ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1217 พาศิษย์น้องไปด้วย
ตอนที่ 1217 พาศิษย์น้องไปด้วย
การเปลี่ยนแปลงบนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น ดึงดูดความสนใจของศิษย์หลายคนในสำนักวิชา
ทุกคนล้วนตกตะลึงเมื่อเห็นนามของเว่ยซีผิงหายไปจากตาราง
“เกิดอันใดขึ้น? เหตุใดชื่อของศิษย์พี่เว่ยซีผิงหายไปล่ะ?”
“คนที่สามารถเปลี่ยนรายชื่อบนตารางได้ มีแค่ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเท่านั้น นี่มัน…เกิดอันใดขึ้นกันแน่?”
“หือ หรือผู้อาวุโสจะจงใจลบชื่อของศิษย์พี่เว่ยซีผิง? เช่นเดียวกับผู้ที่ได้อันดับหนึ่งในรายชื่อแขนงเซียนหมอ…”
“มันไม่เหมือนกัน ชื่อนั้นแค่ถูกเจ้าสำนักใช้วิธีการพิเศษบางอย่างปิดชื่อไว้ แต่จริงๆ แล้วมันไม่ได้หายไป แต่ครานี้…ดูสิ! รายชื่อด้านล่างทั้งหมด เลื่อนขึ้นมาหนึ่งช่องพร้อมกันเลย!”
“…หมายความว่า เว่ยซีผิงถูกผู้อาวุโสถอดชื่อออกจากการประลองชิงอวิ๋นแล้วสินะ และสาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ก็คือ เว่ยซีผิงถูกไล่ออกจากสำนักวิชา!?”
ประหนึ่งโยนหินลงในทะลจนเกิดเกลียวคลื่นนับพัน
ถึงจะไม่มีการชี้แจ้งใดๆ แต่ศิษย์เก่าหลายคนในสำนัก ก็พอจะเดาได้ว่าเกิดอันใดขึ้น
และด้วยเหตุนี้ ทุกคนจึงตกใจมากเป็นพิเศษ
ความจริงแล้ว การถูกไล่ออกจากสำนักหลิงเซียวนั้นมิใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด
หากศิษย์คนไหนไม่ผ่านการประเมินทุกต้นเดือนหลายครั้ง ก็มักจะเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้
แต่พวกเขาถูกไล่ออกเพราะไม่มีความสามารถที่จะปรับตัวให้เข้ากับการฝึกฝนและสภาพแวดล้อมในสำนักวิชา
ซึ่งต่างจากเว่ยซีผิง
สองสามปีมานี้ เขาคือศิษย์ผู้มากความสามารถและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วสำนักวิชา
เขามีชื่ออยู่บนตารางจัดอันดับชิงอวิ๋นถึงสองแขนง จากสี่แขนงทั้งหมด และรายชื่อเหล่านั้นล้วนจัดอยู่ในสิบอันดับแรกทั้งสิ้น!
คนที่มีพรสวรรค์และประสบความสำเร็จเช่นนี้ ย่อมเป็นผู้ที่โดดเด่นสะดุดตา
ดังนั้นเมื่อชื่อของเขาหายไปจากตาราง จึงทำให้ทุกคนตกอกตกใจกันยกใหญ่
ที่ด้านนอกจัตุรัส ผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนเห็นภาพนี้ และเริ่มแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
“ข้าไม่ได้เห็นเหตุการณ์เช่นนี้มานานแล้ว”
จู่ๆ ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก็โพล่งขึ้นมา
“ครั้งสุดท้ายที่เกิดเรื่องแบบนี้ ก็ตอนที่เจ้าสำนักลบชื่อของนาง”
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในตอนนั้น สร้างความเสียหายใหญ่โตมากกว่าตอนนี้เสียอีก
แต่ก็สมกับเป็นอันดับหนึ่งของการประลองชิงอวิ๋น
ทุกการกระทำของนาง ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากเป็นพิเศษ
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนถอนหายใจพรืด
“ไม่รู้ว่า…ตอนนี้นางอยู่ที่ใด และจะเป็นเยี่ยงไรบ้าง”
เสมือนว่าจู่ๆ นางก็หายตัวไป ไร้ซึ่งร่องรอยใดๆ ของนางในอาณาจักรเสิ่นซวี่
หรงซิวทอดสายตาไปยังตารางจัดอันดับชิงอวิ๋น พลางกล่าวเสียงเรียบ
“บางที…นางอาจจะปลอมตัวก็ได้”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนก้มหน้าลง เรียวนิ้วของชายชราเคลื่อนไหวอยู่เหนือตำราอย่างเชื่องช้า ราวกับต้องการพลิกหน้ากระดาษ
แต่สุดท้ายเขาก็หยุดการกระทำนั้น พลันสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วปิดตำรา
“ก็เป็นไปได้!”
