ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 244 ด่านที่หนึ่ง
ตอนที่ 244 ด่านที่หนึ่ง [รีไรท์]
คนที่มาใหม่ก็คือฉู่หลิวเยว่นั่นเอง
ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่นางโดยพร้อมเพรียงกัน แต่ปฏิกริยาของแต่ละคนล้วนต่างกันออกไป!
มู่หงอวี่และคนอื่นๆ รีบตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจว่า
“ฉู่เยว่! เจ้า…ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เดินไปทางสำนักเทียนลู่
มู่หงอวี่จึงพุ่งไปหานางอย่างอดไม่ได้ พร้อมคว้าแขนของนางเอาไว้
“เจ้า…เจ้า…”
นางอยากถามฉู่หลิวเยว่มากว่าหนึ่งวันหนึ่งคืนที่นางหายตัวไป นางหายไปอยู่ที่ไหนมา เจออันใดมาบ้าง บาดเจ็บหรือไม่ แต่เมื่อเห็นว่ายังมีสายตาอีกจำนวนนับไม่ถ้วนจับจ้องนางอยู่ สุดท้ายนางก็ต้องอดกลั้นเอาไว้ แล้วจ้องนางตาเขม็ง นางตื่นเต้นจนพูดอันใดไม่ออกเลย
หัวใจของฉู่หลิวเยว่อุ่นวาบขึ้น
“ข้าทำให้พวกเจ้าเป็นห่วงแล้ว”
มู่หงอวี่รีบส่ายหน้าทันที
“เจ้ากลับมาอย่างปลอดภัยก็พอแล้ว!”
ในตอนนั้นซุนจ้งเหยียนเองก็อดไม่ได้ที่จะใช้สายตาสำรวจฉู่หลิวเยว่ เพื่อแน่ใจว่านางสบายดี ไม่ได้บาดเจ็บอันใด เขาจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะแล้วกล่าวว่า
“เมื่อวานข้ามีเรื่องนิดหน่อย จึงทำให้มาถึงล่าช้า ไม่ทราบว่าตอนนี้ข้ายังจะสามารถแข่งขันต่อได้หรือไม่?”
ซุนจ้งเหยียนรีบพูดขึ้นทันที
“ได้ ได้แน่นอน!”
แม้ว่าตอนนี้จะเหลือเวลาเพียงหนึ่งชั่วยามเท่านั้น โอกาสที่ฉู่หลิวเยว่จะชนะนั้นมีน้อยเสียยิ่งกว่าน้อย แต่เมื่อเห็นท่าทางที่เงียบสงบของนาง ก็ยังมีคนพูดโพล่งออกมา
“ข้าว่าไม่ได้!”
ทันใดนั้นเองเฉิงหันก็พูดขึ้นมาเสียงดัง พร้อมขมวดคิ้วแน่น
“การแข่งขันนี้ใกล้จะจบลงแล้ว เจ้ามีเหตุผลที่มาเข้าร่วมการประลองในเวลานี้หรือไม่? ในเมื่อเจ้ามาสาย เจ้าก็ต้องสูญเสียคุณสมบัติในการเข้าร่วมประลองไป!”
ซุนจ้งเหยียนกลับเถียงขึ้นมาทันที
“ท่านเฉิงหัน เหมือนว่างานสมาคมเยาวชนจะไม่มีกฎเช่นนั้นนะ? แม้ว่าฉู่หลิวเยว่จะมาสาย แต่การแข่งขันยังไม่จบ ละยิ่งไปกว่านั้นก่อนหน้านี้นางเคยลงชื่อเอาไว้แล้ว ทำไมนางถึงไม่สามารถแข่งต่อได้เล่า?”
เฉิงหันรู้สึกรังเกียจฉู่หลิวเยว่อย่างมาก การขัดขวางการเข้าร่วมการประลองเป็นเพียงการกระทำจากจิตใต้สำนักเท่านั้น เมื่อเห็นว่าซุนจ้งเหยียนปกป้องอีกฝ่ายเช่นนี้ เขาจึงแค่นหัวเราะเสียงเย็นพลางเอ่ยว่า
“ไม่มีกฎ แต่มันเป็นธรรมเนียมที่ทำมานานแล้ว! หากวันนี้ให้นางเข้าร่วมการประลองได้ วันหลังหากมีคนทำตามล่ะ เช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร มันจะไม่วุ่นวายกันไปหมดหรือ?”
ซุนจ้งเหยียนหัวเราะเสียงดังขึ้นมา
“มันไม่จำเป็นเสมอไปหรอก! ข้าคิดว่าไม่มีใครอยากมาลงแข่งในช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้ายหรอกนะ ตามความเห็นของข้า นี่ไม่ใช่การทำลายกฎ แต่นี่คือการแสดงความมุ่งมั่น”
เฉิงหันชะงักไป
ฝีปากของซุนจ้งเหยียนนั้นสุดยอดมาก ดำก็ยังสามารถกลับเป็นขาวได้!
