ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 309 รอดชีวิต
ตอนที่ 309 รอดชีวิต [รีไรท์]
โครม!
หอคอยจิ่วโยวถล่มลงมา
สีหน้าของทุกคนเต็มไปด้วยความหมดหวัง
หอคอยจิ่วโยวนี้ตั้งตระหง่านอยู่ในสำนักเทียนลู่มามากว่าพันปี และถือเป็นสิ่งที่ทำให้พวกเขาภาคภูมิใจ แต่ใครก็นึกไม่ถึงว่าสุดท้ายแล้วมันจะถูกทำลายล้างด้วยวิธีแบบนี้
สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือข้างในนั้นมีอสูรร้ายน่ากลัวอยู่หนึ่งตัว
ซุนจ้งเหยียนมองไปยังเยี่ยจือถิงด้วยแววตาที่ตื่นเต้น
“ท่านอาจารย์ลุง ค่ายกลผนึกสวรรค์ได้แตกสลายไปแล้ว และหอคอยจิ่วโยวก็กำลังถล่มแล้ว ต่อไปเราจะทำอย่างใดต่อ?”
เยี่ยจือถิงขมวดคิ้วพลางจ้องซากปรักหักพังเหล่านั้นเอาไว้
“เดี๋ยวก่อน…”
ซุนจ้งเหยียนนิ่งไปสักพัก
“มีอันใดไม่ปกติหรือ?”
“ในเมื่อข้อจำกัดทุกอย่างได้แตกสลายไปหมดแล้ว ถ้าอย่างงั้นสัตว์เดรัจฉานตัวนั้นก็ต้องพุ่งออกมาแล้วสิ เหตุใดถึงตอนนี้แล้วยังไม่มีการเคลื่อนไหวอันใดสักอย่าง…”
เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้แล้ว ซุนจ้งเหยียนก็เหมือนนึกอันใดบางอย่างออก
“สิ่งที่ท่านพูดก็คือ…”
เยี่ยจือถิงส่ายหน้า ก่อนจะก้าวเท้าเดินไปข้างหน้า
“ท่านอาจารย์ลุง!” ซุนจ้งเหยียนรีบรั้งเอาไว้ทันที “มันอันตราย!”
เยี่ยจือถิงสะบัดพัดเปื้อนเลือดที่อยู่ในมือ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ
“ไม่ว่าอย่างใดข้าก็เป็นหัวหน้าสำนัก ตอนนี้เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ขึ้น จะไม่ไปดูด้วยตัวเองได้อย่างใด?”
ไม่รู้ว่าเข้าใจผิดอันใดไปหรือไม่ แต่เขากลับรู้สึกว่าลมหายใจของสัตว์อสูรตัวนั้นได้หายไปแล้ว
เขาไม่ได้สังเกตว่ามีความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อใด แต่ตอนนี้เขาไม่สามารถสัมผัสได้ถึงความอันตรายท่ามกลางซากปรักหักพังนั้นได้เลยสักนิด
ซุนจ้งเหยียนรีบเอ่ยปาก
“เดี๋ยวข้าไปก่อนท่านเอง”
แล้วทั้งสองก็เดินเข้าไปข้างในทันที
…
จักพรรดิจยาเหวินเห็นเหตุการณ์นี้แล้ว ก็เหมือนถูกดูดพลังทั้งตัวไปทันที
ก่อนหน้านี้หอคอยจิ่วโยวถูกเปลวไฟสีดำนั้นครอบงำเอาไว้ก็อันตรายมากพอแล้ว แต่ตอนนี้หอคอยจิ่วโยวได้กลายเป็นซากปรักหักพังไปแล้ว
หรงซิวกลัวเพียงแค่ว่า…
ราชานีกำลังพยุงแขนของเขาอยู่และเอ่ยปากปลอบโยน
“ฝ่าบาท…ท่านจะโศกเศร้าจนกระทบร่างกายของท่านไม่ได้เด็ดขาดนะเพคะ…”
“เจ้าพูดบ้าอันใดกัน!”
จักรพรรดิจยาเหวินถูกคำว่าโศกเศร้าสองคำนี้กระตุ้นจึงผลักอย่างแรงๆ
จักรพรรดินีไม่ทันได้ตั้งตัวจึงทำให้ควบคุมร่างกายไม่ได้แล้วล้มลงกับพื้นทันที
“ถ้ายังมีชีวิตอยู่ก็ต้องเห็นตัวคน ถ้าตายแล้วก็ต้องเห็นร่าง ตอนนี้ทุกอย่างยังไม่ชัดเจนแจ่มแจ้ง ใครอนุญาตให้เจ้ารีบเดาว่าเขาตายแล้ว!”