เขาถอนหายใจเฮือกใหญ่
“แต่เจ้าเด็กนั่น…นางดูไม่ใช่คนที่สามารถปลอมตัวได้สักเท่าไร…”
แต่ไหนแต่ไรคนผู้นั้นถือเป็นตัวป่วนที่ชอบสร้างปัญหาอยู่ร่ำไป ครั้นลองนึกภาพนางยามสงบเสงี่ยมเจียมตัวแล้ว…ช่างรู้สึกแปลกประหลาดเสียจริง
เมื่อได้ยินสิ่งนี้ หรงซิวพลันเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย
จริงอย่างที่เขาว่า
ถึงจะเปลี่ยนรูปลักษณ์หรือสูญเสียความทรงจำ แต่พฤติกรรมของนางยังคงเหมือนเดิม
“แล้วก็ ข้ามีเรื่องอยากจะขอท่าน”
หรงซิวหันไปพูดกับเขา
“ข้าขอพาฉู่เยว่ไปด้วยกันสักพัก”
“พาเขาไปด้วยหรือ?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนตกใจนิดหน่อย
“เจ้าอยากได้เขาเป็นศิษย์น้องหรือ? แต่ช่วงนี้อาจารย์ของเจ้าไม่อยู่ เช่นนี้…”
หรงซิวกระแอมเบาๆ
“ฉู่เยว่มีอาจารย์ของตนแล้ว มิจำเป็นต้องลำบากมาเป็นศิษย์ร่วมอาจารย์กับข้าหรอก เพียงแต่เขาซุกซนและอาจสร้างปัญหาได้ง่ายๆ ฉะนั้นช่วงนี้ ข้าจึงอยากพาเขาไปด้วยและสอนกฎระเบียบของสำนักให้เขา เพื่อมิให้เกิดปัญหาเช่นนี้ขึ้นในอนาคตอีก”
“โอ้?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนหรี่ตาลงอย่างสงสัย
“เจ้าแน่ใจหรือ?”
หรงซิวนั้นเย็นชาและเกลียดคนที่ชอบสร้างปัญหามากที่สุด
แต่คราวนี้เขากลับเป็นฝ่ายเสนอตัวดูแลเด็กชายหนุ่มนามฉู่เยว่ผู้นั้นด้วยตัวเอง ช่างเป็นภาพที่หาได้ยากยิ่งนัก
ประหนึ่งพระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตก!
“หรงซิว สรุปแล้วเจ้ากับเด็กนั่นมีความสัมพันธ์กันเช่นไร? ไยจักต้องสนใจเขาถึงเพียงนี้?”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนเริ่มสงสัยใคร่รู้ พลันโพล่งถามตรงๆ
คนที่ไม่รู้อาจว่าอีกฝ่ายเป็นน้องชายร่วมสายเลือดของเขา!
ไม่สิ ด้วยอุปนิสัยของหรงซิวแล้ว เขาไม่น่าปฏิบัติเช่นนี้กับน้องชายแท้ๆ ของตัวเอง
น่าแปลกจริงๆ!
“เมื่อก่อนพวกเราค่อนข้างสนิทสนมกัน และครั้งนี้เขาก็ช่วยข้าไว้ อีกทั้ง…ถ้าไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้ข้าไปยัดเยียดเรื่องวุ่นวายสารพัดให้เขา เขาคงไม่สร้างความวุ่นวายครั้งใหญ่ให้แก่สำนักวิชาเช่นนี้ และเดิมทีก็ควรให้ข้ามาสอนเขาตั้งแต่แรก”
มุมปากทั้งสองข้างของหรงซิวยกโค้งขึ้นเล็กน้อยอย่างมีนัย
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนที่ยังจับต้นชนปลายไม่ได้ รู้สึกคันยุบยิบในใจแปลกๆ
แต่เขาก็รู้ว่าหากหรงซิวไม่อยากพูด ไม่ว่าใครหน้าไหนก็ง้างปากเขาไม่ได้
ดังนั้นเขาจึงยอมแพ้
“ในเมื่อเจ้าว่าเช่นนี้ ข้าจักแย้งอันใดได้! ไว้รอเขาออกจากเขาเฝิงหมิน ค่อยพาเขาไปเรียนกับเจ้าก็แล้วกัน”
หรงซิวพยักหน้ารับทราบ ก่อนจะชะงักไปครู่หนึ่งแล้วพูดเสริมว่า
“ที่พักของเขาอยู่ไกลจากที่พักของข้า เมื่อถึงตอนนั้น จะให้เขาเดินทางไปกลับทุกวันคงเสียเวลามากโข ทางข้ามีห้องว่างอยู่สองสามห้อง เช่นนั้น ให้เขาพักกับข้าช่วงหนึ่งก็แล้วกัน”
ผู้อาวุโสปั๋วเหยี่ยนโบกมืออย่างไม่ใส่ใจ
“แล้วแต่เจ้าเถอะ!”