เมื่อเห็นดังนั้น ฝูอวิ๋นซานก็มีแนวคิดที่ไม่เห็นด้วยเล็กน้อย จึงพูดว่า
“พี่จ้งเหยียน ไม่ว่าท่านจะพูดอย่างไร ช่วงเวลาหนึ่งชั่วยามสุดท้ายนี้ หากให้นางเข้าร่วมเกรงว่าจะไม่เหมาะสมกระมัง”
ซุนจ้งเหยียนเอามือไพล่หลัง ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“หรือว่า เป็นเพราะพี่อวิ๋นซานจะกลัวว่าฉู่หลิวเยว่จะสามารถแซงลูกศิษย์สำนักของท่านได้ในช่วงชั่วยามสุดท้ายหรือ”
ใบหน้าของฝูอวิ๋นซานแข็งค้างไป
นี่มันเป็นการยั่วยุแบบตรงๆ!
แต่ว่ามันก็ได้ผลอย่างมาก!
ถ้าเขาไม่เห็นด้วยอีกครั้งล่ะก็ นั่นถือเป็นการยอมรับกลายๆ ว่าลูกศิษย์ของเขากลัวฉู่หลิวเยว่ไม่ใช่หรือ?
เขาจึงพูดเสียงเย็นๆ ว่า
“ในเมื่อเจ้าพูดเช่นนี้แล้ว ข้าก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่จะคัดค้าน! แต่ว่ามันจะมีเพียงครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น”
ซุนจ้งเหยียนหันไปมองเฉิงหันอีกครั้ง
“พี่เฉิงหันท่านว่าอย่างไรเล่า?”
ขนาดฝูอวิ๋นซานยังตอบตกลงแล้ว หากเขาปฏิเสธอีกครั้ง ก็ดูเป็นคนใจแคบขึ้นมาทันที
เฉิงหันจึงโบกแขนเสื้อแล้วกล่าวว่า
“ในเมื่อพวกท่านยืนยันเช่นนั้น ก็ขึ้นเวทีไปเถอะ”
เขาไม่เชื่อว่า ฉู่หลิวเยว่ปรมาจารย์ขั้นสองคนหนึ่งจะสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้
ซือถูซิงเฉินเหลือบตามองฉู่หลิวเยว่ด้วยความไม่สบายใจ ไม่รู้ว่าทำไมนางถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นนี้
“อาจารย์ ท่านเห็นด้วยที่จะให้นางลงแข่งต่อไปเช่นนี้หรือเจ้าคะ นี่มัน…น่าจะไม่เหมาะสมนะเจ้าคะ”
“ไม่เหมาะสมแล้วจะทำอันใดได้เล่า? เจ้าไม่เห็นหรือว่าซุนจ้งเหยียนต้องช่วยฉู่หลิวเยว่ผู้นั้นอย่างเต็มที่ เหมือนว่าฉู่หลิวเยว่จะไม่ใช่ศิษย์ของเขา แต่ไม่รู้ทำไมเขาถึงใส่ใจนางขนาดนี้…”
เฉิงหันพูดขึ้นพร้อมกระตุกริมฝีปากเหยียดยิ้มอย่างรังเกียจ
“น่าจะเพราะว่าสำนักของเขาไม่มีคนเหลือแล้วล่ะมั้งเจ้าคะ นี่จึงเป็นวิธีเดียวที่จะสามารถนำคนขึ้นไปเสริมได้ แต่ว่าการนำตัวฉู่หลิวเยว่มาช่วยรักษาหน้า พวกเขาช่างมีความคิดที่แปลกจริงๆ”
“พวกเราสนใจเรื่องการประลองก็พอ หากจนสุดท้ายนางไม่สามารถทะลวงด่านที่หนึ่งได้ นั่นก็ถือว่าเป็นเรื่องตลกเรื่องใหญ่แล้ว!”
