบานนั้นปิดลง
ความเงียบคืบคลานเข้ามาในห้องโถงอีกครั้ง
หลังจากเวลาผ่านไปไม่นาน เสียงต่ำคล้ายมีคล้ายไม่มี
“น่าจะเป็นเพราะแก่แล้วก็เลยเลอะเลือน…”
เรื่องนี้เป็นเรื่องบังเอิญอย่างแท้จริง หากเด็กคนนั้นมีความสามารถในการปกปิดซ้อนแผนการ มันคงจะน่าตกใจอย่างมาก
ถ้าดูจากตอนนี้แล้ว เหมือนว่าเขาจะคิดมากเกินไป
แต่ว่า ฉู่เยว่เหมือนจะมีวาสนากับคนผู้นั้นจริงๆ
ครั้งแรกคือความบังเอิญ ครั้งที่สอง คือความไม่ตั้งใจ
ถ้าเช่นนั้น…ครั้งที่สามล่ะ?
“บางทีข้าจะต้องตรวจสอบภูมิหลังของเด็กคนนี้แล้ว…”
…
เรื่องราวที่อยู่ด้านนอก ฉู่หลิวเยว่ไม่รับรู้อันใดทั้งนั้น
แต่ว่านางในตอนนี้ก็ขี้เกียจจะสนใจอันใดทั้งสิ้น
เพราะว่าตอนนี้นางตั้งใจจะอยู่ที่นี่เพื่อ…ฝึกฝนอย่างหนัก!
เมื่อหันมองเส้นที่ยุ่งเหยิงบนกำแพงทั้งสี่ด้าน แต่ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกคุ้นเคยอย่างไม่ทราบสาเหตุ
แต่เห็นได้ชัดว่านางเพิ่งมาที่นี่เป็นครั้งที่สองเท่านั้น อีกทั้งยังใช้เวลาแค่ไม่กี่วัน แต่กลับมีความรู้สึกเหมือนหายไปนาน
ฉู่หลิวเยว่สูดลมหายใจเข้าลึกๆ
พลังรอบกายของนางพวยพุ่งออกมาอย่างไร้เสียง นางมองไปรอบๆ เหมือนกับคิดถึงอย่างยิ่ง
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไปเล็กน้อย
ในตอนนั้นเองเหมือนว่ามีอันใดบางอย่างสว่างขึ้นในหัวใจของเขา
แต่ความรู้สึกนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว นางยังไม่ทันเข้าใจว่าสิ่งนั้นมันคืออันใด ความรู้สึกนั้นก็หายไปหมดแล้ว
นางสะบัดหัวไปมา เพื่อปลุกตัวเอง จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิ พร้อมเริ่มฝึกฝนในทันที
ทันทีที่นางโคจรพลังภายใน พลังที่อยู่รอบกายของนาง ก็แย่งกันพุ่งเข้าภายในร่างกายของนาง!
ลมปราณบนร่างกายของฉู่หลิวเยว่เริ่มเพิ่มขึ้นด้วยความเร็วไม่ธรรมดา!
…
“เฮ้อ…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงถอนหายใจออกมา
ในที่สุดผู้อาวุโสฮวาเฟิงที่อยู่ด้านข้างก็ไม่สามารถทนฟังต่อไปได้แล้ว จึงพูดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้ว่า
“วั่นเจิง เจ้าถอนหายใจตั้งแต่กลับมาแล้วนะ อย่าเป็นแบบนี้ได้หรือไม่? ข้าฟังแล้วรู้สึกรำคาญมาก!”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงเหลือบสายตาขึ้นมองเขาอย่างเกียจคร้าน
“เฮ้อ…เจ้าจะไปเข้าใจอันใด? คนที่ถูกคุมขังไม่ใช่ลูกศิษย์ของเจ้านี่นา”
“…วั่นเจิง ข้าจะบอกให้นะ ถ้าเจ้ายังจะพูดเช่นนี้อีก พวกเราก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องคุยกันอีกต่อไปแล้ว!” ผู้อาวุโสฮวาเฟิงทำท่าเหมือนจะจากไป
ข้าไม่อยากคุยกับคนพาลเช่นนี้แล้ว!
ในเวลาแบบนี้แล้ว ยังจะมาอวดดีกันอีก!
