ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 310 เพื่อนาง
ตอนที่ 310 เพื่อนาง [รีไรท์]
“เยว่เอ๋อร์!”
“องค์รัชทายาท!”
เมื่อเห็นทั้งคู่ปรากฏตัวแล้ว ทุกคนที่อยู่รอบๆ ก็พากันตกตะลึง
ถ้าคนที่พยุงกันออกมาไม่ใช่คนที่ถูกขังอยู่ข้างในอย่างฉู่หลิวเยว่และหรงซิวแล้วจะเป็นใคร
ฉู่หนิงรีบเดินเข้าไปทันที
“เยว่เอ๋อร์! เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?”
เขาถามด้วยความกังวลพลางสำรวจเนื้อตัวของฉู่หลิวเยว่ไปด้วย
เมื่อเห็นว่าบนร่างกายของฉู่หลิวเยว่เต็มไปด้วยฝุ่น และคาบเลือดแล้ว ในใจของเขาก็รู้สึกใจสั่นทันที
“เจ้าได้รับบาดเจ็บหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่ปากซีดและส่ายหน้าอย่างหมดแรง
“เปล่า…ที่สำคัญคือฝ่าบาทเขา”
ฉู่หนิงเพิ่งจะเห็นว่าฉู่หลิวเยว่กำลังพยุงหรงซิวอยู่ ก็ดูเหมือนว่าสถานการณ์จะยิ่งร้ายแรงกว่าที่คิด
สีหน้าของเขาซีดเซียวสุดๆ ลมหายใจแผ่วเบาราวกับว่าจะสลบไปอย่างใดอย่างนั้น
ส่วนบนร่างกายของเขานั้นก็ยิ่งมีบาดแผลเยอะกว่า บางแผลก็ลึกจนเห็นกระดูกอีกด้วย
“เกิดอันใดขึ้นกับฝ่าบาท!”
“ตาเจ็ด!”
เมื่อเห็นหรงซิวออกมาแล้ว จักรพรรดิจยาเหวินก็ดีใจสุดๆ ก่อนจะรีบเดินเข้ามาหา
จากนั้นเมื่อเห็นบาดแผลบนตัวของหรงซิวแล้ว สีหน้าที่ดีใจของเขากลับหดหู่ลงทันที และมีความกังวลที่แน่นหนาเข้ามาแทนที่ทันที
“ตาเจ็ด! เกิดอันใดขึ้นกับเจ้า จั่วหรง ผู้อาวุโสซุน”
จั่วหรงที่อยู่ด้านข้างตั้งแต่แรก ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเดินเข้าไป
แต่ที่ไม่ไกลก็มีซุนจ้งเหยียน และผู้อาวุโสเยี่ย กำลังวางแผนที่จะเข้าไปในซากปรักหักพังนั้น เมื่อได้ยินเสียงเคลื่อนไหวจึงรีบมาทางนี้ทันที
ตั้งแต่ที่จักรพรรดินีเห็นฉู่หลิวเยว่และหรงซิวปรากฏตัวก็นิ่งเหม่ออยู่กับที่ และไม่รู้สึกตัวอยู่นาน พวกเขาทั้งสอง…พวกเขาทั้งสองยังไม่ตาย
หอคอยจิ่วโยวเกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นแบบนี้ ก่อนอื่นก็เกิดเปลวไฟเผาไหม้ก่อน จากนั้นจึงถล่มลงมา พวกเขาโชคดีขนาดไหนเชียว ถึงได้ยังรอดชีวิตออกมาแบบนี้
แต่เมื่อเห็นว่าจักรพรรดิจยาเหวินเดินไปแล้ว นางจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินตาม
…
จั่วหรงช่วยตรวจชีพจรให้กับหรงซิว
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปากถาม
“เป็นอย่างใดบ้าง?”
จั่วหรงขมวดคิ้ว ครุ่นคิดสักพักก่อนจะเอ่ยปาก
“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งกังวลไปเลย ส่วนมากหลีอ๋องบาดเจ็บเพียงแค่เนื้อหนังเท่านั้น ขอแค่พักผ่อนให้ดีก็สามารถพื้นฟูได้อย่างรวดเร็วแล้ว”
จักรพรรดิจยาเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก
“ถ้าอย่างงั้นก็ดีแล้ว ถ้าอย่างงั้นก็ดีแล้ว”
ถึงแม้จะได้รับบาดเจ็บ แต่คนก็ยังมีชีวิตรอดอยู่
แค่นี้ก็ดีกว่าที่คิดไว้มากแล้ว
จั่วหรงเอ่ยปากด้วยความสงสัย
“แต่ว่า…”
“แต่ว่าอันใด?” จักรพรรดิจยาเหวินสงสัย
“แต่ว่า…ร่างกายของหลีอ๋องนั้นอ่อนแอลงอีกแล้ว ก่อนหน้านี้นั้นไม่ง่ายเลยกว่าจะรักษาให้ดีขึ้นแบบนั้น ครั้งนี้…เกรงว่าต้องเริ่มปรับใหม่อีกแล้ว”
ในสายตาของจักรพรรดิจยาเหวินเผยสีหน้าผิดหวังออกมา
หรงซิวนั้นป่วยออดๆ แอ่ดๆ ตั้งแต่เด็ก ไม่ง่ายเลยกว่าจะดีขึ้นอย่างทุกวันนี้ นึกไม่ถึงเลยว่า…
“ช่างมันเถอะ ต่อไปค่อยว่ากันตอนนี้รีบรักษาแผลบนร่างกายของตาเจ็ดก่อน!”
