ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 243 เข้าร่วมงานประลอง
ตอนที่ 243 เข้าร่วมงานประลอง [รีไรท์]
สำนักเทียนลู่ทุกคนต่างเงียบเสียงไป
ส่วนคนอื่นๆ ก็สัมผัสถึงเรื่องนี้ได้ จึงลดเสียงซุบซิบลง
“คาดไม่ถึงว่าสำนักเทียนลู่จะเหลือแค่เด็กใหม่คนเดียว เกรงว่าตอนนี้น่าจะคว้ารางวัลอันใดไม่ได้เลยล่ะมั้ง!”
“มันก็ไม่แน่หรอกนะ! ได้ยินมาว่าคนคนนั้นคือคุณชายใหญ่ของตระกูลซือ มีพรสวรรค์ในระดับปรมาจารย์เลยล่ะ บางทีเขาอาจจะจะพลิกสถานการณ์ได้ก็ได้นะ”
“แต่ข้าว่ายาก! เจ้าไม่เห็นหรือว่าเขายังไม่ผ่านด่านที่สี่? ส่วนเซิ่นอีหมิงกับซูไป๋ก็ใกล้จะผ่านด่านสุดท้ายแล้ว”
…
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ซือถิงก็วางหมากลงไปภายในครั้งเดียว!
ตุ้บ!
บนกระดานด้านหน้าของเขา มีดาวดวงที่สี่ปรากฏขึ้นมา!
ตอนนั้นเองทุกคนก็เงียบเสียงไปทันที พวกเขาคิดไม่ถึงว่าซือถิงจะสามารถผ่านด่านที่สี่ในตอนนี้!
นอกจากเซิ่นอีหมิงกับซูไป๋ที่ยืนอยู่ด้านหน้า ตอนนี้เขาอยู่ลำดับสามคนแรกแล้ว!
ซุนจ้งเหยียนถอนหายใจอย่างโล่งอก
ความสามารถของซือถิงนั้น เขาที่เป็นฐานะอาจารย์ล้วนรู้ดีที่สุด ก่อนหน้านี้เขาหลบซ่อนความสามารถของตัวเองมาโดยตลอด
แต่ตอนนี้ เหมือนว่าเขาก็ต้องการแย่งตำแหน่งชนะเลิศเช่นกัน
…
หลังจากซือถิงเข้ามาถึงด่านสุดท้ายแล้ว เขาก็รู้สึกสงบลงมาก แต่ผู้คนที่อยู่รอบๆ กลับรู้สึกประหลาดใจแทน
ทั้งเซิ่นอีหมิงกับซูไป๋อดไม่ได้ที่จะเหลือบสายตามามอง สีหน้าของพวกเขาก็แสดงความแปลกใจเล็กน้อย
เหมือนว่าก่อนหน้านี้เขาจะประเมินซือถิงผู้นี้ต่ำไปเสียหน่อย…
ซีหว่านหว่านที่อยู่ด้านข้างก็ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้างามของนางก็เหมือนมีม่านน้ำแข็งปรากฏขึ้นอีกชั้นหนึ่ง
เดิมทีแล้วนางก็มั่นใจในตัวเองมาก แต่นางคิดไม่ถึงว่าจะโดนเด็กใหม่คนหนึ่งแซงหน้านางไป
นางจึงอดพูดไม่ได้ว่า
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้าจะเก่งกาจเช่นนี้”
ซือถิงเหลือบตามองนาง พร้อมพยักหน้าโดยไม่แสดงสีหน้าอันใด
“ขอบคุณสำหรับคำชม”
เมื่อพูดจบเขาก็ถอนสายตากลับมา พร้อมมองไปที่กระดานหมากรุกที่อยู่ด้านหน้าอีกครั้ง
ค่ายกลด่านสุดท้ายนั้น ยากกว่าการทะลวงด่านสี่ในครั้งก่อนอีก ถ้าหากไม่รวบรวมจิตวิญญาณเข้าด้วยกัน เกรงว่าจะทำให้มันทะลวงด่านนี้ได้ยาก
เมื่อซีหว่านหว่านเห็นปฏิกิริยาตอบรับของเขา นางก็รู้สึกโมโหมากขึ้น และรู้สึกว่าซือถิงผู้นี้ไม่ได้เห็นนางอยู่ในสายตาเลย
แค่อยู่ด้านหน้านางเพียงเล็กน้อย ยังกล้าอวดดีขนาดนี้เลยหรือ?
