ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 320 ลอบโจมตี
ตอนที่ 320 ลอบโจมตี [รีไรท์]
“มีอันใดนะ?”
หรงจิ้นนิ่งอึ้งไปทันที
“ก่อนหน้านี้ทางแคว้นซิงหลัวเคยเอ่ยปากกับเสด็จพ่อของเจ้าไว้ว่าอยากจะให้เข้ากับซือถูซิงเฉินแต่งงานกัน ซือถูซิงเฉินสถานะสูงส่ง เป็นที่โปรดปรานมาก ถ้าเจ้าแต่งกับนางแล้วจะช่วยเจ้าได้มากเลยทีเดียว
จักรพรรดินีดื่มชาหนึ่งอึก ก่อนจะเหลือบมองหรงจิ้นด้วยแววตาเย็นชา
“ถ้าไม่ใช่เพราะสิ่งนี้ เจ้าคิดว่าเสด็จพ่อของเจ้าจะปล่อยเจ้าไปง่ายๆ งั้นหรือ?”
หรงจิ้นขมวดคิ้ว
“แต่ซือถูซิงเฉิน…นี่เป็นวิธีเดียวแล้วหรือ เสด็จแม่”
“เจ้ายังคิดจะไม่ยอมอีกหรือ?”
จักรพรรดินีวางแก้วน้ำชาลงเสียงดังเคร้ง ก่อนจะหัวเราะเยาะ
“ไม่ว่าจะมองจากทางไหน ซือถูซิงเฉินก็เป็นองค์หญิงใหญ่ขององค์รัชทายาทที่ดีที่สุด เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?”
ถึงแม้ในใจของนางจะไม่ได้ชอบซือถูซิงเฉินสักเท่าไร แต่หลังจากอยู่ในวังมาหลายปีนางก็รู้สึกมาตลอดว่าซือถูซิงเฉินนั้นไม่ธรรมดา
แต่ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องพวกนั้นแล้ว
หรงจิ้นจึงเงียบลง
เขาก็รู้ดีว่าสถานการณ์ตัวเองในตอนนี้นั้นน่าเป็นห่วง ซือถูซิงเฉินจึงเป็นคนที่สามารถช่วยให้เขาตำรงตำแหน่งที่ไม่เป็นสองรองใครได้จริงๆ
“เจ้าหาวิธีติดต่อกับซือถูซิงเฉินซะ ถ้าให้ดีก็รีบเอาชนะใจนางให้ได้เร็วที่สุด แล้วต่อไปเรื่องทุกอย่างก็จะได้ผ่านไปอย่างราบรื่น”
หรงจิ้นขมวดคิ้ว
“แต่ลูกถูกขังอยู่ในนี้แล้ว ไม่สามารถออกไปไหนได้นี่ อีกอย่างงานสมาคมเยาวชนก็จบไปแล้ว พรุ่งนี้พวกเขาก็จะกลับกันแล้ว”
“นั่นมันสำคัญตรงไหน? ขอเพียงแค่เจ้าอยากก็สามารถทำได้ทุกอย่าง”
จักรพรรดินีไม่ได้สนใจ
“นอกจากว่า เจ้าไม่อยากจะเป็นรัชทายาทแล้ว”
หรงจิ้นกัดฟัน
“ลูกเข้าใจแล้ว”
…
ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่กลับบ้านพร้อมกัน
เพิ่งจะถึงหน้าประตู ทั้งคู่ก็เห็นว่ามีเด็กผู้ชายคนหนึ่งรออยู่
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตามอง
นางรู้จักเด็กผู้ชายคนนั้น เขาเป็นคนของตระกูลฉู่
เมื่อเด็กชายคนนั้นเห็นฉู่หนิงสองพ่อลูกลงจากหลังม้า ก็รีบวิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าที่รีบร้อน
“ท่านฉู่หนิง แม่นางใหญ่ พวกท่านกลับมาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงสบตากัน
ไม่มีธุระไม่ได้ขึ้นวิหารสมบัติสินะ ตอนนี้พวกเขาเดาได้อย่างง่ายดายว่าตระกูลฉู่ส่งคนมาทำอันใด
“มู่เถิง เจ้ามาทำอันใด?”
