ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 140 นาคาปีกทมิฬกลืนเวหา
ตอนที่ 140 นาคาปีกทมิฬกลืนเวหา
มันมีลักษณะคล้ายงูเหลือมขนาดมหึมาที่มีเลือดแดงสดไหลเวียนทั่วร่างกาย เกล็ดบนร่างกายของมันส่องประกายด้วยแสงสีเลือดเย็นยะเยือกภายใต้แสงตะวันโชติช่วง
ปีกกระดูกสีดำที่ด้านหลังสยายออกเกือบปกคลุมทั่วผืนฟ้า!
พลังปราณที่ทรงพลังและน่าสะพรึงกลัวจนทำให้คนแทบจะหายใจไม่ออก!
เมื่อเห็นฉากนี้ ทุกคนต่างตกตะลึงไปชั่วขณะ
ไป๋เชินเบิกตาโต เขาเกือบคิดว่าตนเองตาฝาดไป
“นั่นมัน…สัตว์อสูรระดับเจ็ด นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาใช่หรือไม่!”
เมื่อได้ยินดังนั้น ซือถิงและคนอื่นต่างมีสีหน้าตื่นตระหนก สัตว์อสูรระดับเจ็ด! คือสัตว์อสูรที่ยิ่งใหญ่ในตำนานใช่หรือไม่!
“เร็ว! รีบหนีไป!”
ริมฝีปากของเหวินเยี่ยนพลันซีดขาว เขาได้สติและตะโกนเสียงดังทันที
“แจ้งทุกคนในสำนักเทียนลู่ให้อพยพออกจากบรรพตวั่นหลิงว่านหลิงเดี๋ยวนี้!”
…
โฮกก!
ทันทีที่นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาปรากฏตัว เหล่าสัตว์อสูรทุกตัวในบรรพตวั่นหลิงก็พากันส่งเสียงร้องคำรามดังก้องสะท้านฟ้า!
นั่นคือพวกมันกำลังแสดงความยอมศิโรราบ!
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหากระพือปีกสั่นสะเทือน เงาร่างวูบไหวของมันก็บินโฉบไปยังภูเขาลูกนั้นที่ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นอยู่อย่างรวดเร็ว!
เหล่าสัตว์อสูรต่างยินดีต้อนรับ
ระดับของสัตว์อสูรนั้นมีความเข้มงวด และในฐานะสัตว์อสูรระดับเจ็ด ดังนั้นนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาจึงอยู่ในระดับสูงสุดของที่นี่เป็นธรรมดา!
แท้จริงที่นี่คืออาณาเขตของมันต่างหาก
มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เพียงไม่กี่อึดใจมันก็มาถึงด้านหน้าภูเขาลูกนั้นแล้ว
ในรูม่านตาแนวตั้งสีเขียวเย็นยะเยือกฉายแววอาฆาตอำมหิต!
ทันใดนั้นก็มีเสียงแปลก ๆ ออกมาจากคอของมัน!
สัตว์อสูรที่มารวมตัวกันบริเวณเชิงเขาส่งเสียงกู้ก้องสะท้อนออกมาพร้อมกัน!
หลังจากนั้นพวกมันก็มุ่งหน้าขึ้นเขาทันที!
…
มันหายไปไหน
นั่นคือสิ่งที่ประมุขตระกูลมอบของขวัญพิเศษให้นางด้วยความเป็นห่วงเกรงว่านางจะเผชิญกับภัยอันตราย
นางเคยลังเลที่จะใช้มันเมื่อตอนที่นางถูกหมีแผงคอสีทองไล่ตาม แต่นางรู้ดีว่าตอนนี้หากไม่เอามาใช้คงไม่ได้การแล้ว
แต่…เหตุใดถึงหาไม่เจอ
กู้หมิงจูสำรวจร่างกายของนางอีกครั้ง ทว่าไม่พบสิ่งใด นางจึงเริ่มกระวนกระวายขึ้นมา
หากไม่มีของชิ้นนั้น นางจะออกไปจากที่นี่ได้อย่างปลอดภัยเยี่ยงไร
นางเงยหน้ามองสัตว์อสูรเหนือเวหาตัวนั้นอย่างอดมิได้
แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ามันคือตัวอะไร แต่นางก็สามารถมั่นใจได้ว่ามันต้องเป็นสัตว์อสูรระดับสูงที่อันตรายอย่างยิ่ง!
