ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 255 เผา
ตอนที่ 255 เผา [รีไรท์]
“เยี่ยนชิง กลับไปแล้วเอาเสื้อผ้าลายเมฆออกไปเผาทิ้งให้หมด”
หรงซิวพูดอย่างเกียจคร้าน
“จำเอาไว้ ให้เผานอกจวน อย่าทำให้อากาศในจวนมีมลทิน”
เยี่ยนชิงที่ขี่ม้าอยู่ด้านนอกรับขานรับทันที
“พ่ะย่ะค่ะ!”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาปริบๆ แต่ทันใดนั้นในใจกลับคาดเดาอันใดได้บางอย่าง เสื้อผ้าเหล่านั้นของหรงซิวยังดีๆ อยู่เลย แต่กลับจะเอามันไปเผาทิ้งทั้งหมด…
นางจึงกดเสียงต่ำลง
“หรงซิว เจ้าจะเอามันไปเผาทิ้งทั้งหมดจริงๆ หรือ?”
หรงซิวเอนตัวอย่างผ่อนคลาย
ท่าทางเครียจคร้าน ใบหน้าคล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม
“เสื้อผ้าแค่ไม่กี่ตัวเองทิ้งไปแล้วมันทำให้เยว่เอ๋อร์มีความสุขขึ้นเช่นนั้นก็คุ้มค่าแล้ว”
เสื้อผ้าไม่กี่ตัว?
งั้นเกรงว่าเสื้อผ้ามากกว่าครึ่งของเขาจะเป็นลายเมฆเช่นนี้หมดเลยไม่ใช่หรือ?
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
“ก่อนหน้านี้เจ้าเพิ่งบอกว่าเจ้าชอบลายนี้มากไม่ใช่หรือ?” หรงซิวหันมามองนาง แววตาก็มีประกายรอยยิ้มประดับขึ้น
“แต่ข้าชอบเจ้ามากกว่า”
หากมาเทียบกันแล้วของเหล่านั้นเป็นของนอกกาย
ฉู่หลิวเยว่หัวใจเต้นแรง เหลือบสายตามองด้านข้างของเขา จากนั้นก็หยิบเสื้อคลุมตัวที่วางอยู่ด้านข้างโยนขึ้นไปโยนตัวของเขา
“หรงซิวเจ้าไม่กลัวเป็นหวัดหรอกหรือ?”
หรงซิวหัวเราะเสียงดัง แล้วคว้าเสื้อคลุมไว้
เดิมทีฉู่หลิวเยว่คิดว่าจะแสร้งทำเป็นเคร่งครึ้ม แต่เมื่อได้ยินเสียงที่เต็มไปด้วยความดีใจของหรงซิว หลังจากนั้นไม่นานนางก็เผลอยิ้มออกมา
“เกรงว่าครั้งนี้หรงซิวจะต้องสูญเงินไปเป็นจำนวนมาก”
“เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แค่นั้นข้าไม่ใส่ใจหรอก แต่ตอนนี้เป็นช่วงต้นฤดูใบไม้ร่วง อากาศก็จะหนาวเย็นเล็กน้อย”
รอยยิ้มในดวงตาของหรงซิวยังไม่จางหาย ทันใดนั้นเขาก็คว้ามือของนางเอาไว้ พร้อมลากนางเข้ามาในอ้อมกอดเบาๆ
“ตอนนี้ ไม่หนาวแล้ว”
ตอนแรกฉู่หลิวเยว่คิดจะขืนตัวออกมา แต่เมื่อได้ยินหรงซิวส่งเสียง ‘ซู่ว’ ออกมา
นางก็ชะงักตัวไปอย่างกะทันหัน นางเพิ่งรู้สึกตัวว่าตอนนี้พวกเขายังอยู่ในรถม้า หากทำตัวส่งเสียงดังออกไปเกรงว่าคนอื่นอาจจะได้ยินเอาได้ต่อให้มีสิบปากก็ล้างมลทินไม่สะอาดแน่นอน
นางหันหน้ากลับมามองหรงซิวพร้อมส่งสายตาตักเตือน หรงซิวเองก็ยืดหลังตรง พร้อมขยับตัวเข้าใกล้นางเสียงพูดก็เบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน
“วางใจเถอะ ข้าเป็นเด็กดีมาก”
ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วนางก็ไม่มีประโยชน์ที่จะดิ้นรนอีกต่อไป ฉู่หลิวเยว่เองก็ปล่อยเขาไป จากนั้นก็เปลี่ยนเรื่องพูดแล้วถามเขา
“ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่ามีเรื่องให้ข้าช่วย เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับเจินเป่าเก๋อหรือ?”
