ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 282 หินหยาบ
ตอนที่ 282 หินหยาบ [รีไรท์]
ทุกคนต่างพากันมองไปยังฉู่หลิวเยว่ด้วยความอึ้ง นางรู้หรือไม่ว่าตัวเองกำลังพูดอะไรอยู่?
ชีพจรตี้จิง นั่นเป็นอัจฉริยะที่ร้อยปีกว่าจะเจอสักหนึ่งคนเลยนะ!
ในประวัติศาสตร์ของแคว้นเย่าเฉิน มีคนแบบนี้อยู่น้อยมาก แต่ละคนต่างก็โดดเด่นมีชื่อเสียง
ในตอนที่ทุกคนยังเป็นเด็ก ต่างต้องผ่านการทดสอบการฝึกชีพจรกันทั้งนั้น
ถ้าเห็นว่าเป็นชีพจรตี้จิง ถ้าอย่างงั้นก็จะกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการฝึก
อีกอย่างอัจฉริยะแบบนี้ ต่อมาเมื่อเข้าสู้การฝึกฝนก็สามารถก้าวข้ามไปอย่างรวดเร็ว ถ้าเทียบกับการฝึกของคนปกติไม่รู้ว่าแข็งแกร่งกว่าตั้งเท่าไร
แต่ฉู่หลิวเยว่…
“ฉู่หลิวเยว่ พวกข้ารู้ว่าเจ้าได้ที่หนึ่งจากงานสมาคมเยาวชน และเป็นอัจฉริยะที่ไม่มีใครสู้ได้ แต่ว่าเจ้าแน่ใจรึว่าเจ้าคือชีพจรตี้จิง? ท่านรองแม่ทัพอยู่ที่นี่ เจ้าอย่าได้โกหกเชียวล่ะ!”
ผู้นำตระกูลลู่อย่างลู่หมิงเอ่ยปาก
“เจ้าบอกว่าเจ้าคือชีจรตี้จิง แต่ผ่านมาตั้งหลายปี เหตุใดถึงไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด? ฉู่เซียว ในเมื่อฉู่หลิวเยว่เคยเป็นคนของตระกูลฉู่มาก่อน พวกเจ้าน่าจะรู้สึกชัดเจนที่สุดใช่หรือไม่?”
ถ้าเป็นเรื่องจริงถ้างั้นตระกูลฉู่คงจะออกมาป่าวประกาศไปตั้งนานแล้ว จะปฏิบัติต่อฉู่หลิวเยว่ขนาดนี้ได้อย่างไร?
เมื่อคนอื่นๆ ได้ยินแบบนี้แล้วจึงมองไปยังฉู่เซียว เหมือนกำลังดูเรื่องสนุกอย่างดีใจ
ใครๆ ก็ฟังออกว่าลู่หมิงจงใจพูดคำพูดนี้ออกมา
เมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่เป็นคนของตระกูลฉู่ แต่ตอนนี้ไม่รู้ว่านางตัดขาดกับตระกูลฉู่อย่างเป็นทางการแล้วหรือไม่?
ทั้งสองฝ่ายหน้าแตกเป็นเสี่ยงๆ จนไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
โดยเฉพาะตระกูลฉู่ที่ถูกดูถูกไม่น้อย!
วันนี้เมื่อฉู่หลิวเยว่ได้เปลี่ยนไปแล้ว เปลี่ยนจากคนไร้ประโยชน์กลายเป็นอัจฉริยะ สุดท้ายคนที่รู้สึกเสียดายที่สุดก็ต้องเป็นตระกูลฉู่แน่นอน!
…
สีหน้าของฉู่เซียวไม่ได้ดูดีเหมือนตอนแรกอีกต่อไปแล้ว ที่จริงแล้วเขารู้สึกกระวนกระวายตั้งแต่ที่รู้ว่า ฉู่หลิวเยว่ได้ที่หนึ่งจากการแข่งขันต่อสู้แล้ว
ตอนแรกที่ฉู่หลิวเยว่สอบเข้าสำนักเทียนลู่ได้จนได้ที่หนึ่งจากการสอบกลางภาคได้ที่หนึ่ง พวกเขาก็ยังสามารถปลอบใจตัวเองได้ว่า ผลการเรียนนี้ดีกว่าฉู่เซียนหมิ่นแค่นิดเดียว ถือว่าไม่เสียหายสักเท่าไร
แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนกัน
เพราะเป็นงานสมาคมเยาวชน!
มันคือการแข่งขันกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันระหว่างอัจฉริยะของทั้งสามสำนัก!