แล้วตอนนี้ดูเหมือนมันกำลังจะลงมือสังหารแล้ว!
นางจะทำเช่นไรดี!
กู้หมิงจูร้อนรนหัวใจเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง สีหน้าซีดเผือด และรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั่วสรรพางค์กาย
ตู้ม ต้าม!
ในขณะที่นางกำลังกังวลอยู่นั้น ก็มีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น
น้องหันไปมองด้วยความตกใจ แล้วก็เห็นว่าสัตว์อสูรที่เคยอยู่เชิงเขาด้านล่าง กำลังยกโขยงขึ้นมาบนยอดเขาอย่างกะทันหัน
เพราะสัตว์อสูรจำนวนมากยกโขยงขึ้นมาพร้อมกัน แทบทำให้หินที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของนางสั่นสะเทือน!
ความกลัวในจิตใจของนางทวีคูณขึ้นเรื่อยๆ นางวิ่งหนีสะเปะสะปะอย่างไม่รู้ทิศทาง
…
ขณะเดียวกัน ฉู่หลิวเยว่และพวกพ้องที่กำลังเริ่มค้นหาทางออกก็รับรู้ถึงคลื่นความเคลื่อนไหวอันทรงพลังแกร่งกล้า
มีก้อนหินตกลงมาจากกำแพงถ้ำหลายก้อน
มู่หงอวี๋ตกใจ
“อะไรน่ะ ข้างนอกมีอะไรเกิดขึ้น”
“ดูเหมือนจะมีคนโจมตี…ไม่สิ! น่าจะเป็นสัตว์อสูรพวกนั้นมากกว่า!” เฉินหู่นึกขึ้นได้ในทันที
นอกจากพวกมันแล้ว ยังจะเป็นใครไปได้อีก
“พวกมันโจมตีภูเขาลูกนี้เพื่ออะไร หรือต้องการบีบให้เราออกไป” มู่หงอวี๋นิ่วหน้า “ตกลงพวกมันพุ่งเป้าหมายมาที่เราด้วยเหตุใดกันแน่”
ฉู่หลิวเยว่หลุบตาต่ำเล็กน้อย
เมื่อกู้หมิงเฟิงเห็นการแสดงออกทางสีหน้าของนางแล้วก็ต้องหรี่ตา
“เราจะเดินหน้าต่อไปหรือไม่”
ทุกคนหันไม่มองฉู่หลิวเยว่พร้อมกัน
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ว่าจะรออยู่ที่นี่ต่อไปหรือหาทางออกอื่น ดูเหมือนแทบจะไม่มีความหมายใดๆ
หรือบางทีพวกเขาอาจจะไม่มีเวลาเหลือแล้วก็ได้
สัตว์อสูรเหล่านั้นออกไล่ล่าอย่างบ้าคลั่ง พวกอยู่ที่นี่ก็มีแค่ทางตันทางเดียวเท่านั้น!
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิดครู่หนึ่ง ในที่สุดก็พูดว่า
“พวกเจ้าหาทางต่อไป ส่วนข้าจะกลับไป”
“อะไรนะ”
มู่หงอวี๋ตกใจสุดขีด แล้วรั้งนางเอาไว้
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ! กลับไปตอนนี้ก็เท่ากับว่าส่งตัวเองไปตายมิใช่หรือ!”