“จะต้องคุยกันอย่างใด แต่ฉู่เยว่ก็ถูกขังไปแล้ว หรือว่าเจ้าจะไปพูดเกลี้ยกล่อมปั๋วเหยี่ยน ให้เขายอมปล่อยเด็กไปหรือ?”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงกลับไม่เห็นด้วยกับประโยคนี้ เขาแค่นหัวเราะออกมาหนึ่งเสียง
“หนึ่งเดือน…เจ้ารู้หรือไม่ภายในเวลาหนึ่งเดือน ข้าสามารถถ่ายทอดความรู้ให้เขาได้เท่าไร!”
ต้นกล้าที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ เหตุใดต้องเสียเวลาด้วย!
“แล้วมันยังจะทำอันใดได้อีกเล่า? เรื่องมันก็มาถึงขนาดนี้แล้ว!”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงลูบเคราของเขา
“แต่ข้าคิดว่าเจ้าไม่ควรจะถอนหายใจแบบนี้อยู่ตลอด เจ้าหาหนทางอื่นที่ดีกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ? ความจริงแล้วเมื่อคิดอย่างละเอียด ในครั้งนี้เด็กคนนั้นจะต้องไม่ขาดทุนอย่างแน่นอน! อาวุธศักดิ์สิทธิ์แห่งจุนเจ๋อ…เจ้าคิดว่าทุกคนก็มีโอกาสแบบนี้งั้นหรือ?”
“จะว่าไปแล้วก็จริง!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ใบหน้าของผู้อาวุโสวั่นเจิงก็มีประกายความดีใจขึ้นมาหลายส่วน
“เดิมทีพรสวรรค์ของเขานั้นก็ดีมากอยู่แล้ว กอปรกับเรื่องนี้ ทำให้เขาเป็นเหมือนเสือติดปีก!”
“เรื่องนี้เป็นเรื่องดี แต่อย่าเพิ่งรีบดีใจไปนัก”
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงส่ายหน้า
“เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด[1] บนตัวของฉู่เยว่มีของวิเศษขนาดนั้น ยากที่จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คนบางกลุ่มอิจฉา”
เดิมทีของชิ้นนี้ ควรจะเป็นของสำนัก
ผลสุดท้ายจับพลัดจับผลู กลายเป็นของฉู่เยว่
พวกศิษย์ไม่รู้ก็ช่างไปเถอะ แต่เหล่าผู้อาวุโส…ใช่ว่าทุกคนจะเต็มใจให้เป็นเช่นนั้น
“ในตอนที่เขาถูกขังในเขาเฝิงหมิน แม้ว่าจะลำบาก แต่อย่างน้อยก็ปลอดภัย แต่รอเขาออกมา…”
สีหน้าของผู้อาวุโสฮวาเฟิงมีความกังวลปรากฏขึ้น
เมื่อได้ยินดังนั้น ผู้อาวุโสวั่นเจิงก็หัวเราะออกมาทันที
“ฮ่าๆ! วางใจเถอะ! เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา! เด็กคนนั้น…มีภูมิหลังที่ยิ่งใหญ่!”
“อ่า? เหมือนว่าภูมิหลังของเด็กคนนี้จะไม่ธรรมดา? ข้าว่าแล้ว ดูจากคำพูดและการกระทำของเด็กคนนั้น ไม่เหมือนคนที่มาจากตระกูลทั่วไป…”
“ไม่ๆ ข้าไม่รู้ภูมิหลังของตระกูลเขา” ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะแล้วส่ายหน้า ก่อนจะพูดขึ้นอย่างลึกลับว่า “ข้ารู้เพียงแค่ ต่อให้เขาก่อเรื่องใหญ่กว่านี้ แต่ชีวิตของเขาก็จะยังปกติสุข!”
มีคนคอยปกป้องเขาจนถึงที่สุด!
ผู้อาวุโสฮวาเฟิงได้ยินดังนั้นก็ชะงักไป สีหน้าของเขาเคร่งเครียดขึ้นมา
“นี่เจ้าหมายความว่า…”
ผู้อาวุโสวั่นเจิงหัวเราะคิกคัก แต่เขาก็ปฏิเสธที่จะพูดต่อ
“เรื่องนี้ข้าไม่ควรพูดออกไป แต่เจ้าต้องรู้ว่า เด็กคนนั้นที่ดูอ่อนโยน และไม่มีพิษไม่มีภัย ดูไม่มีเบื้องหลังอันใด ความจริงแล้ว…คิก แต่เบื้องหลังเขาแข็งแกร่งมาก! หากเจ้าต้องการไปหาเรื่องเขาละก็…อุ๊ปส์!”
