ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 149 ลงโทษ
ตอนที่ 149 ลงโทษ
ด้านนอกบรรพตวั่นหลิง เราอาจารย์และลูกศิษย์ของโรงเรียนเทียนลู่ รออยู่ด้วยกันอย่างเงียบๆ
บรรยากาศหยุดนิ่งทุกคนเงียบสนิทไม่พูดจา และความเงียบก็อึดอัดจนหายใจไม่ออก
ลูกศิษย์บางคนได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไป แม้ว่าบางคนจะไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็มีการเลือดตกยางออกไม่น้อย
มองแวบแรกอาจจะดูไม่เสียหายเท่าไหร่นัก
เวลาค่อยๆ ร่วงเลยไป การรอคอยเริ่มยากที่จะทนไหว
บางครั้ง บางคนมองไปยังบรรพตวั่นหลิงด้วยใบหน้าที่ไม่มีความหวังความตื่นเต้นดังเช่นตอนก่อนจะเข้าไป ซึ่งตอนนี้มีเพียงความหวาดกลัว
ผู้ใดจะคิดเล่าว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้ในบรรพตวั่นหลิง?
ดูเหมือนว่าตอนนี้ยังคงทำให้ใจสั่น
ทันใดนั้น เมื่อเสียงลมพัดมาก็มีร่างหลายร่างลอยออกจากป่าอย่างรวดเร็ว
ทุกคนมองออกไปเป็นตาเดียว
อาจารย์ที่อยู่ด้านหน้าสุดแสดงความดีใจออกมา
“ในที่สุดพวกเจ้าก็กลับมา! ดูเหมือนว่าจะมีการเคลื่อนไหวครั้งใหญ่ในบรรพตวั่นหลิง ตกลงมันเกิดอันใดขึ้นกันแน่? ยังมีนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตนนั้นอีก ดูเหมือนว่าจะใช้กระบวนการฆังหาร ช่างอันตรายเสียจริง! ดีที่พวกเจ้าออกมาได้ทันเวลา!”
พวกเขารออยู่ข้างนอก จึงไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นข้างใน ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นหวั่นไหวซึ่งดูเหมือนว่าจะมีการต่อสู้อันดุเดือดเกิดขึ้น
อาจารย์สองท่านก้าวไปข้างหน้า พร้อมทั้งส่งเฉินหู่และมู่หงอวี๋ให้คนข้างๆดูแล
หนึ่งในนั้นถอนหายใจ “อย่าพูดถึงมันเลย ดูเหมือนนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตนนั้นจะบ้าคลั่ง จึงส่งสัตว์อสูรทั้งหมดในภูเขาไปล้อมรอบภูเขาไว้ มู่หงอวี๋กับคนอื่นๆ จึงหลบหนีออกมาได้อย่างยากลำบาก ต่อมาก็มีสัตว์อสูรระดับสูงอีกตัวหนึ่งปรากฏขึ้น และต่อสู้กับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา จนทำลายภูเขาทั้งลูกให้ราบเป็นหน้ากลอง! หากพวกเราช้าอีกนิด เกรงว่าเป็นเรื่องยากที่จะออกมา”
“อะไรนะ ยังมีสัตว์อสูรระดับสูงอีกหนึ่งตน?”
ทุกคนมองหน้ากันด้วยความตกตะลึงและหัวใจก็เต้นรัวไม่เป็นจังหวะ
“อาวุโสซุนบอกว่า ที่นี่คือพื้นที่ควบคุมของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหาไม่ใช่หรือ? แล้วสัตว์อสูรระดับสูงที่ปรากฏขึ้นในภายหลังคืออะไร? เหตุใดจึงกล้าต่อสู้กับมันตัวต่อตัว?”
“พวกเราก็เห็นไม่ชัดเจนเท่าไหร่นัก แต่พลังของมันแข็งแกร่งมาก ทรงพลังกว่านาคาปีกทมิฬกลืนเวหาตัวนั้นเสียอีก”
ทุกคนต่างพูดไม่ออก
นาคาปีกทมิฬกลืนเวหาคือสัตว์อสูรระดับเจ็ดมีพลังแข็งแกร่งอย่างยิ่ง แต่สัตว์อสูรที่แข็งแกร่งกว่า…คืออะไร?
ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่ปรากฏในตำนานเท่านั้น!
ครั้งนี้พวกเขาโชคร้ายจริงๆที่มาเจอเรื่องไม่ดีในตอนนี้!
“อาวุโสซุนล่ะ? เขาไม่ได้กลับมาพร้อมกับพวกเจ้าหรือ?”