“ภูเขาทั้งลูกถูกล้อมปิดกั้นไว้ ต่อให้ไม่ออกไปก็หนีไม่พ้นอยู่ดี ถ้าข้าย้อนออกไปสามารถถ่วงเวลาได้อีกครู่หนึ่ง ส่วนพวกเจ้าถือโอกาสนี้เดินหน้าต่อไป ฝ่าทางออกใหม่ เมื่อออกไปจากได้ก็น่าจะปลอดภัยกว่า”
ขณะที่ฉู่หลิวพูด นางก็หยิบบางอย่างออกมาจากแขนเสื้อตนเอง
มันเป็นแผ่นผลึกแก้วใสสีดำขนาดเท่าฝ่ามือที่มีลวดลายสลักอยู่บนนั้นมันดูลึกลับมากมันมาพร้อมกับพลังอันน่าเกรงขาม
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ดวงตาของกู้หมิงเฟิงก็เปล่งประกายด้วยความตกใจ จากนั้นจึงมองหน้าฉู่หลิวเยว่ทันที
“นี่มัน…ค่ายกลนิลกาฬใช่หรือไม่!”
มู่หงอวี๋อุทานออกมาเมื่อรู้ว่ามันคือสิ่งใด
“เจ้ามีของสิ่งนี้ได้อย่างไร”
สิ่งที่เรียกว่าค่ายกลนิลกาฬ ก็คือผลึกแก้วใสสีดำที่แกะสลักค่ายกลเอาไว้ข้างบนเพื่อผนึกพลังของค่ายกลเอาไว้ในนั้น
สิ่งนี้ล้ำค่าอย่างยิ่ง เพราะแม้แต่ปรมาจารย์ระดับต่ำก็สามารถใช้พลังอันน้อยนิดเปิดผนึกค่ายกลบนนั้นแล้วแสดงค่ายกลระดับที่สูงกว่าขั้นบำเพ็ญของตนออกมาได้
และพลังโจมตีก็แข็งแกร่งขึ้นเป็นธรรมดา
ทว่าค่ายกลนิลกาฬนี้แกะสลักยาก ต่อให้เป็นเจ้าขุนมูลนายหรือเชื้อพระวงศ์ก็พบเจอไม่บ่อยนัก
ฉู่หลิวเยว่ส่ายหน้า
“นี่ไม่ใช่ของข้า แต่เป็นของกู้หมิงจูต่างหาก”
“กู้…”
มู่หงอวี๋กลืนคำพูดลงคอ นางนึกขึ้นได้ในทันที
“เจ้า ขะ…ขโมยมาหรือ ตั้งแต่เมื่อใด”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้นอย่างไม่ยี่หระ
“นั่นไม่สำคัญ นางติดหนี้เราตั้งหลายครั้ง นี่ถือเสียว่าเก็บดอกเบี้ยมาจากนางก็แล้วกัน”
เฉินฮู่ยกยิ้วให้อย่างสรรเสริญเยินยอ
“ข้าว่าแล้ว ทำไมเจ้าถึงปล่อยนางไปง่ายๆ เช่นนั้น ข้ายังแอบบ่นในใจว่าเจ้าเสียเปรียบนางอยู่เลย ที่แท้เจ้าก็ตัดไฟแต่ต้นลมเอง มิน่าล่ะตอนที่กู้หมิงจูหัวเด็ดตีนขาดอย่างไรก็ไม่มากับพวกเรา ที่เชิงเขามีสัตว์อสูรมากมายขนาดนั้น เจ้ายังกล้าทิ้งนางไว้ข้างนอก ที่นางคิดหนีเอาตัวรอดคนเดียว เพราะว่ามีไพ่ใบสุดท้ายชิ้นนี้นี่เอง!”
