ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 127 เผชิญอันตราย
ตอนที่ 127 เผชิญอันตราย
ดวงตาของฉู่หลิวเยว่ดำดิ่ง ชักกระบี่คู่กายออกมาแล้วแทงไปข้างหน้า!
พรวด!
กระบี่คมยาวแทงคอของอาชาขี้เถ้าด้วยความแม่นยำที่ยอดเยี่ยม!
อาชาขี้เถ้าส่งเสียงร้องอย่างเจ็บปวด ดวงตาของมันคลุ้มคลั่งกว่าเดิม มันดิ้นทุรนทุรายแต่ก็ยังคงโจมตีฉู่หลิวเยว่อย่างสิ้นหวัง!
ฉู่หลิวเยว่พลิกข้อมือด้วยสีหน้าเย็นชา
นางฟันกระบี่ยาวในแนวนอนจึงทำให้ตัดคออาชาขี้เถ้าขาดสะบั้นทันที
พรวด!
หัวอาชาขนาดใหญ่หล่นลงกับพื้นจนเกิดเสียงดังกึกก้อง
บาดแผลบริเวณคอที่ถูกฉู่หลิวเยว่ตัดขาดยังคงมีเลือดไหลพุ่งออกมา กระนั้นสัตว์อสูรยังคงจ้องตาเขม็ง มันกระตุกอีกสองครั้ง ในไม่ช้าก็สิ้นลมหายใจ
ฉู่หลิวเยว่เก็บกระบี่แล้วเหลือบมองศพมันครู่หนึ่งแล้วครุ่นคิดกับตัวเอง
นางไม่รู้จักอาชาขี้เถ้า และนางก็ไม่ได้ทำอะไรเกินกว่าเหตุ แต่เหตุใดถึงดึงดูดมันมาแถวนี้ได้
มู่หงอวี๋และคนอื่นๆ ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่พวกเขาจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“หลิว…หลิวเยว่…เจ้า…เจ้าเคลื่อนไหวรวดเร็วเกินไปแล้ว”
มู่หงอวี๋พูดด้วยสีหน้าเหม่อลอย
พวกเขาที่เหลือยังไม่สามารถช้อมโจมตีอาชาขี้เถ้าตัวนี้ได้เลย แต่ทว่าฉู่หลิวกลับฆ่ามันตายด้วยกระบี่เพียงเล่มเดียว
ต้องใช้พลังความสามารถขนาดไหน
“โอ้! วันนั้นที่เจ้าต่อสู้กับฉู่เซียนหมิ่น เจ้าออมมือให้นางใช่หรือไม่”
เฉินหู่ที่ล้มลงกับพื้นในที่สุดก็ลุกขึ้น แต่เขาไม่สนใจเลือดบนใบหน้าของเขา เขาแค่จ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ด้วยดวงตาเบิกกว้างและหัวใจของเขาก็เต็มไปด้วยความไม่เชื่อ
เมื่อครู่นี้เขาได้เผชิญหน้ากับอาชาขี้เถ้าตัวต่อตัว และเขาได้เรียนรู้ถึงความแข็งแกร่งของมันแล้ว
แม้ว่ามันจะแข็งแกร่งเท่าเขา แต่เขาก็จะต้องทนทุกข์ทรมานภายใต้กีบเท้าของอาชาขี้เถ้า หากมู่หงอวี๋และคนอื่นไม่ได้มาช่วยทีหลัง เขาอาจจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของมันจริงๆ
แต่ฉู่หลิวเยว่…กลับฆ่ามันตายอย่างง่ายดาย
ฉู่หลิวเยว่ละทิ้งความคิดของนาง เงยหน้าขึ้นมองพวกเขาและยักไหล่
“มันจะฆ่าข้า ข้าไม่จำเป็นต้องเมตตาอยู่แล้ว ส่วนเรื่องสอบกลางภาค…อาจารย์บอกแล้วมิใช่หรือว่าให้สอบพอเป็นพิธี”
เฉินหู่จ้องนางที่พูดราวกับเป็นเรื่องดินฟ้าอากาศ ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะสบถหยาบคายด้วยเสียงต่ำ
ฉู่หลิวเยว่เชิดคาง
“หยวนตันของมัน เจ้ารับไปสิ”
เฉินหู่ยิ่งถลึงตาโต
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร เจ้าดูถูกข้าหรือ เจ้าเป็นคนฆ่าอาชาขี้เถ้าตัวนี้ หยวนตันก็ต้องตกเป็นของเจ้าอยู่แล้ว ข้าเฉินหู่ไม่คนโลภโมโทสัน”
ฉู่หลิวเยว่ขมวดคิ้วมุ่น
เฉินหู่คนนี้มีอุปนิสัยตรงเกินไปแล้ว
“เจ้าถูกมันทำร้ายจนบาดเจ็บ หากไม่รักษาดีๆ เจ้าก็จะไม่หายภายในครึ่งเดือน ใช้หยวนตันของมันรักษาบาดแผล อาการจะได้ดีขึ้นไวๆ”
เมื่อคำพูดนี้ออกไปทุกคนต่างก็ตกตะลึง
เฉินหู่ขยับกายเล็กน้อย แล้วเอ่ยถามด้วยความสงสัย
“จริงหรือ เจ้ารู้เรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
ฉู่หลิวเยว่ขีเกียจสนใจ นางจึงหันหลังเดินหน้าต่อไป
“แค่หยวนตันของสัตว์อสูรระดับสามเอง เจ้าไม่เอาก็แล้วไป แต่ถ้าเรื่องนี้ส่งผลต่อกลุ่มของเรา อย่าหาว่าข้าไม่เตือนเจ้าก่อนก็แล้วกัน”
มู่หงอวี๋ตบบ่าเขาแรงๆ ด้วยความสะใจ
“เจ้าไม่ได้ยินที่หลิวเยว่พูดหรือ ยังไม่รีบไปอีก!”