…
เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนผ่อนคลายลง ซุนจ้งเหยียนก็สบายใจขึ้นเล็กน้อย
ฉู่หลิวเยว่กล่าวขอบคุณอย่างซาบซึ้ง
“ขอบคุณท่านอาวุโสซุนมาก”
ซุนจ้งเหยียนโบกมือไปมา
“ยังมีอันใดที่ต้องขอบคุณกันอีก เจ้ารีบขึ้นไปเถอะ! ตอนนี้เหลือเพียงหนึ่งชั่วยามสุดท้ายหลังการประลองจะจบลง เจ้าทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องอื่นๆ ไม่ต้องคิดมาก”
ความจริงแล้วเขาก็ไม่ได้หวังอันใดมาก
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าตอบรับเบาๆ
“ศิษย์จะทำให้เต็มที่”
เมื่อพูดจบ นางก็เดินไปอยู่ด้านข้างของอาจารย์ผู้ตัดสิน พร้อมหยิบป้ายไม้ของตัวเองออกมา
ซีหว่านหว่านมองไปที่นางแล้วขมวดคิ้วแน่น
เพราะว่าวันก่อนที่มีการประลองการต่อสู้ นางได้อันดับต่ำกว่าฉู่หลิวเยว่ ในใจของซีหว่านหว่านจึงเต็มไปด้วยความอิจฉาและหวาดกลัว
เมื่อเห็นก้อนเล็กๆ สีแดงที่หมอบอยู่บนไหล่ของฉู่หลิวเยว่ในใจของนางก็รู้สึกวิตกเล็กน้อย ท่าทางของนางก็ไม่ได้เก็บงำแบบซือถิง
นางแทบจะไม่สามารถเก็บอาการได้แล้ว
“เดิมทีข้าคิดว่าเจ้าสามารถคว้ารางวัลชนะเลิศของประเภทต่อสู้มาได้แล้ววันนี้จึงไม่อยากมาร่วมแข่งขัน”
ฉู่หลิวเยว่เหลือบสายตามองนางเล็กน้อย แล้วพูดว่า
“ทำไมข้าถึงต้องไม่มาล่ะ ถ้าไม่มาแล้วจะหาเรื่องสนุกๆ เช่นนี้ได้ที่ไหนอีก?”
ขณะที่พูด สายตาของนางก็จับจ้องไปที่ข้อมือของซีหว่านหว่าน
หัวใจของซีหว่านหว่านกระตุกวูบ
หรือว่าฉู่หลิวเยว่จะรู้แล้ว
เป็นไปไม่ได้
การกระทำของนางไร้เสียงไร้ปราณ ขนาดอาจารย์ผู้ตัดสินที่ยืนข้างๆ ยังไม่รู้สึก ฉู่หลิวเยว่เพิ่งกลับมาไม่นาน ทำไมถึงมองมันออกเล่า?
เช่นนั้นก็ต้องหลอกล่อนางสักหน่อย
ซีหว่านหว่านส่งรอยยิ้มแข็งๆ ออกมา
“ดูไม่ออกเลยว่าเจ้ากับซือถิงจะมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน หรือว่าเจ้าก็คิดว่าเป็นฝีมือของข้าเช่นกัน ว่าข้าจงใจทำให้เขาแพ้?”
ฉู่หลิวเยว่กดยิ้มลึก
“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ มันเกี่ยวข้องกับสายตา”
นางยกมือกุมหัวขึ้น ก่อนจะลดลงแล้วชี้ไปที่ดวงตา
“ตาของข้า มองเห็นสิ่งสกปรก”
ซีหว่านหว่านตัวแข็งค้างไป
ในเวลานี้อากาศกำลังดี แต่เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับรอยยิ้มของฉู่หลิวเยว่เช่นนี้นางก็รู้สึกหนาวสั่นตั้งแต่ฝ่าเท้าขึ้นมา
ราวกับว่า…ทุกอย่างล้วนถูกมองจนทะลุแล้ว
นางเบือนสายตาออกอย่างประหม่า ราวกับว่าไม่มีอันใดจะพูดแล้ว จากนั้นนางก็เดินหมุนตัวออกมาทันที
ฉู่หลิวเยว่จ้องแผ่นหลังของนางอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะออกมา
ไม่รู้จริงๆ ว่าซีหว่านหว่านคนนี้โง่หรือว่าโง่กันแน่
หรือนางคิดจริงๆ ว่าจะไม่มีใครเห็นวิธีสกปรกของนางเลย
แต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะสืบสวนอันใดทั้งนั้น นางรีบดึงสายตากลับมาทันที และสาวเท้าขึ้นเวทีไป
เขาได้พบกับซือถิง
เมื่อสองสายตาประสานกัน ซือถิงก็มีสีหน้าสับสนอยู่เล็กน้อย สุดท้ายเขาจึงพูดแค่ว่า
“ระวังตัวด้วย ทำให้เต็มที่ก็พอแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่หัวเราะเบาๆ แล้วพยักหน้า
ในครั้งนี้ซือถิงรู้สึกเสียดายอย่างมาก
ถ้านับตามฝีมือที่แท้จริงของเขา เขาจะต้องได้ที่หนึ่งอย่างแน่นอน
น่าเสียดายที่หนทางถูกซีหว่านหว่านหน้าตายผู้นั้นทำลายไปหมดแล้ว
หลังจากทั้งสองคนเดินสวนกันขึ้นมาแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ก็เดินไปนั่งตามที่นั่งในหมายเลข
บนกระดานนั้น ขนาดหมากรุกยังไม่ถูกวางเลย ทุกอย่างยังไม่ได้เปิด
นางกลั้นหายใจพร้อมกำที่ข้อมือเบาๆ ลวดลายอักขระบนกระดานก็เปลี่ยนไป
ด่านที่หนึ่ง ก็ขึ้นมาปรากฏอยู่ตรงหน้าของนางทันที!