ไป๋เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ กลับไม่เห็นแม้เงาของอาวุโสซุน จึงอดไม่ได้ที่จะถาม
อาจารย์หลายท่านมีสีหน้าลำบากใจ ผ่านไปสักครู่จึงมีคนพูดขึ้นว่า : “อาวุโสซุนไปภูเขาเพียงลำพังเพื่อช่วยคน พวกเราก็ยังติดต่อกับเขาไม่ได้เช่นกัน”
“เป็นไปได้อย่างไร…มันไม่อันตรายเกินไปหรือ!?”
ไป๋เฉินขมวดคิ้ว ท่านใดนั้นจึงเกิดแสงสว่างในใจของเขา
เดี๋ยวนะ!
ช่วยคน?
นอกจากมู่หงอวี๋และคนอื่นๆที่กลับมาแล้ว ยังมี…
“ฉู่หลิวเย่กับกู้หมิงจูล่ะ!?”
“พวกเขาทั้งสองอยู่บนภูเขาลูกนั้น และอาจารย์ก็ไปที่นั่นเพื่อช่วยพวกเขา”
ซือถิงที่อยู่ข้างๆพูดขึ้น
ทุกคนอยู่ในความเงียบ
อาวุโสซุนคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา!
เมื่อเขาเดินทางไปเพียงลำพังเช่นนี้ ก็เพียงแค่…
“อาวุโสซุน!”
อาจารย์ท่านหนึ่งเงยหน้าขึ้นอย่างไม่ตั้งใจ และประจวบเหมาะกับที่เห็นร่างที่คุ้นเคยเดินออกมาจากป่าจึงอดไม่ได้ที่จะร้องตะโกนออกไป
ทุกคนรีบหันไปมอง
ไป๋เฉินถอนหายใจด้วยความโล่งอก ทว่าเมื่อเห็นมีเลือดบนร่างกายของอาวุโสซุน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปในทันที พร้อมทั้งรีบก้าวออกไปข้างหน้า
“อาวุโสซุน! ท่านบาดเจ็บ?!”
อาวุโสซุนโบกมือ “แค่บาดเจ็บเล็กน้อย”
ไป๋เฉินมองเขาด้วยสีหน้าไม่สบายใจ
อาวุโสซุนกลับมาเพียงคนเดียว!
“อาวุโสซุน…ฉู่หลิวเย่…กู้หมิงจู…”
อาวุโสซุนส่ายหน้าอย่างเหนื่อยล้า พลางถอนหายใจยาวๆ
“เป็นเพราะข้าไร้ความสามารถ จึงไปช่วยพวกนางไม่ทัน…พวกนางถูกดูดเข้าไปในกระบวนการสังหารของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา…”
ทันทีที่ไทยคำเหล่านั้นออกมาจากปากอาวุโสซุน ทุกคนก็ตกอยู่ในความเงียงัน
ในเมื่ออาวุโสซุนพูดเช่นนั้น ถ้าอย่างนั้น การตายของทั้งสอง อาจจะเป็นเรื่องจริง
ตกอยู่ในเงื้อมมือของนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา พวกนางจะเป็นคู่ต่อสู้ได้อย่างไร?
มู่หงอวี๋ลุกขึ้นยืนทันที “ข้าไม่เชื่อ! หากมีชีวิตอยู่ก็ต้องเห็นคน หากตายแล้วก็ต้องเห็นศพ! ข้าจะไปหานาง!”
ครั้นเมื่อพูดจบ นางจึงสาวเท้าเก้าไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว
ทว่านางกลับเดินได้เพียงแค่สองก้าว ดวงตาของนางก็มืดสนิทและเป็นลมล้มพับไป
อาจารย์ท่านหนึ่งที่อยู่ด้านข้างรีบเข้าไปตรวจสอบทันที “ อาการบาดเจ็บของนางทั้งภายนอกและภายในรุนแรงมาก อีกทั้งยังเสียเลือดมาก สามารถประคับประคองได้จนถึงตอนนี้นับว่าเป็นเรื่องที่ยากมาก นางจึงเป็นลมหมดสติไป อาวุโสซุนไม่ต้องเป็นกังวล เพียงแค่ให้ยากับนางสักหน่อย พักผ่อนให้มาก นางก็จะดีขึ้น”
อาวุโสซุนพยักหน้า แต่เขากลับยังมีท่าทีมึนงง
เขายังคงโทษตัวเองที่ไม่สามารถช่วยชีวิตทั้งสองไว้ได้
“…ก่อนออกมา ข้าควรตรวจสอบให้ชัดเจน…”
ถ้าหากเขาทำความเข้าใจอีกนิด และสังเกตว่าสถานการณ์ในบรรพตวั่นหลิงเปลี่ยนไป เขาจะไม่พาลูกศิษย์จำนวนมากมาที่นี่อย่างแน่นอน และจะไม่มีผู้บาดเจ็บล้มตายจำนวนมากเช่นนี้
เป็นการล่าสัตว์ที่น่าสลดที่สุดของสำนักเทียนลู่ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา!
