ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 204 โปรดชี้แนะ
ตอนที่ 204 โปรดชี้แนะ [รีไรท์]
หรงเจินหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านโดยละเอียดพลันขมวดคิ้ว
นางไม่เข้าใจภูมิทัศน์ป่าเขาลำเนาไพรนอกเมืองหลวง ดังนั้นย่อมไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้เป็นที่แห่งใดกันแน่ แต่พอดูแล้วก็คล้ายกับว่าจะอยู่ห่างไกลออกไป…
นางขบคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วเหลือบมองฉู่หลิวเยว่พลางยิ้มเยาะ :
“เจ้าอย่าคิดนะว่าเรื่องจะจบลงแค่นี้ รองานสมาคมเยาวชนเสร็จสิ้น เจ้าต้องพาข้าไปด้วยตัวเอง!”
นางไม่ได้โง่ที่พอฉู่หลิวเยว่วาดสถานที่ให้นางพอทำเนาแล้วนางจะเชื่อ
ใครจะรู้ว่าฉู่หลิวเยว่พูดจริงหรือไม่?
ฉู่หลิวเยว่ลูบข้อมือตัวเอง สีหน้าไม่สะทกสะท้าน :
“องค์หญิงสี่ว่าอย่างไรก็ย่อมเป็นไปตามนั้น”
หรงเจินเห็นสีหน้าไม่ได้แสร้งโกหกรวมถึงรับปากว่าจะไปด้วย ในใจจึงเชื่อไปแล้วหลายส่วน
นางมองคนชุดดำข้างๆ เพียงแวบหนึ่ง “ไป!”
พูดจบ ทั้งสองก็จากไปพร้อมกัน
ฉู่หลิวเยว่หันไปมอง เห็นเพียงร่างที่พร่ามัวหายไปในท่ามกลางความมืดมิด
ถ้าคิดไม่ผิด คนชุดดำเมื่อสักครู่นี้อาจใช้พลังปกปิดลมปราณของทั้งสองไว้
มิน่าล่ะถึงได้ใจกล้าบ้าบิ่นบุกเขาสำนักศึกษาเช่นนี้…
แววตาฉู่หลิวเยว่มืดมนเล็กน้อย
พละกำลังของคนเมื่อสักครู่นี้ อย่างน้อยก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางขั้นห้า คนที่มีพละกำลังเช่นนี้ในแคว้นเย่าเฉินมีน้อยเพียงหยิบมือ
หรงเจินมีกำลังพอที่จะระดมคน…
นางมีรายชื่อน่าสงสัยอยู่สองสามคนที่โผล่เข้ามาในใจ แต่เนื่องจากนางไม่ได้เห็นรูปร่างหน้าตาของคนผู้นั้น ดังนั้นตอนนี้จึงมิอาจมั่นใจได้
คงต้องหาเวลาไปสืบดูเสียหน่อยแล้ว…
…….
เรื่องราวที่เกิดขึ้นในราตรีนี้มิได้ดึงดูดความสนใจจากผู้ใด
เช้าตรู่ของวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่และคนอื่นๆ ก็ไปที่ลานจยาหนานตามปกติ
เมื่อเทียบกับวันก่อน ผู้ที่มารับชมในลานจยาหนานมีจำนวนเพิ่มขึ้นกว่าเดิม บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก
นานวันการประลองก็ยิ่งมีสีสันน่าตื่นตา ผู้ที่อยากเข้ามารับชมการประลองจึงเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นธรรมดา
ฉู่หลิวเยว่เพิ่งมาถึงได้ไม่นานก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนมากหน้าหลายตา
สายตานับไม่ถ้วนล้วนมองมาที่นาง
ในช่วงชุลมุนยังได้ยินคนไม่น้อยที่กำลังถกเถียงการต่อสู้ระหว่างนางกับเหลยหมิงเวยเมื่อวานนี้
มู่หงอวี๋กระทุ้งแขนใส่ฉู่หลิวเยว่ :
“หลิวเยว่ ตอนนี้เจ้านับว่าต่อสู้เพียงครั้งเดียวก็โด่งดังขึ้นมาเชียวนะ! อย่าว่าแต่เมืองหลวงเลย เพราะแม้แต่คนของหวยชางกับซิงหลัวยังเคยได้ยินชื่อเสียงของเจ้า!”
ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นหนึ่งชนะผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่ ผลการประลองเช่นนี้ไม่ว่าจะอยู่แห่งหนใดก็ยอดเยี่ยมมากพอที่จะทำให้คนทึ่งได้!
