ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 1222 อธิบาย
ตอนที่ 1222 อธิบาย
หลังจากหลิ่วอินถงและคนอื่นๆ จากไปแล้ว พวกเขาต่างตกอยู่ในความเงียบงัน
แม้ตอนมีปากเสียงกับจัวเซิงเมื่อครู่ จะทำให้พวกเขาหัวเสียมากเพียงใด แต่พวกเขาก็รู้อยู่แก่ใจว่าถึงจะโมโหโกรธาเพียงใด แต่ในเมื่อฉู่เยว่มีหรงซิวให้ท้าย จากนี้ไป เด็กนั่นก็จะกลายเป็นศิษย์ในสำนักที่มิอาจต่อกรได้ง่ายๆ แล้ว
แต่ก่อนหน้านี้พวกเขาบังเอิญไปทำให้ฉู่เยว่ “ขุ่นเคือง” ใจเสียนี่
เมื่อเป็นเช่นนี้ แม้แต่พวกเขาเอง ก็มิอาจบอกได้ว่าจะเกิดอันใดขึ้นในอนาคต
กงเซิ่งรู้สึกหดหู่และหงุดหงิดเป็นพิเศษ
เขาเดินอยู่ข้างๆ หลิ่วอินถง และเพียงเอียงหน้ามอง เขาก็สามารถมองเห็นคิ้วเรียวที่ขมวดแน่นของนางได้
แม้สองขาจะก้าวไปข้างหน้าเรื่อยๆ แต่ดวงหน้างามกลับดูฟุ้งซ่านราวคิดไม่ตก
มีหรือที่กงเซิ่งจะไม่รู้ว่านางกำลังคิดอันใด?
แต่เพราะรู้ดีกว่าใคร เขาถึงได้ร้อนใจถึงเพียงนี้!
…เพราะเจ้านั่นคนเดียว!
หลังจากเดินไปได้สักพัก แทนที่ความโกรธในใจของกงเซิ่งจะลดลง มันกลับเพิ่มพูนขึ้นและสั่งสมเป็นเพลิงโทสะหมุนวนอยู่ในอก จนแทบจะระเบิดออกมาอยู่รำไร!
ในที่สุด เขาก็หันขวับกลับไปมองคนเหล่านั้นอย่างอดไม่ได้
“พวกเจ้าไปก่อนเลย ข้ากับอาถงมีเรื่องต้องทำนิดหน่อย”
ครั้นเห็นสีหน้าขุ่นมัวของคนทั้งสอง เหล่าเพื่อนพ้องที่ตามมาก็ไม่กล้าเอ่ยถาม และทำเพียงตอบรับแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
ไม่นานพวกเขาก็เหลือเพียงสองคนที่ยืนอยู่บนเชิงเขา
หลิ่วอินถงมองเขาด้วยสายตาแปลกๆ
“มีอันใดหรือ?”
กงเซิ่งพยายามระงับความโกรธของตนไว้
“อาถง คุณยังคิดถึงหรงซิวอยู่ใช่หรือไม่!?”
นัยน์ตาของหลิ่วอินถงฉายแววลำบากใจแวบหนึ่ง ก่อนจะมองไปอีกทาง
“ข้าไม่รู้ว่าเจ้ากำลังพูดเรื่องอันใด?”
กงเซิ่งขึ้นเสียงด้วยความหงุดหงิด
“ไม่จริงหรือ? ตั้งแต่เขากลับมาครานี้ จนถึงตอนนี้เจ้าก็เอาแต่คิดหาเรื่องคุยกับเขามิใช่หรือ? แต่น่าเสีย ต่อให้เจ้ามีใจให้เขามากเพียงใด ทว่าแม้แต่รูปลักษณ์ของเจ้าเขายังจำไม่ได้ด้วยซ้ำ! อาถง เจ้าจักทนทุกข์อยู่เช่นนี้ไปไย!”
หลิ่วอินถงหน้าบึ้งตึงขึ้นทันตา
“ข้ากำลังคิดเรื่องฉู่เยว่ต่างหาก แล้วเจ้า…”
“ฉู่เยว่หรือ? ฉู่เยว่เนี่ยนะ! ถ้าไม่เพราะจู่ๆ เขาเข้าไปข้องเกี่ยวกับหรงซิว เจ้าคงไม่คิดมากเช่นนี้หรอกกระมัง?”
กงเซิ่งรู้จักนางดีเกินไปแล้ว
แม้ว่าหรงซิวจะออกจากสำนักวิชาไปหลายปีแล้ว ทว่ารูปลักษณ์ของเขาก็ยังคงทำให้คนรอบข้างตกตะลึงได้อยู่ร่ำไป
และในหมู่คนเหล่านั้น ก็มีหลิ่วอินถงรวมอยู่ด้วย!
หลิ่วอินถงหันหลังกลับแล้วแก้ต่างให้ตัวเอง
“ข้าแค่เสียใจนิดหน่อย ตอนนั้นข้าไม่ควรรีบไปท้าทายฉู่เยว่เลย! ยามนี้เขาได้มีคนคอยหนุนหลังแล้ว เช่นนั้นข้า…”
“เจ้าเสียใจอันใด? เจ้ากลัวอันใดอยู่?”