หรงซิวหัวเราะเสียงเบา
“ความจริงแล้วก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อันใด เพียงแค่ข้าคิดถึงว่าที่พระชายามากไปหน่อยเท่านั้น ก็เลยต้องเชิญให้เจ้ามาช่วย”
ฉู่หลิวเยว่ทั้งโกรธทั้งขบขัน
“หลีอ๋องที่สง่างามไร้คนเทียบ ไม่ว่าจะเดินไปที่ใดก็มีสาวงามจำนวนนับไม่ถ้วนคอยตามหลังอยู่ตลอด เมื่อรวมกับทักษะในการเกี้ยวพาราสีของท่าน ไม่รู้ว่าจะมีผู้หญิงจำนวนมากน้อยเท่าใดที่ต้องใจในตัวท่าน”
นางพูดเรื่องจริง แม้ว่าปกติแล้วหรงซิวจะดูอ่อนโยนดุจดั่งหยก แต่ร่างกายของเขากลับมีออร่าที่เหมือนแบ่งแยกคนอื่นอยู่เสมอ แม้ว่าจะมีผู้หญิงไม่น้อยที่แอบหลงรักเขาหัวปักหัวปำ แต่คนที่จะกล้าเข้าไปทำความรู้จักนั้นมีเพียงไม่กี่คน
หากคนพูดอย่างสองประโยคข้างต้นนั้น เกรงว่าผู้หญิงทั้งโลกนี้จะต้องตกหลุมรักเขาแน่นอน
ก่อนหน้านี้เขารักษาตัวอยู่ที่หมิงเยว่เทียนซานไม่ใช่หรือ?
ที่แห่งนั้นไม่ใช่ว่าใครจะไปก็ได้ หรงซิวอยู่ที่นั้นตั้งหลายปีต่อให้เขาไม่ได้เป็นคนที่มีจิตใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง ก็ไม่น่าจะเป็นคนที่เกี้ยวพาราสีเก่งเช่นนี้
ไม่…นางเกือบลืมไปเลย เหมือนว่าในร่างกายของเขายังมีตัวตนที่ถูกเก็บเป็นความลับอยู่อีก ‘บุตรแห่งร่างทองคำศักดิ์สิทธิ์’
เพียงแต่ว่าหรงซิวไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย และนางเองก็ไม่เคยถามมาก่อน
“เช่นนั้น เยว่เอ๋อร์ยังรวมอยู่ในกลุ่มเหล่านั้นหรือไม่?”
หรงซิวถามอย่างยิ้มๆ
เมื่อเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ปิดปากเงียบไม่พูดไม่จา ราวกับว่าไม่อยากจะยอมรับมัน เขาเองก็ไม่ได้ใส่ใจจึงถามเสียงเบาว่า
“ความจริงแล้วข้าเองก็มีความสามารถพิเศษอยู่หนึ่ง มีเยว่เอ๋อร์คนเดียวเท่านั้นที่รู้เรื่องนี้”
ฉู่หลิวเยว่หันหน้ากลับมามองอย่างสงสัย พร้อมถามว่า
“อันใดหรือ?”
หรงซิวกดยิ้มลึกขึ้น และขยับเข้ามาใกล้อีกเล็กน้อย แววตาของเขาคล้ายกับว่าจะมีดวงดาวพราวระยับอยู่ด้านใน น้ำเสียงเบามากจนแทบจะไม่ได้ยิน
“รอพวกเราแต่งงานกัน…เดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง”
…
หรงซิวเองก็ไม่กล้าอวดดี เขากอดคนที่อยู่ในอ้อมกอดสักพัก จากนั้นก็ปล่อยตัวอีกฝ่ายออกมา
รอจนรถม้ามาจอดอยู่ที่หน้าเจินเป่าเก๋อ หรงซิวจึงหยิบเสื้อคลุมตัวใหม่ออกมาใส่
เสื้อผ้าชุดนี้คล้ายกับตัวที่โยนทิ้งไปเมื่อก่อนหน้านี้มาก เพียงแต่ว่าลวดลายในการปักไม่เหมือนกัน
หากไม่มองดีๆ ก็แทบจะไม่เห็นถึงความแตกต่างเลย
เดิมทีหรงซิวไม่อยากจะใส่มันเลยด้วยซ้ำ แต่ว่าฉู่หลิวเยว่ได้ขึ้นรถม้าเขามาแล้ว คนมากมายต่างก็เห็น หากให้คนอื่นเห็นอย่างชัดเจนว่าเขาได้เปลี่ยนเสื้อระหว่างทางจะทำให้ฉู่หลิวเยว่เสื่อมเสียชื่อเสียง
หรงซิวก้าวลงจากรถม้าก่อนหนึ่งก้าว เยี่ยนชิงเองก็ยืนรออยู่ข้างๆ อยู่แล้ว
ส่วนฉู่หลิวเยว่ก็เดินตามมาทันที เขาพบว่าพวกเขามาถึงเจินเป่าเก๋อแล้วจริงๆ
นางจึงหันไปมองหรงซิวอย่างสงสัย คาดไม่ถึงว่าเขาจะพานางมาที่นี่จริงๆ
เมื่อพนักงานเห็นว่ามีรถม้ามาจอดที่หน้าประตูก็รีบเข้ามาต้อนรับอย่างกระตือรือร้น เขาเห็นสัญลักษณ์บนรถม้าตั้งนานแล้วว่าเป็นของจวนหลีอ๋องหลีหวัน
“คารวะหลีอ๋อง พ่ะย่ะค่ะ!”