ฉู่หลิวเยว่กลับสงบเสงี่ยม
“การประลองเพิ่งเริ่มได้ไม่นาน ช่วงท้ายๆถึงจะเข้มข้น”
“ใช่แล้ว! เมื่อวานมีคนตกรอบไปกว่าครึ่งแน่ะ วันนี้จะต้องเริ่มจับได้ผู้ชนะของเมื่อวานแล้ว การประลองเมื่อวานไม่ค่อยเท่าไหร่ หวังว่าวันนี้จะได้เจอคนที่น่าสนใจ!”
เมื่อวานมู่หงอวี๋จับได้ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามแห่งสำนักไท่เหยี่ยน แสดงฝีมือไปได้ไม่เท่าไหร่ก็ชนะแล้ว นางจึงคันไม้คันมือมาก
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะ
“ตอนนี้เจ้าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่แล้ว วิสัยทัศน์ย่อมต่างออกไป ไม่ต้องห่วง ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่อีกสองสำนักใหญ่ยังมีอีกมาก วันนี้เจ้าต้องได้สู้สนุกสมใจแน่”
มู่หงอวี๋หัวเราะคิกคัก
“นี่ไม่ใช่ว่าต้องขอบใจเจ้าหรอกหรือ? หากไม่ใช่เพราะเจ้าให้ข้ายืมยี่สิบชั่วยามนั่น ข้าคงไม่มีทางบรรลุเร็วถึงเพียงนี้!”
“หงอวี๋! การประลองใกล้จะเริ่มแล้ว! เร็วเข้า!”
เฉินหู่ที่อยู่ไม่ไกลออกไปโบกมือให้มู่หงอวี๋
มู่หงอวี๋ขานตอบ “งั้นข้าไปก่อนนะ!”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า ส่วนตัวเองก็เดินไปอีกด้านหนึ่ง
ขณะนี้นางนั่งอยู่ที่นั่งปรมาจารย์ แน่นอนว่าไม่ได้นั่งร่วมกับพวกเขา
……
ระหว่างทางที่ฉู่หลิวเยว่เดินไป มีคนจำนวนไม่น้อยที่ทักทายนางอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง
หลังจากผ่านการต่อสู้เมื่อวานนี้ บัดนี้ฉู่หลิวเยว่ก็เป็นคนสำคัญของสำนักและทำให้ผู้คนเปลี่ยนมุมมอง มีความใกล้ชิดสนิทสนมกันมากขึ้น
ฉู่หลิวเยว่ก็ทักทายพวกเขากลับทีละคนก่อนจะนั่งลง
แต่ในใจกลับรู้สึกอ่อนไหวอยู่บ้าง
ในอดีตนางมีชะตาเป็นองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ แม้แต่องค์หญิงหรือองค์ชายคนอื่นยังปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพนบน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้านาง ซึ่งนับประสาอะไรกับคนรอบข้าง
ตอนแรกนางยังรู้สึกว่าทุกคนไม่เข้าใกล้นาง จึงผิดหวังอยู่บ้าง แต่ต่อมาก็ค่อยๆ เข้าใจเรื่องราวอันหลากหลายนั้น นางจึงไม่เรียกร้องอีก
เช่นเดียวกับสถานการณ์ตอนนี้ นางรู้สึกแปลกๆ ไปบ้างแต่ไม่ได้รังเกียจเดียดฉันท์แต่อย่างใด ยังชื่นชอบเสียด้วยซ้ำ
นางสัมผัสได้ว่าผู้คนเหล่านั้นเคารพยำเกรงนางจริงๆถึงได้ปฏิบัติต่อนางเช่นนี้
ดูเหมือนว่างานสมาคมเยาวชนนี้จะเป็นงานสำคัญสำหรับพวกเขายิ่งนัก
นางมองสำรวจไปรอบๆ
สำนักเทียนลู่ได้รับขวัญกำลังใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และดูเหมือนว่าสำนักหนานเฟิงก็เต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งการต่อสู้เช่นกัน
สำหรับสำนักไท่เหยี่ยนนั้น…บรรยากาศซบเซาของเมื่อวานได้มลายหายไปโดยไม่คาดคิด
แม้ไม่มีการกระพือข่าวเหมือนตอนแรก แต่ดูเหมือนจะปรับกลยุทธ์ใหม่หลังจากประสบความล้มเหลว
อีกไม่นานการประลองก็จะเริ่มแล้ว
…….
