ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 262 เสียใจและสํานึกผิดกับสิ่งที่ทําในตอนแรก
ตอนที่ 262 เสียใจและสํานึกผิดกับสิ่งที่ทําในตอนแรก [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่หันไปมองทางนั้นอย่างตั้งใจ
มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งใบหน้าซีดขาวยืนอยู่ตรงนั้น ด้านหน้าของเขามีเตาหลอมโอสถที่เปลวไฟมอดลงไปแล้ว ด้านในเหลือเพียงขี้เถ้าก้อนดำๆ
เสียงที่ได้ยินนั้น คือเสียงที่ดังมาจากด้านใน
นั่นคือการหลอมโอสถล้มเหลว
เมื่อดูจากเสื้อผ้าแล้ว เขาคือศิษย์จากสำนักไท่เหยี่ยน
อาจารย์ผู้ตัดสินที่อยู่ด้านข้างได้กล่าวเตือนขึ้นว่า
“เจ้ายังมีโอกาสอีกหนึ่งครั้ง”
เด็กหนุ่มคนนั้นถึงได้สติกลับคืนมา จากนั้นก็รีบพยักหน้ารัวๆ พร้อมรีบนำเตาหลอมไปทำความสะอาด และหยิบสมุนไพรห่อที่สองออกมาหลอมอีกครั้ง
บางทีเพราะความล้มเหลวในครั้งแรก จึงทำให้เขารู้สึกประหม่ามากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มือที่ใช้หยิบสมุนไพรจึงสั่นอยู่ตลอดเวลา
อาจารย์ผู้ตัดสินแอบส่ายหน้าเล็กน้อย
ส่วนบางคนที่ดูอยู่ ก็ถอนหายใจออกมาเช่นกัน
สถานการณ์แบบนี้พวกเขาเห็นมานักต่อนักแล้ว
ภายใต้การแข่งขันนั้นมีความกดดันอย่างมาก เมื่อล้มเหลวไปแล้วหนึ่งครั้ง มันจึงเป็นการโจมตีครั้งใหญ่
มีศิษย์หลายคนที่จิตใจไม่แข็งแกร่งพอ หลังจากที่หลอมโอสถครั้งแรกล้มเหลว ก็หมดความมั่นใจอย่างรวดเร็ว การหลอมครั้งที่สองจึงล้มเหลวอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้นไม่นาน เด็กหนุ่มคนนั้นก็สับสน และหยิบสมุนไพรผิดลำดับขั้นตอน กว่าที่เขาจะรู้ตัว เขาก็ต้องเริ่มหยิบสมุนไพรออกมาจากเตาหลอมใหม่อีกครั้ง
ด้วยการเคลื่อนไหวแบบนี้ จึงไม่สามารถควบคุมไฟที่อยู่ใต้เตาหลอมได้ จากนั้นจึงระเบิดขึ้นอีกครั้ง!
สมุนไพรที่ไม่สามารถหลอมเป็นโอสถได้นั้น ก็ต้องเสียเปล่าไปทั้งอย่างนั้น
อาจารย์ผู้ตัดสินก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา เขาส่ายหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“หมายเลยสามสิบเจ็ด ตกรอบ!”
เมื่อได้ยินเสียงนั้น เด็กผู้ชายคนนั้นก็ตัวสั่นขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความพ่ายแพ้ จากนั้นก็เดินลงจากเวทีไปอย่างหมดแรง
“เด็กคนนั้นคือคนที่ตกรอบคนแรกของปีนี้เลยใช่หรือไม่?”
“คาดไม่ถึงจริงๆ ว่าการหลอมครั้งที่สองจะไม่ได้ดีเท่าครั้งแรก ร้ายดีอย่างใดก่อนหน้านี้ก็กลั่นสมุนไพรออกมาได้แล้ว แต่การหลอมรวมเท่านั้นที่มีปัญหา!”
“น่าจะเป็นเพราะว่าเขาตื่นเต้นเกินไปล่ะมั้ง…อย่าว่าแต่คนอื่นเลย ตอนที่ข้าดูหัวใจข้าก็แทบหยุดเต้น!”