เฉินหู่ถูกตบจนเซถลา เขาไม่โกรธเลยสักนิด แต่กลับหัวเราะร่าขึ้นมาแทน
“ถ้า…ถ้าอย่างนั้นข้าไปหยิบหยวนตันก่อนนะ ต่อไปหากเจอสัตว์อสูรตัวอื่นอีก ข้าจะรีบไปช่วยพวกเจ้าแน่นอน”
เมื่อพูดจบ เขาก็เดินไปที่ศพอาชาขี้เถ้าแล้วใช้มีดผ่าออก และหยิบหยวนตันสีเทาขนาดเท่าเม็ดลำไยออกจากหัวของอาชาขี้เถ้า
เห็นได้ว่ามีสัญลักษณ์สามขีดปรากฏอยู่บนหยวนตันของมัน
เฉินหู่เช็ดคราบเลือดจนสะอาดแล้วกลืนเข้าปากลงไป
กระแสน้ำอุ่นไหลผ่านปอดของเขา และความเจ็บปวดที่บีบหัวใจตอนนี้ก็บรรเทาลงอย่างมาก
ดวงตาของเฉินหู่เป็นประกายขึ้นมา
“มันใช้รักษาได้จริงๆ ดั่งว่า!”
ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้หันกลับมา เพียงแต่เอ่ยเสียงเรียบว่า
“หยวนตันของสัตว์อสูรมีพิษแฝงอยู่ แม้แต่อาชาขี้เถ้าก็ไม่มีข้อยกเว้น หลังจากนั้น ทุกๆ ครึ่งชั่วโมง เจ้าต้องเปิดนิ้วโป้งเพื่อให้เลือดไหล ทำแบบนี้สามครั้งจะช่วยขจัดพิษของหยวนตันออกโดยธรรมชาติ เดิมทีใช้ใบซานชิงจะรักษาได้ผลดีกว่า แต่ดูเหมือนว่าแถวนี้จะไม่มีสักต้น ดังนั้น ลองใช้วิธีที่โง่เขลานี้ไปก่อน”
น้ำเสียงของนางฟังดูนุ่มนวลราวกับว่ามันเป็นเพียงเรื่องเล็กน้อย
เมื่อมู่หงอวี๋และคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็ตกตะลึงอ้าปากค้าง
ฉู่หลิวเยว่เดินต่อไปอีกสองสามก้าวและพบว่าข้างหลังตนเองไร้การเคลื่อนไหวใดๆ ในที่สุดนางก็หันหลังกลับ ก็เห็นสายตาของพวกเขาที่มองนางแปลกๆ
“…มีอะไรหรือ”
“หลิวเยว่ ทำไมเจ้าถึงมีความรู้มากขนาดนี้” มู่หงอวี๋เอ่ยถามอย่างลังเล
ทันใดนั้นกู้หมิงเฟิงที่เงียบมาโดยตลอดก็เปิดปากพูด
“พวกเจ้าลืมแล้วหรือว่าตอนแรกนางสอบเข้าสำนักผ่านทั้งสามวิชา”
ซึ่งหนึ่งในนั้นรวมถึงหมอเทวดาด้วย!