ซีหว่านหว่านรู้สึกไม่พอใจอย่างมาก แต่ใบหน้าของนางกลับไม่ได้แสดงความรู้สึกอันใดออกมา
ตอนนี้นางควรจะรีบทะลวงด่านที่สี่ให้เรียบร้อยก่อนดีกว่า…
แต่ว่า ยิ่งนางตื่นเต้นมากเท่าไหร่ นางก็ยิ่งหาวิธีทะลวงค่ายกาลนี้ไม่เจอ
ไม่ต้องพูดถึงเซิ่นอีหมิงกับซูไป๋ พวกเขาทั้งสองล้วนมีชื่อเสียง หากแพ้ให้กับเด็กใหม่อย่างซือถิง แบบนั้นคงขายหน้ามาก
แต่ตอนนี้เขานำหน้านางไปแล้ว!
ซีหว่านหว่านรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก เมื่อเห็นว่าซือถิงเริ่มวางหมาก ราวกับว่ากำลังเริ่มจะทดลองทะลวงค่ายกลแล้ว
นางหันไปมองเซิ่นอีหมิงหนึ่งครั้ง แต่เห็นว่าเขากำลังจ้องหมากกระดานอยู่ และนิ่งค้างไปโดยที่ไม่ขยับตัว ราวกับว่าเขากำลังลังเลอยู่
นางจึงกัดริมฝีปาก
ถ้านางแพ้เองก็ช่างเถอะ แต่….เซิ่นอีหมิงรอคอยวันนี้มาตั้งนานแล้ว
ราวกับว่าเซิ่นอีหมิงกับซูไป๋รับรู้ได้ว่าซือถิงกำลังจะทำอันใด จึงมองหน้าเขาอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าซือถิงมีสีหน้าราบเรียบ ท่าทางของทั้งคู่ก็เปลี่ยนไปทันที แน่นอนว่าปรมาจารย์ทั้งหลายต่างดูออกว่าเขาทำเป็นจริงๆ หรือว่าแสร้งทำ
คาดไม่ถึงว่าความสามารถของซือถิงจะแข็งแกร่งขนาดนี้?
ซูไป๋หัวเราะขึ้นมาเบาๆ อย่างไม่มีสาเหตุ คาดไม่ถึงว่าเขาจะเริ่มลองแล้ว เขาจึงกระซิบเสียงต่ำว่า
“น่าสนใจ”
เซิ่นอีหมิงและซีหว่านหว่านสบตากันครู่หนึ่ง พวกเขาต่างเห็นความกังวลในสายตาของกันและกัน
ซีหว่านหว่านเม้มริมฝีปากแน่น
เซิ่นอีหมิงจะแพ้ไม่ได้…
นางหลับตาลงจากนั้นก็จ้องกระดานหมากรุกอีกครั้ง นางกลับรู้สึกว่าลวดลายอักขระที่อยู่ตรงหน้าดูยุ่งเหยิงอย่างมาก
นางกลั้นหายใจและขมวดคิ้วแน่น นางรู้ตัวนางดีว่านางมาถึงขีดจำกัดแล้ว
ในสถานการณ์แบบนี้ หากบังคับให้ทะลวงค่ายกลต่อไปลมปราณของนางก็จะหายไปเหมือนกับคนจำพวกก่อนหน้านี้ จากนั้นก็จะโดนตัดสิทธิ์ออกจากการแข่ง
นางในตอนนี้ เกรงว่าจะไม่สามารถแข่งต่อไปได้แล้ว….
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ นางก็กัดฟันแล้วลุกขึ้นทันที!
“ข้าขอถอนตัว!”
เสียงของนางดังขึ้นชัดเจนท่ามกลางเวทีที่เงียบสงบ
ทุกคนจึงหันกลับมามองด้วยความแปลกใจ ก่อนหน้านี้ซีหว่านหว่านยังดูมีความหวังมากไม่ใช่หรือ?
เหตุใดถึงมาอยู่ในตำแหน่งสุดท้ายได้ล่ะ ซ้ำยังขอถอนตัวอีก?
อาจารย์ผู้ตัดสินถามขึ้นว่า
“ซีหว่านหว่านหากเจ้าถอนตัว จะถือว่าออกจากการแข่งขันโดยสมัครใจ จะมาเสียใจภายหลังไม่ได้ เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าจะถอนตัว?”
ซีหว่านหว่านพยักหน้ายืนยัน
“ข้าแน่ใจ”
เมื่อพูดจบนางก็สาวเท้าลงจากเวทีทันที
เมื่อเดินผ่านซือถิง มือของนางก็ขยับเล็กน้อยจนแทบจะสัมผัสไม่ได้
การเคลื่อนไหวนี้มันบอบบางเกินไป และแขนของนางก็ยังซ่อนอยู่ในแขนเสื้อจึงไม่มีใครมองเห็น
ตอนนั้นเองซือถิงที่กำลังจดจ่อกับการทำลายค่ายกล รู้สึกว่ามันมีอันใดผิดปกติบางอย่าง จึงยกมือขึ้นมาทันที แต่ว่ามันก็สายไปเสียแล้ว!