“ถือว่าไม่มีทั้งพรสวรรค์และฝีมือ! เจ้าดูซือถูซิงเฉินสิ ตั้งแต่ขึ้นเวทีมาจนถึงตอนนี้ นางก็ยังสงบมากเลย แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่นางเข้าร่วมงานสมาคมเยาวชน แต่ฝีมือการหลอมโอสถนั้น กลับดูราบรื่นมากกว่าคนอื่นเสียอีก”
“ไม่ว่าอย่างใดนางก็เป็นองค์หญิงใหญ่ของแคว้นซิงหลัว สมคำร่ำลือแล้วจริงๆ…”
…
ซือถูซิงเฉินมาที่นี่ครั้งนี้เพื่อหวังที่หนึ่ง ดังนั้นตั้งแต่แรกนางจึงเลือกใบเทียบยาระดับที่ยากที่สุดโดยไม่ลังเล
ดังนั้นสมุนไพรที่วางอยู่ด้านข้างของนาง จึงมากกว่าคนอื่นหลายเท่าตัว
ส่วนผู้เข้าแข่งขันคนอื่นที่เลือก ระดับกลาง หรือ ระดับต่ำ นั้นก็เริ่มทำการหลอมกันแล้ว แต่นางกลับยังยุ่งอยู่กับการจัดสมุนไพรให้เป็นระเบียบอยู่
จากนั้นก็มีคนโดนคัดออกมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อซือถูซิงเฉินได้ยินเสียงเหล่านั้น นางไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย มีเพียงเงยหน้าขึ้นมาในบางครั้ง พร้อมกวาดตามองคนที่เลือก ระดับสูง แบบเดียวกับนางนั้นมีความคืบหน้าเป็นอย่างใดบ้างแล้ว
ส่วนคนอื่นๆ ล้วนไม่ได้อยู่ในสายตาของนางเลย
…
เวลาค่อยๆ ผ่านไป คนตกรอบก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อมาถึงเวลาเที่ยง ก็เหลือผู้เข้าแข่งขันเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้น
ฉู่หลิวเยว่กำลังรอให้คนคนนั้นปรากฏตัวอยู่ตลอด หลังจากกวาดสายตาไปมอง แต่ฝ่ายตรงข้ามกลับไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ทั้งนั้น
ในใจของนางรู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่ว่าก็ไม่ได้ผ่อนคลาย นางยังคงเฝ้ารอ และระวังตัวอยู่ตลอด
ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามมาอยู่ที่นี่แล้ว เช่นนั้นเขาจะต้องมีแผนการอันใดแน่นอน
ตอนนี้มีคนอยู่ในงานมากมายขนาดนี้ ไม่เหมาะแก่การลงมือ บางทีอาจจะต้องรอให้งานจบก่อน…
…
จักรพรรดิจยาเหวินมองดูการแข่งขัน แล้วหัวเราะออกมาว่า
“ซือถูซิงเฉินนี่โดดเด่นจริงๆ หลายปีก่อนที่เจิ้นได้เจอกับนาง นางเป็นแค่เด็กตัวน้อยๆ ตอนนี้รูปงามขึ้นมากเลย”
ไม่ว่าจะหน้าตาหรือพรสวรรค์ล้วนโดดเด่นทั้งนั้น
จักรพรรดินีมองหน้าสีหน้าจักรพรรดิจยาเหวิน เหมือนว่าพระองค์จะชอบซือถูซิงเฉินอย่างมาก นางจึงยิ้ม และกล่าวชมเชยว่า
“ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง ผู้หญิงอย่างเช่นซือถูซิงเฉิน หาได้ยากจริงๆ เหมือนว่าตอนนี้นางยังไม่ได้หมั้นหมายใช่หรือไม่เพคะ?”
จักรพรรดิจยาเหวินหัวเราะเสียงดัง
“ถูกต้อง! บิดาของนางนั้นรักนางมาก จึงไม่ยอมเต็มใจให้นางแต่งงานออกไป บอกอยู่เสมอว่าให้รอก่อน แต่ว่า…”
แต่ว่า ก่อนหน้านี้พวกเขาได้ติดต่อกันผ่านทางจดหมายมาก่อน บิดาของนางก็คือซือถูโย่ว จักรพรรดิจิ้งคังคนปัจจุบันของแคว้นซิงหลัว กลับพูดถึงเรื่องราวการหมั้นเอาไว้แล้ว
ส่วนคู่หมั้นของนางก็คือ องค์รัชทายาทหรงจิ้น!
แต่คนที่รู้ข่าวนี้มีไม่มาก เหมือนว่าซือถูโย่วจะพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเล่นๆ เท่านั้น
แต่กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ เขาจะมาพูดล้อเล่นกับเรื่องแบบนี้ได้อย่างใด?
ในใจของจักรพรรดิจยาเหวินนั้นรู้ดี ซือถูโย่วกำลังหยั่งเชิงเขาอยู่
แน่นอนว่าเขาพอใจในตัวของซือถูซิงเฉินอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดซือถูโย่วถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมา
ในแคว้นซิงหลัว ซือถูซิงเฉินก็สามารถหาราชบุตรเขยที่เหมาะสมได้? แต่ทำไมถึงจะให้มาแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์?
อีกทั้งยังเลือกหรงจิ้นอีก?
แน่นอนว่าจักรพรรดินีย่อมรู้ว่าเขากำลังคิดเรื่องนี้อยู่
ตอนแรกพระองค์เคยพูดเรื่องนี้กับนางอย่างไม่ตั้งใจ แต่ตอนนั้นเหมือนว่านางจะไม่ได้ใส่ใจมาก
แต่ว่าเมื่อมาคิดถึงตอนนี้แล้ว กลับเป็นตัวเลือกที่ดี…อย่างน้อยก็แข็งแกร่งกว่าฉู่หลิวเยว่!