หรงซิวฝืนกระตุกริมฝีมือด้วยสีหน้าซีดเซียว และพูดกระซิบเสียงเบา
“ท่านพ่อ…”
จักรพรรดิจยาเหวินรีบเอ่ยปาก
“เจ้าพักผ่อนก่อนเถอะ มีอันใดค่อยว่ากัน!”
ทันใดนั้น เยี่ยจือถิงและซุนจ้งเหยียนก็เดินมาถึงแล้ว
“เจ้าเด็กน้อย เจ้าเป็นอย่างใดบ้าง?” คนที่เยี่ยจือถิงมองเห็นเป็นคนแรกก็คือลูกศิษย์หัวแก้วหัวแหวนของตัวเอง
ฉู่หลิวเยว่รีบเอ่ยปาก
“ท่านอาจารย์ ข้าไม่เป็นอันใดแล้ว ท่านดูหลีอ๋องก่อนเถิด!”
ถึงแม้ว่าเยี่ยจือถิงจะเห็นว่าทางดูอิดโรย แต่คำพูดก็เต็มเปี่ยมไปด้วยพลัง ในใจจึงรู้สึกโล่งใจมากแล้ว
“ถ้างั้นก็ดี ถ้างั้นก็คือ…”
ถึงแม้เขาจะอยากช่วยฉู่หลิวเยว่วัดชีพจรมาก แต่เมื่อคิดดูแล้วลูกศิษย์ของตัวเองคงจะเก่งกว่าตัวเองในด้านนี้มาก จึงตัดสินใจถอดใจไป
จากนั้นนางก็มีแผนในใจแล้ว
จากนั้นสายตาของเขาก็ย้ายไปอยู่ที่ตัวของหรงซิว
เขาเดินขึ้นไปข้างหน้า ก่อนจะเอ่ยปากถามจั่วหรง
“เขาเป็นอย่างใดบ้าง?”
จั่วหรงจึงอธิบายคร่าวๆ
เยี่ยจือถิงฟังไปด้วยและช่วยวัดชีพจรให้กับหรงซิวไปด้วย
คนที่อยู่ตรงนั้นต่างก็รู้ว่าเยี่ยจือถิงเป็นแพทย์ที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในนี้ ฉะนั้นจึงให้เขาทำการวัดชีพจรเป็นครั้งที่สอง ไม่เพียงแต่จะไม่มีใครขัดขวางแล้ว กลับกันยังวางใจไม่น้อยด้วย
ขณะที่บรรยากาศกำลังเงียบสงัด เยี่ยจือถิงก็พนักหน้า และนำยาเม็ดออกมาป้อนให้กับหรงซิว
“ร่างกายของหลีอ๋องไม่ได้แย่มาก หมอจะห้ามเลือดให้ท่านก่อน เดี๋ยวถ้ากลับไปแล้วค่อยรักษาบาดแผลไม่เกินครึ่งเดือน แผลเหล่านี้ก็จะสมานแต่อาการบาดเจ็บภายในนั้น…”
“ตาเจ็ดมีแผลภายในด้วยหรือ?”
จักรพรรดิจยาเหวินเอ่ยปากถามทันที
เยี่ยจือถิงจึงมองเขาด้วยแววตาที่บ่งบอกว่าใช่แน่นอน
“แน่นอนอย่าแล้ว บาดแผลที่อยู่บนตัวของเขานั้นเห็นได้ชัดว่าเป็นบาดแผลที่เกิดจากซากหินบาด และตกใส่หินของหอคอยจิ่วโยวมีน้ำหนักมาก ต้องเกิดแผลภายในเป็นธรรมดาอยู่แล้ว แต่อย่าตกใจไป ยาที่หมอให้เมื่อครู่นี้สามารถทำให้โลหิตไหลเวียนได้ดีขึ้น และใช้ฟื้นฟูอาการบาดเจ็บภายในของหลีอ๋อง คงต้องใช้เวลาสักหนึ่งเดือนจึงจะสามารถหายดีได้ทั้งหมด แต่ฝ่าบาทไม่ต้องกังวัลพ่ะย่ะค่ะ”
จักรพรรดิจยาเหวินรู้สึกทั้งดีใจและกังวล รู้ว่าแบบนี้เป็นผลที่ดีที่สุดแล้ว จึงทำได้เพียงพยักหน้า
“ต้องขอบใจท่านผู้อาวุโสเยี่ยมาก”
เยี่ยจือถิงจึงเอ่ยปากเสียงเบาเพื่อกำชับจั่วหรง
จั่วหรงปาดเหงื่อบนหน้าผากด้วยสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
“ขอบใจคำแนะนำจากท่านหัวหน้าสำนัก!”