เท่ากับรนหาที่ตาย!
…
ข่าวที่ฉู่หลิวเยว่ถูกคุมขังในเขาเฝิงหมินเป็นเวลาหนึ่งเดือน ได้แพร่กระจายไปทั่วสำนักอย่างรวดเร็ว
ทุกคนมีปฏิกิริยาตอบสนองที่แตกต่างกัน
บางคนรู้สึกเป็นห่วง บางคนรู้สึกสมน้ำหน้า
แม้กระทั่งคนที่คิดว่าชื่อนี้ไม่ควรค่าแก่การสนใจ ในตอนนี้ก็ยังต้องหันกลับมาคิดใหม่อีกครั้ง
…ศิษย์ใหม่ผู้นี้ กลับเข้าไปในเขาเฝิงหมินได้ซ้ำอีกครั้ง นั่นหมายความว่าเขานั้นไม่เหมือนใครเลยจริงๆ
หากเขาไม่มีความสามารถที่แท้จริง เขายังจะมีชีวิตรอดจากการต่อสู้ที่ดุเดือดได้อย่างใด?
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องข่าวลือที่เขาได้ช่วยหรงซิวเอาไว้
กอปรกับก่อนหน้านี้ที่เขาเคยต่อสู้ในรอบจอมยุทธ์ระดับเจ็ด แล้วสามารถเอาชนะหลิ่วจื่ออันมาได้…
ทั้งหมดทั้งมวลนี้ แสดงให้เห็นว่าศิษย์ใหม่คนนี้ มีฝีมือกว่าที่ทุกคนคาดเอาไว้!
แต่ไม่ว่าจะเป็นอย่างใด หลังจากเหตุการณ์นี้ผ่านพ้นไป ในที่สุดฉู่เยว่ก็เป็นศิษย์ที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดในสำนัก!
ชื่อ “ฉู่เยว่” นี้ เริ่มเป็นที่รู้จักของศิษย์ทุกคน และในช่วงเวลาต่อมา ก็กลายเป็นที่พูดถึงของทุกคน
…
แต่สถานการณ์เหล่านั้นก็คงอยู่ได้ไม่นาน
เพราะว่ามีสิ่งที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนเกิดขึ้นมากกว่า
…จินหมิ่นเย่า เจ้าสำนักปีกสุวรรณ มาเยือนสำนักด้วยตนเอง
ห้องโถงใหญ่ชั้นสาม หอระฆังบูรพกษัตริย์
บรรยากาศตึงเครียด
ภายในห้องโถงมีเก้าอี้สองแถวเรียงต่อกันอยู่
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนนั่งอยู่ที่เก้าอี้ตัวแรกฝั่งซ้ายมือ ผู้อาวุโสคนอื่นก็นั่งลงในตำแหน่งลดหลั่นลงมา
อีกทั้งฝ่ายตรงข้ามของเขา คุณชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างกำยำ
ใบหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยม มีหนวดสีดำ สวมชุดรัดกุมสีเข้ม นั่งแหวกขาออก บรรยากาศเต็มไปด้วยความน่าเกรงขาม!
คนผู้นั้นคือเจ้าสำนักปีกสุวรรณ จินหมิ่นเย่า!
เขาถามขึ้นด้วยใบหน้าเงียบขรึม
“เมื่อพูดเช่นนี้ สำนักของท่านไม่คิดจะชี้แจ้งเกี่ยวกับเรื่องศิษย์รักของข้าที่ตายไปหน่อยหรือ?”
[1] มาจากสำนวน ราษฎรเดิมไม่มีความผิด แต่เพราะมีหยกกับตัวจึงมีความผิด เดิมราษฎรจะเก็บหยกเป็นของส่วนตัวไม่ได้ ชาวบ้านคนหนึ่งมีหยกโดยไม่มีเหตุผล นอกเสียจากจะขโมยจี้ปล้นมา ต่อมาใช้เปรียบเทียบมีความสามารถแต่ถูกทำร้ายหรือได้รับอันตราย