กงเซิ่งพลันกระตุกยิ้มมุมปากอย่างประชดประชัน
“เจ้ากลัวเขาจะประจานเรื่องของเจ้าต่อหน้าหรงซิวหรือ? แต่ว่า เจ้าคิดว่าคนนิสัยอย่างหรงซิวจะสนใจเรื่องพรรค์นี้หรือ?สำหรับเขา พวกเราก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้าตามท้องถนน ไม่ว่าฉู่เยว่จักป้ายสีเจ้าให้หรงซิวฟังอย่างใด แล้วมันจะส่งผลกระทบต่อเราตรงไหน?”
หรงซิวคงไม่ตามหาเรื่องพวกเขา เพียงเพราะต้องการแก้แค้นให้ฉู่เยว่หรอก
“อีกอย่าง ถึงเจ้าจักทำดีกับฉู่เยว่ จนเขาชื่นชมเจ้าต่อหน้าหรงซิว แต่แค่นั้นจะทำให้หรงซิวหันมามองเจ้าหรือ?”
ยิ่งกงเซิ่งพูด หลิ่วอินถงก็ยิ่งหน้าบูดหน้าบึ้ง
สุดท้ายนางก็กำหมัดแน่น กายบางสั่นสะท้านด้วยความโกรธ
“แล้วก็ เจ้าอย่าลืมล่ะ ว่าหรงซิวมีฉายาแล้ว!”
เพี๊ยะ!
หลิ่วอินถงตบหน้ากงเซิ่งอย่างแรง
ใบหน้าของกงเซิ่งสีแดงช้ำและบวมเป่งอย่างรวดเร็ว
“ข้ารู้หมดแล้ว! เจ้าไม่ต้องมาสอนข้า!”
หลิ่วอินถงลั่นวาจาด้วยโทสะ ใบหน้างามเย็นชายิ่งยวด ริมฝีปากบางแห้งผากซีดเซียว พลันหมุนตัวกลับแล้วจากไปทันที
กงเซิ่งเผลอยกเท้าขึ้นและทำท่าจะวิ่งตามไป
แต่หลังจากก้าวเท้าข้างหนึ่ง ก็พลันหยุดชะงักอีกครั้ง
ดวงตาคู่คมจ้องมองร่างเงาเคลื่อนตัวออกไปไกล ร่องรอยของความเจ็บปวดแวบผ่านเข้ามาในดวงตาของเขา และสุดท้ายเขาก็เลือกเดินไปทางอื่น
…
เมื่อพวกของหลัวซือซือมาถึงยอดเขาที่หรงซิวพักอาศัย พวกเขาก็เห็นผู้คนมากมาย รวมตัวกันอยู่ที่บริเวณด้านนอกของยอดเขาจิ่วเหิง
ทุกคนมองไปที่ยอดเขาจิ่วเหิง ด้วยสีหน้าตกใจและสับสน เห็นได้ชัดว่าหลังจากได้ยินข่าวลือ พวกเขาคงรุดหน้ามาที่นี่เป็นแน่
พลันมีแส้เสียงสนทนากันในฝูงชน
“เขาบอกว่าศิษย์พี่หรงซิวจักดูแลฉู่เยว่เป็นการส่วนตัว เจ้าว่าจริงหรือไม่?”
“ก็ต้องจริงอยู่แล้วสิ! ครู่ก่อนพวกเขากลับมาที่ยอดเขาจิ่วเหิงด้วยกัน หลายคนต่างก็เห็นภาพนั้น! และเหมือนว่าหลังจากนี้ ฉู่เยว่จะพักอยู่กับศิษย์พี่หรงซิวอีกนานเลยล่ะ!”
“ห๊า…ไหนเขาว่าศิษย์พี่หรงซิวชอบปลีกวิเวกอยู่คนเดียวมิใช่หรือ? มีหลายคนต้องการใกล้ชิดเขา แต่กลับทำได้ยากยิ่งแต่แล้วเหตุใดวันนี้เขาถึงยอมพาน้องใหม่คนนั้นมาอยู่ด้วยกันล่ะ?”
“ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ฉู่เยว่เคยช่วยศิษย์หรงซิวให้รอดจากการถูกลอบโจมตี ซึ่งถือเป็นหนี้บุญคุณอย่างหนึ่ง ไม่แน่ว่า…อาจเป็นเพราะสิ่งนี้ก็ได้?”
“จุ๊ จุ๊ ศิษย์พี่หรงซิวเป็นถึงพระโอรสแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์ เพียงสั่งการ ก็มีคนพร้อมพุ่งตัวเข้ามาตายแทนเขาแล้ว คิดว่าเขาจะยึดกับเรื่องบุญคุณจิ๊บจ๊อยเช่นนั้นหรือ? แต่ที่ข้าได้ยินมาน่ะ ได้ความว่า…เดิมทีฉู่เยว่ผู้นั้น เป็นคนรู้จักของศิษย์พี่หรงซิว!”