“ข้างบนสลักค่ายกลระดับห้าเอาไว้ มีพลังนุภาพมหาศาล มันจะช่วยพวกเจ้าได้ไม่น้อย”
หลังจากที่ฉู่หลิวเยว่พูดจบ นางก็มอบค่ายกลนิลกาฬให้กับกู้หมิงเฟิง
“ข้าเบิกค่ายกลข้างบนไว้คร่าวๆ แล้ว เพียงแค่เจ้าถ่ายเทพลังเข้าไปอีกก็จะสามารถเปิดใช้งานได้อย่างเต็มที่ ข้าขอฝากหงอวี๋และเฉินหู่ไว้กับเจ้าด้วย”
กู้หมิงเฟิงตกตะลึงครู่หนึ่ง เขาคิดไม่ถึงว่าฉู่หลิวเยว่จะเอ่ยถ้อยคำเยี่ยงนี้
ฝากสองคนนั้นไว้กับเขา…นางเชื่อใจเขาอย่างนั้นหรือ
เมื่อเห็นว่ากู้หมิงเฟิงมีความสงสัย ฉู่หลิวเยว่ยกยิ้มมุมปาก ก่อนจะจ้องเขาแน่นิ่ง
“แล้วเจอกันที่ข้างนอกภูเขา”
กู้หมิงเฟิงไม่สามารถบอกได้ว่าตอนนี้เขารู้สึกเช่นไร
แต่ไหนแต่ไร เขาไม่เคยได้รับความสำคัญหรือความไว้วางใจเช่นนี้มาก่อน หรือต่อให้เขามีพรสวรรค์ความสามารถอันโดดเด่น แต่ก็ยังคงโดนดูหมิ่นเหยียดหยาม เพราะชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของเขา
ทุกคนในตระกูลกู้ต่างปรามาสเขาว่าเป็นได้แค่หมาป่าขี้ขลาดตาขาวเท่านั้น
พวกเขาต่างก็มีสายเลือดเดียวกันกับเขา แต่กลับสร้างความเจ็บปวดให้เขาอย่างสุดซึ้งเช่นกัน
ทว่าฉู่หลิวเยว่…พวกเขาเพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน คิดไม่ถึงว่านางจะมอบความไว้วางใจให้เขารับผิดชอบหน้าที่นี้
เขาสบตานางแน่นิ่ง
นัยน์ตาสดใสเป็นประกายคู่นั้นไร้วี่แววดูถูก เหยียดหยาม หรือเย้ยหยัน มีเพียงแค่ความสงบนิ่งในแววตาเท่านั้น
นางจริงจังกับเรื่องนี้
ราวกับมีบางอย่างกำลังสั่นคลอนในใจของเขาในที่สุดเขาก็เอื้อมมือรับค่ายกลนิลกาฬจากนาง
“ได้”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วและหัวเราะให้กับเขา
ในเมื่อกู้หมิงเฟิงพูดขนาดนี้แล้ว เช่นนั้นเป็นการพิสูจน์ว่าเขาเต็มใจที่จะทำสุดความสามารถ
มู่หงอวี๋และเฉินหู่ได้รับบาดเจ็บทั้งคู่ หลังจากที่นางออกไป สองคนนั้นก็ต้องพึ่งพาเขาแล้วล่ะ
นางคืนไข่มุกราตรีให้กู้หมิงเฟิงอีกครั้ง และหันหลังจากไปโดยไม่พูดอะไรสักคำ ทันใดนั้นร่างของนางก็หายไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“หลิวเยว่…”
มู่หงอวี๋ก้าวไปข้างหน้าเพื่อต้องการรั้งนางไว้
กู้หมิงเฟิงจึงเดินไปอยู่ข้างกายนาง
“ในเมื่อนางบอกว่าเจอกันที่ข้างนอกภูเขา นางจะไม่ผิดสัญญาแน่นอน แทนที่จะคอยพะว้าพะวัง ข้าว่าเรารีบหาทางออกให้เร็วที่สุดแล้วค่อยไปรวมตัวกับนางจะดีกว่า พวกเรามีเวลาไม่มาก ช้าไปวินาทีเดียว นางก็ขจะยิ่งมีอันตราย”
มู่หงอวี่กัดริมฝีปากของนาง ในใจสับสนยิ่งนัก แต่สุดท้ายนางก็พยักหน้าพัลวัน
“ไป!”