“อาวุโสซุน ท่านอย่าโทษตัวเองจนเกินไป เรื่องแบบนี้ไม่มีใครคาดคิด ใครจะรู้ว่าจะเกิดอะไรกับนาคาปีกทมิฬกลืนเวหา ครั้งนี้มันสิ้นสติไปเสียแล้ว…”
ไป๋เฉินพูดปลอบใจ ทว่าเขากลับอดที่จะเสียใจไม่ได้
เขาดูแลฉู่หลิวเย่อย่างดีมาตลอด และเขายังรับผิดชอบในการสอบเข้าเรียนครั้งแรกของนาง แม้ว่าเขาจะไม่ใช่อาจารย์ของนาง แต่จริงๆแล้วเขาก็เป็นห่วงนางมากเช่นกัน
แต่คิดไม่ถึง…
“อาวุโสซุน ขณะนี้บรรพตวั่นหลิงอยู่ในความวุ่นวาย พวกเรารีบกลับโรงเรียนกันเถิด!”
ในที่สุดอาจารย์ท่านหนึ่งก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา
ทำไมอาวุโสซุนจะไม่รู้ว่าเวลานี้ควรทำอะไร?
กระนั้น…
เขาจะกลับไปรายงานกับอาจารย์ว่าอย่างไร?
แม้จะเป็นเพียงความเห็นแก่ตัว แต่เขาก็ไม่อยากเห็นฉู่หลิวเย่ตายที่นี่
หลังจากที่เงียบไปสักพัก เขาจึงหลับตาลงแล้วพูดว่า “ประกาศ ทุกคนกลับโรงเรียนเทียนลู่ทันที!”
เหล่าผู้อาวุโสและอาจารย์ต่างทยอยออกไปอย่างรวดเร็ว
แม่แต่เฉินหู่และมู่หงอวี๋ก็ถูกพาตัวไปทั้งๆที่หมดสติ
ทุกคนค่อยๆจากไป
ซือถิงเดินไปหาอาวุโสซุน และลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่จะถามออกมาว่า “ท่านอาจารย์ สิ่งที่ท่านพูดเป็นเรื่องจริงหรือ?”
อาวุโสซุนมองเขาด้วยแววตาที่ซับซ้อน
อันที่จริงเขามองเห็นจิตใจของซือถิงอย่างชัดเจน
ทว่า…
เขากับถอนหายใจยาวๆ พลางตบไหล่ซือถิงเบาๆ
แสงสว่างสุดท้ายในแววตาของซือถิงค่อยๆหรี่ลง
“กู้หมิงเฟิง ไปกันเถอะ”
อาจารย์ท่านนึงเห็นกู้หมิงเฟิงยืนอยู่กับที่ไม่ขยับเขยื้อนจึงเอ่ยปากพูด
กู้หมิงเฟิงมองลึกเข้าไปยังภูเขาลูกนั้น
ยอดเขาสูงที่เคยตั้งตระหง่านได้หายไป ถึงแม้จะยืนอยู่ตรงนี้ ดูเหมือนว่าเขายังคงรับรู้ได้ถึงสถานการณ์ที่รุนแรงเมื่อภูเขาถล่มลงมา
พวกเขาตกลงกันว่าจะมาเจอกันด้านนอกภูเขา ทว่ายามนี้ แม้แต่ภูเขาก็ไม่มีแล้ว
บางทีในชีวิตนี้ เขาอาจจะไม่ได้เห็นดวงตาที่ใสสะอาดและเต็มไปด้วยความเชื่อใจอีกต่อไปแล้ว
อาจารย์ท่านนั้นเดินมาหาเขา “อาจารย์รู้ว่าเจ้าเสียใจที่ท่านพี่ของเจ้าประสบอุบัติเหตุ แต่เรื่องนี้จบลงแล้ว…”
กู้หมิงเฟิงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ และหันหลังกลับไปพร้อมอาจารย์
เมื่อดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้ารางของทุกๆคนก็ค่อยๆหายไปในที่สุด
มีเพียงภูเขาและป่าทึบเท่านั้น ที่เงียบสงบอย่างหน้าตลาดภายใต้แสงอาทิตย์ที่สะท้อนเข้ามา
ลำธารเล็กๆ แผ่ขยายจาภูเขาไหลลงสู่เบื้องล่าง เมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องตกกระทบน้ำทำให้เกิดแสงระยิบระยับ
ลำธารดูเหมือนจะถูกย้อมเป็นสีแดงเล็กน้อย ซึ่งดูสวยงามเป็นพิเศษ
จากนั้นสีแดงก็ค่อยๆเข้มขึ้น จนเกือบจะกลายเป็นแม่น้ำสีเลือด!
ทันใดนั้นศพสัตว์อสูรเนตรทองหนึ่งตนปรากฏขึ้น