หากฝ่าบาทจะให้สมรสพระราชทาน เช่นนั้นหรงจิ้นก็ยากที่จะคัดค้าน และยิ่งไม่ต้องพูด หากอีกฝ่ายเป็นถึงองค์หญิงใหญ่แห่งแคว้นซิงหลัว!
นางหัวเราะเหมือนหยอกล้อแล้วกล่าวว่า
“ก็ไม่รู้ว่าใครจะเป็นคนที่โชคดีคนนั้นนะเพคะ ที่สามารถสู่ขอองค์หญิงพระองค์นั้นมาได้”
จักรพรรดิจยาเหวินครุ่นคิดเล็กน้อย
ส่วนหรงจิ้นก็ขมวดคิ้วเงียบๆ
ความจริงแล้วเรื่องนี้นางก็เคยได้ยินจากเสด็จแม่มาก่อน และยังเคยคิดเกี่ยวกับมันด้วย
แต่มันจะเป็นการทำให้เสด็จพ่อโกรธขึ้นมาอีกได้
ช่วงนี้เขาพ่ายแพ้มาหลายครั้งติดต่อกัน เดิมทีเขาคิดว่าเขาไม่มีหวังแล้ว แต่มาดูตอนนี้ เหมือนว่าเสด็จพ่อจะยังไม่มีได้มีการปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง
แต่…ถ้าให้เขาเลือกพระชายาในดวงใจ ก็ย่อมเลือกฉู่หลิวเยว่อยู่แล้ว!
ถ้าเป็นเขาในตอนก่อนหน้านี้ เขาจะดีใจมากที่ได้แต่งงานกับซือถูซิงเฉิน
ใครจะไม่อยากได้พระชายาที่สมบูรณ์แบบบ้างเล่า?
แต่ตอนนี้ในใจของเขามีเพียงฉู่หลิวเยว่คนเดียวเท่านั้น ไม่ว่าจะพูดอย่างใด เขาก็ไม่อยากให้เปลี่ยนเป็นคนอื่น
เขากระแอมไอหนึ่งครั้ง พร้อมพูดกับหรงฉีที่นั่งอยู่ด้านข้างเขาว่า
“ได้ยินมาว่าการประลองเมื่อสองวันก่อน ฉู่หลิวเยว่เป็นคนชนะทั้งสองครั้งเลยหรือ?”
หรงฉีชะงักไป
พี่ใหญ่ของเขาผู้นี้เกลียดฉู่หลิวเยว่คนนั้นมากไม่ใช่หรือ? ทำไมตอนนี้อยู่ถึงพูดถึงนางขึ้นมาได้ล่ะ?
จากนั้นเขาก็นึกได้ว่า เมื่อสองวันก่อนท่าทางการปฏิบัติของรัชทายาทที่มีต่อฉู่หลิวเยว่เปลี่ยนไป อย่างน้อยก็เคยเชิญนางในที่สาธารณะด้วย
แต่ว่าก็ถูกนางปฏิเสธกลับมา
เอาตามความเข้าใจของเขา เขาไม่ควรจะมีความเกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่อีกต่อไปแล้ว
หรงฉีพยักหน้า
“เหมือนว่าจะใช่…หลายวันก่อนน้องไม่ได้มา ดังนั้นจึงไม่รู้สถานการณ์โดยละเอียด… แต่ว่าเสด็จพี่ เหตุใดจู่ๆ ถึงพูดถึงนางขึ้นมาได้พ่ะย่ะค่ะ? ไม่ใช่ว่าท่าน…”
หรงจิ้นหัวเราะ
“นางช่วยข้ามาครั้งหนึ่ง ข้ายังไม่ทันได้ขอบคุณนางต่อหน้าเลย”
หรงฉีกลับรู้สึกแปลกใจมากยิ่งกว่าเดิม เมื่อตอนที่หรงจิ้นพูดถึงฉู่หลิวเยว่นั้น แววตามีประกายแปลกๆ แผ่ออกมาด้วย
เมื่อจักรพรรดิจยาเหวินได้ยินดังนั้น ก็หันไปมองหน้าเขา
คาดไม่ถึงว่าหรงจิ้นจะช่วยพูดให้ฉู่หลิวเยว่?
ดูเหมือนว่าเรื่องราวในช่วงนี้ เปลี่ยนแปลงตัวเขาไม่น้อยเลยทีเดียว
“หลิวเยว่ เด็กคนนั้น เป็นคนดีมากจริงๆ”
หรงจิ้นพยักหน้า แล้วหัวเราะอย่างขื่นขม
“เสด็จพ่อพูดถูก ก่อนหน้านี้ลูกตาไม่มีแวว ถึงได้มองพลาดไป ตอนนี้ลูก…”