ทันใดนั้นเองท่ามกลางฝูงชนก็เกิดเหตุโกลาหล
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองออกไป พบว่าการเคลื่อนไหวนี้เกิดจากมีใครคนหนึ่งจากสำนักหนานเฟิงลุกขึ้น
ซึ่งนั่นก็คือเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ดูเหมือนเป็นผู้ทรงภูมิ รูปร่างสูงยาวเข่าดี ลักษณะเรียบร้อยและสง่างาม
นั่นคือคนของสำนักหนานเฟิงที่จะประลองในครั้งนี้…เจียงหยวน
“ที่แท้ก็เจียงหยวนนี่เอง!? เขาเป็นถึงผู้ฝึกยุทธ์อันดับที่สิบของปีที่แล้ว! เกรงว่าปีนี้คงมีพละกำลังแก่กล้ายิ่งกว่าเดิม!”
“ได้ยินว่าปีก่อนเขายังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม พลังการต่อสู้ที่แท้จริงกลับเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่! ปีนี้เขาบรรลุผู้ฝึกยุทธ์ระดับเริ่มต้นขั้นสี่ไปเรียบร้อยแล้ว ยิ่งมิอาจดูแคลนได้!”
“พวกเจ้ายังจำเหตุการณ์ตอนนั้นได้หรือไม่? เจียงหยวนผู้นี้ดูสุภาพเรียบร้อย เวลาพูดก็มีมารยาท แต่พอขึ้นเวทีประลองเท่านั้นแหละ ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคน! หากได้ประชันกับเขาล่ะก็…”
“ได้ยินมาว่าครั้งนี้เขามาเพื่อเป็นผู้ฝึกยุทธ์อันดับหนึ่ง ไม่รู้ว่าใครจะเป็นผู้โชคร้ายที่ได้มาเจอเขา…”
ระหว่างที่ฟังคนรอบข้างพูดจาปราศรัยไปต่างๆ นานา ฉู่หลิวเยว่ก็เริ่มเข้าใจขึ้นมาแล้ว
ไม่แปลกใจเลยที่ทุกคนมีปฏิกิริยาเช่นนี้
เจียงหยวนผู้นี้คือผู้ที่ได้อันดับสูงสุดคนหนึ่งนับตั้งแต่เริ่มงานสมาคมเยาวชนมาจนถึงตอนนี้
แม้แต่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับกลางขั้นสี่อย่างเหลยหมิงเวยก่อนหน้านี้ยังมีอันดับสู้เขาไม่ได้
ซึ่งจะเห็นได้ว่าเจียงหยวนมีพละกำลังแข็งแกร่งเพียงใด
หากสู้กับเขาในเวลานี้ มีโอกาสเป็นไปได้มากที่จะตกรอบ
เจียงหยวนเดินไปที่หน้าหีบด้วยสีหน้าเรียบเฉย เขาหยิบก้อนกระดาษออกมาหนึ่งอันแล้วเปิดทันทีต่อจากนั้น
เมื่อเห็นชื่อในนั้นก็ผงะเล็กน้อย
จากนั้นเขาก็ยิ้มแล้วคลี่กระดาษออก มองมาทางฝั่งสำนักเทียนลู่
“ดูเหมือนว่าข้าจะโชคดีเสียจริง ไม่นึกเลยว่าจะจับได้ม้ามืดที่ใหญ่ที่สุดแห่งปี”
ทันทีที่ประโยคนี้จบลง ทุกคนต่างก็รู้แล้วว่าเขาหมายถึงผู้ใด!
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองขึ้นไป นางมองไปยังก้อนกระดาษนั้นที่มีชื่อตัวเองเขียนไว้ชัดเจนอย่างที่คาดเอาไว้!
นางยกมุมปากแล้วลุกขึ้น
ควรจะบอกว่านางโชคดีถึงจะถูก
นางจับได้คนระดับกลางขั้นสี่อย่างพวกเหลยหมิงเวยพวกนั้น
ส่วนคนอื่นจับได้นางและยังเป็นผู้แก่กล้าที่ยากจะคาดเดาได้เช่นกัน
สีหน้าทุกคนเต็มไปด้วยความตกตะลึงเมื่อเห็นทั้งสองกำลังจะเผชิญหน้ากัน จากนั้นก็รู้สึกตื่นเต้น!
ไม่คิดเลยว่าม้ามืดปีที่แล้วจะมาเจอม้ามืดปีนี้เร็วถึงเพียงนี้!
สองคนนี้มีพละกำลังแก่กล้ากว่าขั้นของตน หากได้ต่อสู้กันขึ้นมาจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นไร!
เจียงหยวนยิ้ม :
“เชิญ…”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มมุมปาก
“เช่นนั้น…โปรดชี้แนะด้วย!”