เมื่อเด็กชายที่ชื่อมู่เถิงได้ยินก็พยักหน้าพลางทำหน้าตายิ้มแย้ม หยิบจดหมายออกมาจากอกแล้วยื่นให้อย่างสุภาพ
“แห๊ะๆ เป็นเรื่องน่าดีใจเหลือเกินที่ท่านฉู่หนิงยังจับข้าน้อยได้ นายท่านบอกว่าอยากจะเชิญท่านกลับไปยังตำหนักองค์ชายหลีหวัน นี่คือจดหมายขอรับ”
ฉู่หนิงยิ้มอย่างขมขื่น
“ตอนนั้นเจ้าให้เยว่เอ๋อร์หาบน้ำตั้งสามเดือน ทำให้มือทั้งสองข้างของนางแข็งเกร็งแบบนั้น ข้าจะลืมเจ้าได้อย่างใดเล่า”
สีหน้าที่ยิ้มแย้มของมู่เถิงแข็งทื่อและประหม่าทันที
“คือ…ตอนนั้นเป็นเพราะข้าไม่ดีเอง ท่านให้อภัยข้าด้วยเถิดปล่อยข้าไปเถิด ข้าขอโทษท่านจริงๆ”
เห็นสีหน้าของฉู่หนิงสองพ่อลูกไม่การเคลื่นไหวแล้ว เขาจึงกัดฟันก่อนจะตบเข้าที่หน้าของตัวเองแรงๆ
“เป็นความผิดของข้าเอง…เป็นความผิดของข้าเอง! ข้าน้อยสมควรตาย!”
แก้มของเขาบวมแดง หลงเหลือรอยฝ่ามือเอาไว้
เมื่อฉู่หนิงไม่ได้เอ่ยปากเขาก็ไม่กล้าห้าม
จนกระทั่งรีบฝีปากของเขาเต็มไปด้วยคาบเลือดฉู่หนิงจึงแสยะยิ้ม และเดินไปยังประตูใหญ่ มู่เถิงเห็นทั้งสองจะเดินไปก็ร้อนรน และรีบเดินไปทันที
“ท่านฉู่หนิง ได้โปรดท่านเก็บจดหมายเอาไว้เถอะ ถ้าไม่อย่างงั้นข้ากลับไปคงไม่รู้จะอธิบายอย่างใด!”
ฉู่หนิงไม่อยากจะสนใจและไม่อยากจะมองแม้แต่หางตา
มู่เถิงรีบคุกเข่าลง ก่อนจะคำนับแรงๆ
“ท่านฉู่หนิง ขอร้องท่านล่ะ แม่นางใหญ่ ท่านขอร้องท่านฉู่หนิงให้ข้าทีเถิด”
ฉู่หนิงยกมุมปากขึ้นยิ้ม ก่อนจะหยิบจดหมายนั้นมาแล้วเปิดออกตามอำเภอใจ
นายท่านเป็นนคนเขียนจดหมายฉบับนี้ด้วยตัวเอง อีกอย่างคำพูดนั้นก็เกรงใจมาก เห็นได้ชัดว่าอยากจะพูดอธิบาย
ฉู่หนิงขมวดคิ้ว และในแววตาก็มีความขยะแขยงเกิดขึ้น
“เยว่เอ๋อร์ ของแบบนี้มีอันใดน่าดูกัน สกปรกตาเปล่าๆ”
ฉู่หลิวเยว่กะพริบตาให้เขา ก่อนจะมองไปยังมู่เถิง
“เจ้าหมายความว่า ถ้าวันนี้ไม่ได้ให้จดหมายท่าน กลับไปคงต้องตายสถานเดียวสินะ?”
มู่เถิงพูดอย่างซาบซึ้ง
“ใช่! แม่นางใหญ่”
“งั้นก็ดีมากเลย เจ้าถือมันไว้ให้ดีก็พอ”
ฉู่หลิวเยว่ยื่นจดหมายกลับไปในมือมู่เถิงอย่างยิ้มแย้ม
“ไปดีล่ะ ขอไม่ส่งก็แล้วกัน”
มู่เถิงจ้องอย่างเหม่อลอย จากนั้นก็เหมือนรู้ถึงอันใดบางอย่างแล้วสีหน้าก็ซีดทันที
“แม่นางใหญ่”
“พวกเราสองคนพ่อลูกได้ตัดขาดสัมพันธ์กับตระกูลฉู่ไปแล้ว คำว่าแม่นางใหญ่คำนี้ ข้าคงรับไว้ไม่ได้เช่นกัน”
พูดจบ ฉู่หลิวเยว่กับฉู่หนิงก็หันตัวเดินกลับไป
มู่เถิงทำหน้าตาหมดหวัง และมองดูเงาของทั้งสองคนค่อยๆ หายไป ก่อนจะรีบตะโกน
“ท่านฉู่หนิง นายท่านบอกว่าต่อให้ท่านไม่ยอมกลับไปยังตระกูลฉู่ก็ขอให้ท่านลองนึกถึงท่านผู้นำตระกูลหน่อยเถิด!”