สามารถคว้าที่หนึ่งจากในนี้มาได้ อีกอย่างยังได้ที่หนึ่งถึงสองด้าน ซึ่งสามารถยืนยันความเป็นอัจฉริยะได้แล้ว!
ฉู่เซียนหมิ่น!
นางได้ถูกทำลายล้างท่ามกลางเหล่าอัจฉริยะมากมายไปแล้ว และไม่มีใครพูดถึงอีกเลย ในทางกลับกันฉู่หลิวเยว่กลับชนะการแข่งขันและเป็นที่เลื่องลือทันที!
นางได้สะบัดฉู่เซียนหมิ่นออกไปตั้งนานแล้ว
ถ้าฉู่หลิวเยว่ยังเป็นคนในตระกูลของพวกเขา ต่อจากนี้ไปตระกูลฉู่ของพวกเขาสามารถเดินเล่นในเขตวังหลวงได้อย่างสบายแน่นอน!
แต่ว่าฉู่หลิวเยว่ไม่ได้มีความเกี่ยวข้ออะไรกับพวกเขาแล้ว
มิหนำซ้ำยังเป็นศัตรูอีกด้วย!
ถึงแม้ฉู่เซียวจะเกลียดฉู่หลิวเยว่เพียงใด แต่ตอนนี้เขาก็รู้สึกเสียดายจนโมโหหน้าเขียวไปแล้ว!
ลู่หมิงเห็นใบหน้าบูดบึ้งของฉู่เซียวก็แอบดีใจ
ช่วงนี้ชีวิตของลู่เหยาที่อยู่ในตระกูลฉู่ก็ไม่ได้สุขสบายนัก ทำเอาทั้งตระกูลลู่ของพวกเขารู้สึกอับอายจนไม่กล้าสู้หน้าใครแล้ว
ตอนนี้เขาจึงถือโอกาสนี้ล้างแค้นสักหน่อย!
“เมื่อก่อนฉู่หลิวเยว่เกิดมาพร้อมกับชีพจรที่บกพร่อง ต่อมาก็ไม่รู้ว่าหายดีได้อย่างใด ข้าจึงไม่แน่ใจว่านางเป็นชีพจรตี้จิงหรือไม่”
ฉู่เซียวพูดโดยเก็บความโกรธเอาไว้ในใจ
มู่ชิงเห่อหรี่ตา
ชีพจรบกพร่อง?
นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรในสายตาเขา แต่ในแคว้นเย่าเฉินนี้ คงจะไม่มีใครที่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้แน่นอน ถ้าฉู่หลิวเยว่หายจากการมีชีพจรที่บกพร่องจริงๆ การที่กลายเป็นชีพจรตี้จิงก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผลเรื่องหนึ่ง
ลู่หมิงหัวเราะลั่น
“อ่อ…ใช่แล้ว ข้าเกือบจะลืมไปเลยว่าหลังจากที่ชีพจรของนางเป็นปกติ นางก็ไม่ได้เป็นคนของตระกูลฉู่ของพวกเจ้าแล้ว ไม่แปลกที่เจ้าจะไม่รู้ ฉู่เซียวข้าไม่ได้ตั้งใจ เจ้าอย่าเอามาใส่ใจล่ะ!”
ฉู่เซียวสีหน้าแข็งทื่อ ตอบกลับอย่างไม่เต็มใจ จากนั้นใบหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปกพูดกับซุนจ้งเหยียนว่า
“ผู้อาวุโสซุน หลิวเยว่ก็เข้ามาอยู่ในสำนักเทียนลู่สักพักแล้ว เจ้าคงจะรู้เรื่องนี้สินะ?”
“เอ่อ…ฝ่าบบาทได้โปรดให้อภัยข้าด้วย ตั้งแต่ที่หลิวเยว่เข้ามาอยู่ในสำนัก เป็นเพราะหลายๆ สาเหตุจึงไม่ได้ทำการทดสอบชีพจร”
ซุนจ้งเหยียนพูดพลางมองไปที่ฉู่หลิวเยว่
“แต่ว่า หลิวเยว่คนนี้เป็นที่มั่นคงหนักแน่น ไม่ชอบคนโกหก การที่นางได้แสดงออกในงานสมาคมเยาวชนอย่างโดดเด่นแล้ว กระหม่อมมั่นใจว่า นางคือชีพจรตี้จิงแน่นอน”
นี่คือการเข้าข้างพูดแทนฉู่หลิวเยว่อย่างเปิดเผย
ในใจของฉู่หลิวเยว่รู้สึกอบอุ่น
ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้เป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสซุน แต่ผู้อาวุโสซุนก็ดูแลนางมาโดยตลอด และออกตัวรับหน้าแทนนางหลายต่อหลายครั้ง
ความรักแบบนี้ช่างหาได้ยากจริงๆ
นางเดินขึ้นไปก่อนจะพูดอย่างชัดถ้อยชัดคำ
“ถ้าท่านรองแม่ทัพมู่ไม่เชื่อ ท่านก็สามารถทดสอบชีพจรได้ทันที”
นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของนางในตอนนี้ นางต้องคว้าไว้ให้ได้!