เมื่อครู่นี้เขาร้อนรนเกินไป อีกอย่างเขาก็ไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านนี้ ฉะนั้นจึงไม่สามารถรู้ว่าหรงซิวได้รับบาดเจ็บภายในด้วย
ยังดีที่จักรพรรดิจยาเอาแต่สนใจในร่างกายขของหรงซิวเท่านั้นจึงไม่ได้สังเกตในจุดนี้
“ตาเจ็ด ต่อไปอย่าทำแบบนี้อีกล่ะ หอคอยจิ่วโยวอันตรายขนาดนั้น เจ้าจะไปได้อย่างใด!”
จักรพรรดิจยาเหวินกระซิบเสียงเบา
ดูแล้วเหมือนเป็นการดุด่า แต่ใครจะฟังไม่ออกว่านี่คือคำพูดเป็นห่วง?
เมื่อผ่านเรื่องวันนี้ไปแล้ว คนทั้งเมืองต่างก็รู้หมดแล้วว่า ฝ่าบาทเป็นห่วงเป็นใยหลีอ๋ององค์นี้มาก
แม้แต่ จักรพรรดินีของเขายังไม่ถูกปฏิบัติแบบนี้
แล้วผู้คนบางส่วนก็รวมตัวและกระซิบกระซาบกัน
“ข้าได้ยินมานานแล้วว่าฝ่าบาททรงรักหลีอ๋องมาก ไม่เช่นนั้นคงเป็นพระราชาทันทีที่เสด็จกลับมา ตอนนี้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ…”
“หลายปีมานี้ เจ้าเคยเห็นกษัตริย์องค์ใดที่ห่วงใยองค์ชาย และองค์หญิงพวกนั้นได้มากขนาดนั้นหรือไม่ แม้แต่องค์หญิงลำดับที่สี่ที่หยิ่งผยอง และเย่อหยิ่งก็ยังไม่เคยเป็นแบบนี้เลยไม่ใช่หรือ?”
“เหอะ ตอนนี้องค์หญิงสี่ได้ไร้ประโยชน์ไปแล้ว จะไปเทียบได้อย่างใด? แต่องค์ชายนั้น…พวกเจ้าไม่เคยได้ยินหรือว่าช่วงก่อนหน้านี้ ไม่รู้ว่าองค์ชายทำอันใดให้ฝ่าบาทโกรธเคือง ถึงได้ถูกขังอยู่ในตำหนักอยู่นานแล้วยังถูกเก็บอภิสิทธิ์มากมายกลับไปด้วย หรือว่า…ฝ่าบาทจะลำเอียงมาตั้งนานแล้ว?”
“ชู่! เบาหน่อย ไม่เห็นหรืออย่างใดว่าฝ่าบาท และจักรพรรดินียังอยู่ที่นี่อยู่? แต่ข้าคิดว่าคงไม่เสมอไป พวกเจ้าคิดดูสิ แม้ว่าฝ่าบาทจะรักหลีอ๋องมากขนาดไหน แต่คนที่ร่างกายป่วยแบบนั้นจะทำการใหญ่ได้อย่าง?”
“พูดอีกก็ถูกอีก แต่ถ้าร่างกายของหลีอ๋องแข็งแรงขึ้น เกรงว่าจะกลายเป็นศัตรูตัวฉกาจขององค์รัชทายาทก็เป็นได้…”
เสียงสนทนาที่แผ่วเบานั้น จักรพรรดินีได้ยินเพียงไม่กี่คำเท่านั้น
แต่ก็เพียงพอที่จะทำให้นางโมโหจนหายใจไม่ออกได้
นางบังคับตัวเองให้อดทนกับอารมณ์ที่ปะทุอยู่ในใจของนาง มองไปที่ฉู่หลิวเยว่และหรงซิว
“หลีอ๋อง ได้ยินว่าเจ้าเข้าไปหลังจากที่หอคอยจิ่วโยวเกิดเพลิงไหม้หรือ? ตอนนั้นอันตรายขนาดนั้น…เหตุใดเจ้าจึงยังเข้าไปอีก?”
น้ำเสียงของนางแผ่วเบา พร้อมเผยอรอยยิ้มจางๆ ที่มุมปาก แต่ดวงตาของเธอกลับเย็นยะเยือก
“ได้ยินว่า ตอนนั้น มีเพียงแม่นางฉู่อยู่ในนั้นเพียงคนเดียวไม่ใช่หรือ? หลีอ๋องคงไม่ได้เข้าไปช่วยนางจนปล่อยให้ตัวเองบาดเจ็บใช่หรือไม่?”