จักรพรรดิจยาเหวินโมโหจนหน้าแดงก่ำ และเลือดขึ้นหน้าพลางตะโกนเสียงดัง
คนที่อยู่รอบๆ เงียบลงทันที
สายตาหลายคู่ตกมาอยู่บนตัวของจักรพรรดินี
จักรพรรดินีจึงหลบอยู่ข้างหลังอย่างเขินอายทันที
นางเป็นถึงจักรพรรดิมีสถานะสูงส่งเพียงนั้น เขาจะเคยรับมือกับความขายหน้าเช่นนี้ได้อย่างใด ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะไม่ได้รักใคร่นางมาก แต่ก็ให้เกียรติมากและไม่เคยลงไม้ลงมือกับนางมาก่อน แม้แต่พูดตำหนิก็ยังเกิดขึ้นน้อยครั้ง
แต่ตอนนี้ ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้…สีหน้าจองนางถึงกับเจื่อนไปทันที
“จักรพรรดินี!”
หมินกงกงที่อยู่ข้างๆ ก็เดินเข้าไปข้างหน้าทันที
“จักรพรรดินี ท่านเจ็บตรงไหนหรือไม่?”
พูดแล้วจึงไม่ลืมที่จะเอ่ยปากตำหนิอยู่ข้างๆ
“ตาบอดกันหรือไง มัวนิ่งกันอยู่?”
บ่าวในวังที่กำลังอึ้งทึ่งอยู่จึงตอบสนอง และรีบเข้ามาข้างหน้า จากนั้นจึงพยุงจักรพรรดินีขึ้นมาอย่างทุลักทุเล
ที่ติดผมรูปนกฟีนิกซ์ของจักรพรรดินีนั้นบิดเบี้ยวเล็กน้อยแล้ว และเสื้อผ้าในวังที่หรูหราและประณีตงดงามก็เปื้อนฝุ่น จนทำให้ดูทรหดสุดๆ
บ่างทั้งหลายเหลืองมองแล้วก็รีบก้มหน้าลงทันที และยิ่งไม่กล้าพูดอันใดมาก
จักรพรรดินีสูดหายใจเข้าลึกก่อนจะผลักพวกเขาออกไปแล้วฝืนยิ้มออกมา
“ตัวข้าไม่เป็นไร ข้าเข้าใจว่าฝ่าบาทเป็นห่วงหลีอ๋องจึงโมโหเช่นนี้…”
“ไป! ออกตามหาต่อให้ต้องพลิกแผ่นดินก็ต้องหาให้เจอ”
เหมือนว่าจักรพรรดิจยาเหวินจะไม่รู้ว่าเกิดอันใดขึ้นกับทางนี้ ในสายตาและในใจก็พะวงหาแต่หรงซิวคนเดียวแล้วตะโกนพูดกับคนรับใช้ทั้งหลาย
จักรพรรดินีถึงกับสำลักและหน้าร้อนผ่าวทันที
นางรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าเข้าอย่างเต็มแรง
แววตาที่อยู่รอบๆ เฉียบคมเหมือนมีดที่กำลังทิ่มแทงนาง
นางรีบหนีไป แต่ก็ยังไม่ดีขึ้นอยู่ดี
นางสูดหายใจลึกๆ จึงระงับอารมณ์ในใจของตัวเอง ก่อนจะจัดระเบียบที่ติดผมรูปนกบนหัวแล้วโค้งคำนับให้กับจักรพรรดิจยาเหวิน
“ขอประทานอภัยเพคะฝ่าบาท เป็นความผิดของข้าเอง อันที่จริงตัวข้าก็เป็นห่วงหลีอ๋องมากเช่นกัน”
จักรพรรดิจยาเหวินมองนางด้วยสายตาเย็นชา เหมือนมีอันใดเข้าสิงอย่างใดอย่างนั้น
จักรพรรดินีใจเต้นจนพูดคำพูดที่เหลือไม่ออก
จากนั้นนางก็หลบสายตาด้วยความความรู้สึกผิด จักรพรรดิจยาเหวินหัวเราะเยาะในใจ จากภายนอกแล้วจักรพรรดินีจะดูสง่างามและใจกว้าง แต่ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น นางไม่ชอบคนคนนั้นตั้งแต่แรกแล้ว ตอนนี้จึงไม่มีทางชอบลูกชายของนางแน่นอนอยู่แล้ว
ถ้าเกิดอันใดขึ้นกับหรงซิวจริงๆ เกรงว่านางคงจะดีใจกว่าใคร
เมื่อก่อนนั้นเขาก็ทำเป็นปิดตาข้างหนึ่งมาโดยตลอด แต่ตอนนี้กลับไม่อยากตามใจนางอีกต่อไปแล้ว อีกฝั่งหนึ่งนั้น ฉู่หนิงก็ได้พากันมุ่งเข้าไปตั้งแต่แรกแล้ว
เขามุ่งหน้าไปในทิศทางหนึ่งอย่างแน่วแน่ พร้อมกับฝีเท้าที่เร่งรีบและสีหน้าที่เคร่งเครียด
เข็มทิศแสดงว่าเยว่เอ๋อร์อยู่ที่นี่ ดังนั้นก็แสดงว่านางยังสบายดี…ฉู่หนิงเดินไปที่หนึ่ง และกำลังจะย้ายก้อนหินก้อนหนึ่งออก
แต่เขาสังเกตเห็นอย่างรวดเร็วว่าปัญหานี้หนักหนากว่าที่คิด วัสดุที่ใช้สร้างหอคอยจิ่วโยวนั้นพิเศษมาก เป็นหินที่สูงเท่าครึ่งตัวของมนุษย์ มีน้ำหนักมาก เขาเป็นผู้มีพลังระดับห้า ถือเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในแคว้นเย่าเฉินนี้ แต่เมื่อเขาคิดอยากจะจัดการหินทั้งหมดนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด
เมื่อเห็นฉู่หนิงคิดจะทำแบบนี้ ผู้คุ้มกันที่มาด้วยก็รีบตามไปทันที
“ท่านแม่ทัพ ท่านเจออันใดหรือ?”