อย่างใดเสียสองคนนี้ก็รู้จักกันมาตั้งนานแล้ว และหรงซิวก็เป็นคนเอ่ยปากขอดูแลเด็กคนนั้นเอง แค่อยู่ด้วยกันเหตุใดจะไม่ได้ล่ะ?
“เด็กนั่นยังมีอนาคตอีกไกล เจ้าจักต้องสอนเขาให้ดี!”
หรงซิวกดยิ้มลึก
“รับทราบ”
…
บนภูเขาเฝิงหมิน ณ หอคอยเจ็ดชั้น
ฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้วงมิติอันแปลกประหลาด
พลังแห่งสวรรค์และโลกที่อยู่รอบๆ หลั่งไหลเข้าสู่ร่างกายของนางตามจังหวะหายใจ
นางสามารถสัมผัสได้ถึงพลังปราณที่ไหลผ่านร่างกาย แขนขา และกระดูกของตนอย่างชัดเจน
พลังปราณส่วนหนึ่งซึมซาบเข้าสู่กล้ามเนื้อและกระดูกของนาง และเพิ่มพูนความแข็งแกร่งทางกายภาพของนางเงียบๆ
และส่วนที่เหลือก็ไหลไปรวมตัวกันบริเวณไข่มุกธาราในจุดตันเถียน
ลายเส้นนับไม่ถ้วนบนผนังที่ล้อมรอบฉู่หลิวเยว่ กวัดแกว่งไปมาอย่างสะเปะสะปะไร้ทิศทาง
หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีแส้เสียงทุ้มต่ำที่ฟังดูมีอายุดังขึ้นมาอีกครา
“ครบหนึ่งเดือนแล้ว เจ้าหนู ออกไปได้แล้ว!”
ทุกสิ่งรอบตัวพลันกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว!
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา
พร้อมกับประกายแสงเย็นเฉียบแล่นผ่านดวงตาของนาง!
นางบิดตัวคลายกล้ามเนื้อจนมีเสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบดังออกมา
“ที่นี่ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ…”
นางอยู่ที่นี่เพียงเดือนเดียว แต่กลับเข้าใกล้ระยะที่สามารถทะลวงขั้นพลังปราณได้อย่างรวดเร็ว
หากอิงจากการคำนวณของนางแล้ว ถึงจะมีชีพจรเทียนจิง แต่ถ้าคิดจะทะลวงจากระดับเจ็ดขั้นกลางสู่ระดับเจ็ดขั้นสูงสุด ก็ต้องใช้เวลาประมาณสามเดือนเลยทีเดียว
ทว่าความเร็วในการฝึกฝนของที่นี่ เร็วกว่าภายนอกสองถึงสามเท่า!
ถือได้ว่าครานี้นางโชคดีสุดๆ
และที่สำคัญคือ นางจำอันใดได้มากกว่าเดิม
แต่น่าเสียดายที่หลังจากนางจำสิ่งที่เกิดขึ้นในสวนยาได้ กลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ จากเจดีย์ฐานสี่เหลี่ยมสีดำอีกเลย
แต่จากนั้นนางก็จำส่วนที่เหลือไม่ได้แล้ว
หรือบางที…หากทะลวงขั้นพลังปราณได้ นางอาจจะจำอันใดได้มากกว่านี้
ฉู่หลิวเยว่รีบสลัดความคิดเหล่านั้นออกไป พลางเก็บข้าวของและเตรียมก้าวเท้าออกไปข้างนอก
ทว่าเมื่อเดินไปถึงประตู นางก็หันกลับไปมองทางเดิมอีกครั้ง
ความรู้สึกอันคุ้นเคยและถวิลหาพุ่งทะลวงเข้ามาในหัวใจอีกครา
ครั้งนี้ มันรุนแรงกว่าครั้งแรกอย่างเห็นได้ชัด
ดวงตาของนางกระตุกเบาๆ ก่อนจะหันหลังกลับไป