หลังจากฉู่หลิวเยว่ลงมาจากรถม้าแล้ว ใบหน้าของพวกเขาก็มีความกระตือรือร้นเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน
“คุณหนูหลิวเยว่ ท่านมาแล้ว! ใตเท้าฉู่หนิงเพิ่งมาถึงขอรับ นายท่านทั้งโปรดตามข้ามาด้านในเถอะขอรับ”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
“พ่อของข้า? เหตุใดเขาถึงมาที่นี่ได้ล่ะ?”
คนนั้นกำลังจะอธิบาย แต่ฉู่หนิงที่เพิ่งเดินเข้าห้องโถงกลับได้ยินเสียงเหล่านั้นพอดี จึงรีบออกมาทันที
เมื่อเห็นฉู่หลิวเยว่ เขาก็รีบสาวเท้ามาข้างหน้าโดยทันที
“เยว่เอ๋อร์!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกว่าช่วงเวลาสั้นเพียงหนึ่งวัน แต่ต่อหนวดบนใบหน้าของฉู่หนิงก็ขึ้นเขียวครึ้ม
“ท่านพ่อ เยว่เอ๋อร์ผิดเอง ทำให้ท่านกังวลแล้ว”
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกผิดอย่างมาก
ฉู่หนิงกวาดสายตาสำรวจตัวนางจนทั่วแล้วถอนหายใจออกมา
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว! พ่อได้ยินจากคุณชายรองเหยียนว่าเจอเจ้าแล้ว จึงรีบกลับมา แต่นึกไม่ถึงว่าเมื่อเจ้ากลับมาแล้วจะไปที่เข้าร่วมงานเทศกาลเยาวชนที่สนามจยาหนานทันที ตอนแรกพ่อคิดว่าจะไปหาเจ้าที่นั่น แต่เจ้ากลับมาอยู่ที่แล้ว”
ตอนนั้นเองเหยียนเก๋อก็หัวเราะเสียงดังแล้วเดินเข้ามาพอดี
“ฮ่าๆ จริงสิ! ดูเหมือนว่าการแข่งขันของเจ้าจะราบรื่นดีสินะ”
ขณะที่พูดเขาก็หันมองไปทางหรงซิว เขาโค้งตัวทำความเคารพ ใบหน้ามีรอยยิ้มที่เปี่ยมด้วยความกระตือรือร้น
“ที่แท้หลีอ๋องก็มาที่นี่ด้วย”
ฉู่หลิวเยว่สงบใจลงนิดหน่อย จากนั้นก็หันไปมองทางหรงซิวแล้วพูดอย่างจริงจังว่า
“ได้ยินจากคุณชายรองเหยียนว่า ครั้งนี้ก็เป็นหลีอ๋องที่ช่วยเหลือเยว่เอ๋อร์เอาไว้หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หรงซิวยิ้มบางๆ
“คุณชายรองเหยียนที่ชมเกินจริงไป ความจริงแล้วข้าก็แค่ผ่านทางไปเท่านั้นเอง”
ในใจของฉู่หนิงกลับมีความรู้สึกหวาดกลัว
“ไม่ว่าจะพูดอย่างใด ก็ต้องขอบพระทัยหลีอ๋อง ก่อนหน้านี้ก็ช่วยพวกเราสองพ่อลูกเอาไว้หลายครั้งแล้ว ครั้งนี้ก็ยังรบกวนท่านอีก พวกเราไม่รู้จะขอบคุณอย่างใดแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองเหยียนเก๋ออย่างสงสัย ความจริงแล้วหลังจากที่นางกับหรงซิวกลับมา เหมือนว่าหรงซิวที่อยู่ในป่าจะส่งสัญญาณออกไปหลังจากนั้นเพียงไม่นานเยี่ยนชิงก็มาถึงแล้ว แล้วหลังจากที่เดินไปไม่นานเขาก็พบกับเหยียนเก๋อที่กำลังหานางอยู่
ตามคำบอกของเหยียนเก๋อ เหมือนว่าเขาจะได้รับคำไหว้วานจากฉู่หนิงให้มาค้นหานาง
แต่ตอนนี้เรื่องทั้งหมดกลับผลักไปอยู่ที่หรงซิวได้ล่ะ?