บนกระดานหมากรุก กลับมีเส้นไหมโปร่งแสงเส้นหนึ่งปรากฏขึ้นมาอย่างเงียบๆ
ทันทีที่มันสัมผัสกับกระดาน ไหมเส้นนั้นก็ละลายหายไปในพริบตา! มันหายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว!
จากนั้นลวดลายอักขระบนกระดานก็เกิดการเปลี่ยนแปลงไปทันที
ซือถิงรู้สึกไม่ดี วินาทีต่อมาเขาก็เห็นว่าหมากในกระดานลอยขึ้นฟ้าไป! จากนั้นก็แตกเป็นชั้นเล็กชิ้นน้อยทันที!
ตู้มๆๆ!
กระดานหมากที่เคยจัดอย่างเป็นระเบียบ ก็เละไม่เป็นท่า!
ทุกคนรู้สึกตกใจอย่างมาก! หมากกระดานแตกเองหรือ?
การทะลวงค่ายกลจะต้องมีอันใดผิดพลาดอย่างร้ายแรงแน่นอน!
เมื่อครู่ซือถิงยังดีๆ อยู่เลย ทำไมชั่วพริบตาเดียวถึงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?
ซือถิงลุกขึ้นแล้วหันกลับไปมองหน้าซีหว่านหว่านอย่างรวดเร็ว น้ำเสียงเย็นชาระคนโมโห
“ซีหว่านหว่าน!”
ตอนนั้นเองซีหว่านหว่านก็เดินมาถึงขอบเวทีแล้ว เมื่อได้ยินเสียงนั้นหัวใจนางก็กระตุกวาบ แต่ใบหน้าของนางยังคงราบเรียบเช่นเดิม นางหันหน้ากลับมามองเขา
“มีอันใดหรือ?”
ซือถิงกำหมัดกร๊อด
“เจ้าตั้งใจทำลายค่ายกลของข้า!”
ซีหว่านหว่านแสดงสีหน้ามึนงง
“เจ้าพูดอันใดน่ะ ข้าไม่เห็นเข้าใจ ซือถิงเจ้าจะพูดซี้ซั้วแบบนี้ไม่ได้นะ เจ้าทะลวงค่ายกลไม่ได้เอง แต่กลับมาโทษข้างั้นหรือ เจ้ามีหลักฐานหรือเปล่าล่ะ?”
ใบหน้าของซือถิงเย็นชาขึ้นอย่างมาก เดิมทีของสิ่งนั้นมันไม่ทิ้งร่องรอยอันใดไว้อยู่แล้ว
เมื่อครู่สมาธิทั้งหมดของนางอยู่ที่ค่ายกล จึงถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้ซีหว่านหว่านลงมือ!
สิ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือ นางคิดไม่ถึงเช่นกันว่าซีหว่านหว่านจะกล้าลงมืออย่างโจ้งแจ้งเช่นนี้!
ฝูอวิ๋นซานขมวดคิ้วแน่น แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ถูกต้อง ที่เจ้าเอ่ยโทษมาเช่นนั้นเจ้ามีหลักฐานหรือไม่ หากไม่มีหลักฐาน ก็อย่ามาใส่ร้ายคนอื่น!”
ซือถิงกำหมัดแน่นขึ้น
เซิ่นอีหมิงเหลือบตาขึ้นมอง ในแววตาของเขามีประกายความภูมิใจที่ไม่อาจสัมผัสได้
ซูไป่หรี่ตามอง นางหันมองซีหว่านหว่านด้วยสายตาสื่อความหมาย แต่กลับไม่ได้พูดอันใดออกไป
ซีหว่านหว่านทัดผมที่ข้างหูแล้วพูดพร้อมรอยยิ้มจางๆ ว่า
“ข้าทราบว่าเจ้าคือความหวังสุดท้ายของสำนักเทียนลู่ เจ้าอยากจะชนะมาก แต่เจ้าจะมาใส่ร้ายข้าเช่นนี้ไม่ได้นะ และข้าก็แค่ถอนตัวด้วยความสมัครใจ”
นางยื่นป้ายไม้ในมือให้กับอาจารย์ผู้ตัดสินอย่างผ่อนคลาย แต่คำพูดก็ยังแฝงด้วยความประชดประชันหลายส่วน
“สำนักของพวกเจ้า คงไม่มีใครแล้วใช่หรือไม่…”
“ใครบอกว่าสำนักเทียนลู่ไม่มีคนอื่นแล้ว”
เสียงกระจ่างใสเสียงหนึ่งดังขึ้น
เมื่อซุนจ้งเหยียนและคนอื่นๆ ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกตกใจอย่างมาก และรีบหันกลับไปดูด้วยความรวดเร็ว!
ที่ด้านหน้าประตู มีร่างผอมเพรียวของแม่นางผู้หนึ่งยืนตระหง่านอยู่
“ฉู่หลิวเยว่ สำนักเทียนลู่ ขอร่วมเข้าการประลอง”