ฉู่หนิงส่ายหน้าไม่พูดไม่จา แต่ก็ไม่ได้หยุดสิ่งที่กำลังทำอยู่
ทุกคนต่างพากันมองหน้ากัน
เมื่อครู่นี้พวกเขาต่างก็ได้ยินสำนักเทียนลู่พูดว่า ฉู่หลิวเยว่ผู้เป็นลูกสาวคนเดียวของฉู่หนิงถูกขังอยู่ข้างใน เกรงว่าจะเกิดเรื่องโชคร้ายเกิดขึ้น…
“พวกเจ้าไปทางนั้นแล้วขนย้ายหินทั้งหมดนั้นซะ”
ฉู่หนิงออกคำสั่ง
เหล่าลูกทัพก็แยกย้ายกันทันที ฉู่หนิงทุ่มทุนขุดจนเกิดแผลขึ้นบนมือหลายแผลอย่างรวดเร็ว และมีเลือดซิบออกมา
แต่ดูเหมือนว่าเขาจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านใดๆ และยังคงจัดการกับหินเหล่านั้นอย่างขะมักเขม้น ทุกคนที่เห็นเหตุการณ์นี้ก็สีหน้าเปลี่ยนทันที
“นี่…ท่านแม่ทัพฉู่หนิงเป็นอันใดไป? ถึงแม้ว่าฝ่าบาทจะบอกให้คนออกตามหา แต่เขาทำแบบนี้มันดื้อรั้นเกินไปหรือเปล่า? หรือเขาคิดจะเสียเวลาขุดมันออกมาทั้งหมดเลยหรือ”
“จุ๊ๆ! พวกเจ้าไม่รู้หรือไงว่าฉู่หลิวเยว่ก็อยู่ข้างในด้วย?”
“ออ…แบบนี้นี่เอง แต่นางไม่ได้…“
“น่าเสียดายที่หลายปีมานี้ท่านแม่ทัพฉู่หนิงก็ตกระกำลำบากเช่นกัน กว่าเขาจะผ่านมาได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสักนิด แต่กลับต้องมาเจอเรื่องแบบนี้อีก…”
ฉู่หนิงจึงทำเป็นหูหนวกไม่ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของทุกคน
จากนั้นเขาจึงรู้สึกว่าข้างๆ นั้นมีคนเพิ่มขึ้นอยู่สองสามคน เขาเงยหน้าขึ้นมา ก่อนจะเจอกับคนหน้าอ่อนที่คุ้นเคย
“หงอวี่?”
คนที่มานั้นก็คือมู่หงอวี่ เฉินหู่ และกู้หมิงเฟิง
มู่หงอวี่ตาแดงก่ำ แต่สีหน้ากลับแน่วแน่มาก
“ท่านลุง พวกข้ามาช่วยท่านแล้ว!”
ฉู่หนิงพยักหน้าอย่างอุ่นใจ
“เดี๋ยวข้าจะช่วยทางนี้เอง”
แต่ละคนพากันลงมือทันที
เห็นเหตุการณ์นี้แล้ว แม้แต่จั่วหรงก็ทนมองต่อไปไม่ไหวแล้ว
“ท่านแม่ทัพฉู่หนิง…พวกข้ารู้ว่าท่านเป็นห่วงฉู่หลิวเยว่มาก แต่เรื่องแบบนี้ พวกข้าก็ไม่อยากจะให้เกิดเหตุร้ายเกิดขึ้นเช่นกัน นาง…”
ฟู่!
จู่ๆ ก็มีเสียงหายใจดังออกมาจากซากปรักหักพัง
ทันใดนั้นก้อนหินที่ซ้อนกันหลายก้อนก็ถูกเปลวไฟสีฟ้ายกขึ้นทันที
นกกระจอกฟ้าตัวหนึ่งวิ่งออกมาอย่างรวดเร็ว
เงาคนทั้งสองก็ปรากฏตัวต่อหน้าทุกคนทันที