ฉู่หนิงหยุดชะงักไป แล้วไปหน้าก็เต็มไปด้วยความรู้สึกโมโห
ฉู่หลิวเยว่เหลือบมองเขาด้วยหางตา
มู่เถิงเห็นแบบนั้นแล้วก็รู้สึกว่าได้ผล ก็ตะโกนเสียงดัง
“ท่านผู้นำตระกูลรักท่านมาก ถ้าออกจากการจำศีลแล้วมาเห็นว่าบ้านตระกูลฉู่กลายเป็นแบบนี้ ต้องผิดหวังมากแน่นอน”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มมุมปาก
ตอนนี้เริ่มพูดแบบนี้เสียแล้ว ตอนนั้นที่คนในตระกูลฉู่รังแกพวกเขา เหตุใดถึงไม่มีใครคิดว่าจะทำให้ท่านผู้นำตระกูลฉู่ผิดหวังเลยสักนิด
ในใจของฉู่หนิงมีความลังเลเกิดขึ้น ก่อนจะหันตัวกลับไป
“ไปกัน”
เขาไม่ได้มองกลับไป แต่กลับลากฉู่หลิวเยว่เดินไปทันที
ฉู่หลิวเยว่ถอนหายใจเบาๆ
“ท่านพ่อ พ่อกลับไปดูสักหน่อยดีหรือไม่”
ฉู่หนิงเงยหน้าด้วยความตกใจ
“เยว่เอ๋อร์?” ฉู่หลิวเยว่ตบไหล่ของเขาเบาๆ
นางไม่มีความรู้สึกอันใดต่อตระกูลฉู่อยู่แล้ว ตระกูลฉู่จะเป็นอย่างใดหรือท่านผู้นำตระกูลฉู่จะเป็นเช่นใด สำหรับนางแล้วไม่ได้สำคัญอันใดตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
แต่สำหรับฉู่หนิงนั้นไม่เหมือนกัน
ถึงอย่างใดผู้นำตระกูลฉู่ก็เป็นพ่อของเขา
ถ้าจะบอกว่าระหว่างพวกเขาไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ ก็เป็นไปไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่รู้ดีว่าที่ฉู่หนิงตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลฉู่ หลักๆ แล้วก็เป็นเพราะทำเพื่อนาง
คำพูดเหล่านั้นของมู่เถิงสำหรับนางแล้วไม่มีความหมายอันใดเลยสักอย่าง เพียงแต่ยากที่จะไม่ทำให้ฉู่หนิงหวั่นไหว
“ไม่ว่าอย่างใด เยว่เอ๋อร์ก็ไม่อยากจะเห็นพ่อไม่มีความสุข”
นางจึงเอ่ยปากเสียงเบา ฉู่หนิงเข้าใจความหมายของนางแล้วก็รู้สึกอบอุ่นในใจ
ลังเลอยู่สักพักและในที่สุดก็เอ่ยปากว่า
“วางใจเถิด พวกเราตัดขาดกับตระกูลฉู่ไปแล้ว ฉะนั้นไม่ว่าอย่างใด พวกข้าก็จะไม่กลับไปแน่นอน พ่อไปแล้วเดี๋ยวก็กลับ จะได้เป็นการอธิบายให้ท่านตาได้ด้วย”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้า
“ถ้างั้นข้าจะรอพ่อกลับมา”
มู่เถิงได้ยินฉู่หนิงตอบรับว่าจะกลับไปตระกูลฉู่แล้ว ก็รู้สึกได้ชีวิตกลับคืนมาอีกครั้ง
“ขอบใจท่านฉู่หนิงมาก ขอบใจแม่นางหลิวเยว่”
ฉู่หนิงกล่าวลาฉู่หลิวเยว่สักพัก จึงกลับไปพร้อมมู่เถิง
ฉู่หลิวเยว่มองฉู่หนิงจากไปจนกระทั่งเงาของเขาหายไป จึงหันตัวเดินผ่านประตูใหญ่ ก่อนจะเดินเข้าลานกว้างไป
นางเดินไปยังห้องของตัวเอง
เมื่อเดินไปถึงประตูแล้ว นางก็วางมีลงบนประตูแล้วคิดจะผลักเข้าไป
จู่ๆ การกระทำของนางก็หยุดชะงักไป มีลำแสงเยือกเย็นส่องออกมา
จากนั้น นางจึงถอยหลังทันทีก่อนที่ลำแสงสีดำจะพังประตูออกมา
เพียงพริบตาเดียว ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่ทันที
ฉู่หลิวเยว่ยังมองเห็นได้ไม่ชัด ก็ถูกคลุมด้วยตาข่ายขนาดใหญ่แล้ว