อันที่จริงไม่สามารถตำหนิมู่หงอวี๋ที่จำไม่ได้ เพราะวันนั้นที่ฉู่หลิวเยว่สอบเข้าสำนัก นางได้เข้าร่วมสอบแข่งขันผู้ฝึกยุทธ์และปรมาจารย์เพียงสองวิชา อีกอย่างการที่นางสอบผู้ฝึกยุทธ์ได้ที่หนึ่ง และสอบปรมาจารย์ได้ที่สองนั้นเป็นที่ประจักษ์แก่สายตามากเกินไป จนทำให้หลายคนลืมเรื่องหมอเทวดาไปเสียสนิท
เมื่อกู้หมิงเฟิงเอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมา พวกเขาจึงได้สติ
“โอ้! ข้าลืมไปแล้วจริงๆ!”
เฉินหู่ตบหน้าผากแล้วยกนิ้วโป้งให้กับเจียงหลี
“ยอม! ฉู่หลิวเยว่ ข้าเฉินหู่ขอศิโรราบแก่เจ้า!”
ฉู่หลิวเยว่เลิดคิ้วเล็กน้อย
“ข้าก็แค่รู้นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เก่งอะไร พวกเราเดินหน้าต่อเถอะ”
“ได้!”
มู่หงอวี๋และคนอื่นๆ ตอบรับพร้อมเพรียงกัน
เดิมทีหัวหน้ากลุ่มของพวกเขาคือมู่หงอวี๋ แต่ไม่รู้ว่าพวกเขายกย่องให้ฉู่หลิวเยว่เป็นหัวเรือใหญ่ของกลุ่มตั้งแต่เมื่อไหร่
ดูเหมือนว่าตราบใดที่นางยืนอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็เกิดความมั่นใจอย่างอธิบายไม่ถูก
กู้หมิงเฟิงที่เดินรั้งท้ายหรี่ตามอง
ฉู่หลิวเยว่…เจ้ารู้แค่นิดๆ หน่อยๆ อย่างที่บอกจริงหรือ
อาชาขี้เถ้าไม่ถือว่าเป็นสัตว์หายาก คนทั่วไปที่เคยเห็นมัน แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเข้าใจอะไรเป็นอะไร
แต่ฉู่หลิวเยว่รู้แม้กระทั่งเรื่องพิษในหยวนตันของอาชาขี้เถ้า…
คงจะไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกกระมัง
…
ท้องฟ้าท่ามกลางผืนป่ามักจะมืดเร็วเสมอ
ตะวันลับฟ้า ราตรีคล้อย พระจันทร์สว่างไสวลอยเด่นอยู่เหนือนภา
“คืนนี้เราพักกันที่นี่ดีหรือไม่”
เมื่อมาถึงที่โล่งกว้างแห่งหนึ่ง มู่หงอวี๋จึงเสนอความคิดเห็น
แต่จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่ก็ดึงแขนนางเอาไว้
“ช้าก่อน”
มู่หงอวี๋มองนางด้วยความแปลกใจ แต่กลับเห็นสีหน้าระแวดระวังของฉู่หลิวเยว่ที่ขมวดคิ้วเป็นปม ราวกับกำลังประหม่า
นางจึงอดประหม่าตามไปด้วยไม่ได้
“มีสิ่งใดหรือ”
หลังจากเหตุการณ์เมื่อตอนกลางวันมา ยามนี้นางจึงเชื่อมั่นในตัวฉู่หลิวเยว่มากที่สุด
หากฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ ดังนั้นมันต้องผิดปกติจริงแน่นอน!
ฉู่หลิวเยว่เม้มริมฝีปาก ไม่พูดอะไร แต่กลับมีเหงื่อผุดขึ้นเต็มหน้าผาก
“ตกลงมีอะ…”
มู่หงอวี๋พูดได้เพียงครึ่งประโยคก็ต้องหยุดชะงัก
ดวงตาสีเขียวแวววาวเย็นเยียบคู่หนึ่ง ราวกับไฟผีสองดวงปรากฏขึ้นในความมืด!
“มี…หมาป่าตัวหนึ่ง!?”
ฉู่หลิวเยว่กลั้นหายใจ
“ไม่ใช่แค่ตัวเดียว”
พวกเขาหันไปมองพร้อมกัน ก็เห็นว่าถัดจากดวงตาสีเขียวคู่แรกแล้วยังมีที่สองและคู่ที่สามก็ปรากฏขึ้นทีละคู่ๆ!
ในไม่ช้าพวกเขาก็ถูกห้อมล้อมด้วยดวงตาที่เย็นยะเยือกราวกับผี!
กระหาย เลือดเย็น และอำมหิต!
ท่ามกลางผืนป่าเงียบสงัด มีเพียงเจตนาฆ่านับไม่ถ้วนเท่านั้นที่แผ่ออกมาอย่างบ้าคลั่ง!
ฉู่หลิงเยว่หลับตาแนบสนิท
“…แต่มันคือฝูงหมาป่า!”