มู่ชิงเห่อมองนางแล้วก็หยิบแป้นหยกสีดำออกมาทันที สะบัดข้อมือแล้วเดินเข้าไปหาฉู่หลิวเยว่
“ถ้าอย่างงั้นเจ้าก็ทดสอบเสีย!”
แป้นหยกสีดำแผ่นนั้นหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่ ก่อนจะลอยอยู่ในอากาศ
ฉู่หลิวเยว่มองแล้วก็รู้ว่านี่คือหินหยาบที่นำมาใช้ทดสอบชีพจรโดยเฉพะ
ในใจของนางมีความสงสัยผุดขึ้นมา
เหตุใดมู่ชิงเห่อถึงได้พกของแบบนี้ติดตัวเอาไว้?
ถึงแม้ว่าตอนที่อยู่ในราชวงศส์เทียนลิ่งนั้น ของแบบนี้ไม่ได้ถือเป็นของหายากอะไร แต่ปกติแล้วจะมีเฉพาะในสำนักหรือตระกูลใหญ่เท่านั้น
แต่มู่ชิงเห่อที่มีฐานะตำแหน่งแบบนี้ กลับพกสิ่งนี้เอาไว้ด้วย…
หรือเพราะเขานำมาเพื่อจะได้ททดสอบชีพจรได้สะดวก?
ฉู่หลิวเยวรู้สึกมีบางอย่างที่ไม่ปกตนิ
แต่สีหน้าของนางก็ดูสงบ และไม่ได้เผยอาการผิดปกติออกมา
“นำมือของเจ้ามาแนบบนแผ่นหิน ปล่อยพลังจิตลงไปแล้วก็สามารถทดสอบชีพจรของเจ้าได้ทันที”
มู่ชิงเห่อกล่าว
ฉู่หลิวเย่พยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าไปแล้วนำมือวางลงไปบนนั้น
เป็นสัมผัสที่อุ่นและเย็น
ฉู่หลิวเยว่หยุดความสงสัยแล้วควบคุมพลังจิตให้สะกดอยู่ในนั้น!
หึ่ง!
จู่ๆ ก็มีแสงสว่างลูกหนึ่งเกิดขึ้นบนแผ่นหินหยาบสีดำ!
หนึ่งลูก สองลูก…
ประกายจุดเล็กๆ ค่อยๆ รวมเข้าด้วยกัน ทำให้หินหยาบสีดำแผ่นนั้นดูเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืนที่มีดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า ทำให้คนรู้สึกสนใจ
มู่ชิงเห่อถึงกับตาค้าง
นางเป็นชีพจรตี้จิงจริงๆ ด้วย!
การฝึกฝนชีพจรปกติทั่วไปแล้วมากสุดก็มีแสงระยิบระยับเพียงสิบดวงเท่านั้น แต่ถ้าเป็นชีพจรตี้จิงนั้นสามารถมีได้มากกว่าร้อยดวงได้อย่างสบายมาก!
และตอนนี้ในอัญมณีนั้นเกิดประกายได้เกินขีดจำกัดเกินไปแล้ว!
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกใจเต้น
ด้วยความแปลกใจ
เหตุใดจำนวน และประกายของอัญมณีนี้ถึงมาก เร็วกว่าที่คิดไว้มากขนาดนี้?
อีกอย่างดูเหมือนว่าจะมีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง!
เมื่อนางมีความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว จึงเก็บพลังอันแข็งแกร่งที่เหลือกลับมาทันที!
ในที่สุดประกายบนอัญมณีสีดำก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นแล้ว
นางนำมือกลับคืนมาก่อนจะมองไปยังมู่ชิงเห่อ
แววตาของมู่ชิงเห่อซับซ้อน และพูดอย่างอย่างตื่นเต้น
“ใช้ได้ เจ้าเป็นชีพจรตี้จิงจริงๆ”
จากนั้นก็เกิดความโกลาหลได้!