“ห๊า? จริงหรือ!? ไม่เห็นจะเคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อนเลย? ข้าก็นึกว่าฉู่เยว่ผู้นั้นจักเป็นคนธรรมดาสามัญเสียอีก!”
“เหอะ คนธรรมดาจักครอบครองอสูรศักดิ์สิทธิ์อย่างกษายะหางวายุได้เยี่ยงไร? คนธรรมดาจักใช้พลังของจอมยุทธ์ระดับเจ็ดโค่นล้มจอมยุทธ์ระดับแปดได้หรือ? ดูจากทัศนคติของศิษย์พี่หรงซิวแล้วไม่ยากเลย พวกเขาไม่ได้เพิ่งมารู้จักกันแน่นอน!”
ทุกคนต่างพูดคุยและคาดเดาต่างๆ นาๆ
หลัวซือซือและจัวเซิงหันมองหน้ากัน
แม้พวกเขาจะค่อนข้างคุ้นเคยกับฉู่เยว่ แต่ความจริงแล้วพวกเขาไม่รู้อันใดเลยเกี่ยวกับภูมิหลังของฉู่เยว่เลย
“ดูๆ แล้ว หลังจากนี้ข้าคงต้องถามเจ้าเด็กนั่นเสียแล้ว…”
จัวเซิงลูบปลายคางของตนอย่างครุ่นคิด
“ถ้าเขามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับศิษย์พี่หรงซิวจริงๆ เช่นนั้นเขาก็วางตัวนอบน้อมมาตลอดเลยหรือ?”
ถ้าเป็นคนอื่น เกรงว่าเขาคงอดใจไม่ไหวและป่าวประกาศออกไปตั้งแต่วันแรกที่เข้ามาในสำนักวิชาแล้ว!
หลัวซือซือคิดไตร่ตรองให้ดี
บนตัวของฉู่เยว่มีรัศมีอันสูงศักดิ์ห้อมล้อมอยู่ ตั้งแต่คราแรกที่เห็น นางก็รู้ได้ทันทีว่าเขาต้องมีภูมิหลังที่ไม่ธรรมดาแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมีความเกี่ยวข้องกับศิษย์พี่หรงซิวเช่นนี้
ถึงคนอื่นจะยังคาดเดาไปต่างๆ นาๆ แต่นางมั่นใจในความคิดของตนมาก
เพราะทั้งศิษย์พี่หรงซิวและฉู่เยว่ มิใช่คนประเภทที่จะทำสิ่งนี้กับคนแปลกหน้า
พวกเขาต้องรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ!
อีกทั้งยัง…เป็นไปได้ว่าพวกเขาจะมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกว่าที่เห็นด้วย!
ส่วนเจียงจื่อหยวน ผู้ที่อ้างว่าเป็นคู่รักในวัยเด็กกับศิษย์พี่หรงซิว และยังมีข่าวลือว่านางจักได้เป็นพระชายาแห่งพระราชวังเมฆาสวรรค์นั้น
ศิษย์พี่หรงซิวจะคิดอย่างใดกับนาง?
จากสิ่งที่เห็นตอนนี้ ก็ชัดเจนแล้วว่าศิษย์พี่หรงซิวมิได้สนใจนางเลยสักนิด
แต่ฉู่เยว่นั้นต่างออกไป
หรงซิวยินดีสละความเป็นส่วนตัว และลงทุนลงแรงชี้แนะเขาโดยเฉพาะ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นว่าความสัมพันธ์ของเขากับฉู่เยว่นั้น ดีกว่าเจียงจื่อหยวนมากจนมิอาจเทียบได้!
แต่ทว่า ตัวตนของฉู่เยว่เป็นใครกันแน่ ถึงได้รับการปฏิบัติอย่างดีจากศิษย์พี่หรงซิวเช่นนี้?
น่าเสียดายที่คนนอกไม่สามารถเข้าไปในภูเขาจิ่วเหิงได้ตามต้องการ และพวกเขาไม่มีทางรู้ได้ว่าสถานการณ์ภายในเป็นอย่างใด
แต่จู่ๆ ก็มีใครบางคนเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า
“ศิษย์พี่หรงซิวกับฉู่เยว่เข้าไปข้างในได้สักพักแล้ว เหตุใดพวกเขายังไม่ออกมาอีกล่ะ?”
…
เสียงเซ็งแซ่ที่ดังขึ้นด้านนอกค่ายกล ถูกความเงียบภายในปกคลุมจนรู้สึกราวตัดขาดจากโลกภายนอก
ด้านในห้อง หรงซิวกับฉู่หลิวเยว่กำลังนั่งประจันหน้ากัน
ฉู่หลิวเยว่กล่าวว่า
“ข้ายอมมากับเจ้าแล้ว ตอนนี้ถึงคราวเจ้าอธิบายได้หรือยัง?”