ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 351 ค้นหา
ตอนที่ 351 ค้นหา [รีไรท์]
“แต่เหมือนฉู่หลิวเยว่จะอยู่ที่ชั้นสองตลอดเลยนะ…นางเป็นผู้ฝึกตนระดับซวน อีกทั้งยังปรุงโอสถขั้นเทพ เหตุใดจึงไม่ขึ้นไปชั้นสามชั้นสี่กันล่ะ?”
ชั่วขณะหนึ่ง ผู้อาวุโสมั่วชังเลิกสนใจสีหน้าของเฉิงหัน พร้อมบ่นงุบงิบเบาๆ
ทว่าประโยคนี้ทำให้เฉิงหันกังวลมากขึ้นกว่าเดิม
ใช่แล้ว!
ถ้านางค้นหาตำราไปเรื่อยเปื่อยจริงๆ เหตุใดนางจึงปักหลังอยู่ที่ชั้นสอง แต่ไม่ไปหาดูที่ชั้นอื่น?
และแม้ว่าจะหาตำราระดับตี้ได้แล้ว แต่นางก็ยังค้นหาตำราเล่มอื่นมาอ่านต่อไม่หยุด!
นางตั้งใจหาอันใดอยู่กันแน่!
ยิ่งคิดเฉิงหันก็ยิ่งวิตกกังวล
ทว่าตอนนี้เขาไม่สามารถพุ่งตัวเข้าไปห้ามฉู่หลิวเยว่ได้!
ตัวอักษรบนแผ่นศิลายังคงปรากฏขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ฉู่หลิวเยว่ยังคงพลิกอ่านหนังสือบนชั้นสองด้วยความเร็วที่ไม่ธรรมดา
ผ่านไปหนึ่งเล่ม
ผ่านไปสองเล่ม
ผ่านไปสามเล่ม
เมื่อเห็นเฉิงหันยืนนิ่งไม่ขยับ คนอื่นๆ ก็ไม่กล้าขยับตาม และทำได้เพียงรอเงียบๆ เท่านั้น
ผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดผู้อาวุโสมั่วชังก็เอ่ยออกมา
“…ท่านจ้าวสำนัก ฉู่หลิวเยว่คงใช้เวลาอยู่ในนั้นอีกพักหนึ่ง ท่าน…คงไม่ได้วางแผนจะรออยู่ที่นี่จนนางออกมาใช่หรือไม่ขอรับ”
เฉิงหันรู้สึกหงุดหงิดกว่าเดิม
เขารู้แก่ใจดี! แต่นี่คือสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดในตอนนี้!
ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดเลยว่าฉู่หลิวเยว่จะหานภาปลายนิ้วเจอ อีกทั้งยังเปิดผนึกมันได้อีก!
ทว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไปคงผิดวิสัยไปหน่อย และอาจจะดึงดูดสายตาใคร่รู้ของใครต่อใครเพิ่มขึ้นก็ได้
“พวกเจ้าจงรอบคอบให้มาก! ตำราทั้งหมดที่ฉู่หลิวเยว่เปิดอ่าน จะต้องได้รับการจดบันทึกอย่างสมบูรณ์!”
พูดจบเขาก็สะบัดแขนเสื้อดังพรึบ แล้วหันหลังจากไปอย่างรวดเร็ว
ผู้อาวุโสมั่วชังรู้สึกได้ถึงปฏิกิริยาของเฉิงหันที่ดูแปลกไป และอดไม่ได้ที่จะเหลือบมองหอสมุดอีกครั้ง
ความจริงแล้ว จ้าวสำนักกังวลเรื่องอันใดอยู่กัน?
…
เมื่อเฉิงหันและผู้อาวุโสมั่วชังกลับไปแล้ว ก็เหลือเพียงสองชายชาตรีที่ยืนเฝ้าหอสมุดอยู่
ในเมื่อเรื่องมันเลยเถิดมาถึงจุดนี้ พวกเขาจึงไม่กล้าหละหลวมต่อหน้าที่ และจำต้องดำเนินการต่อด้วยสภาพจิตใจที่ตึงเครียด
แต่ละวินาทีผ่านไปอย่างรวดเร็ว ไม่นานดวงจันทร์กลมสวยก็ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า
ทว่าไฟจากชั้นสองยังคงส่องสว่างเจิดจ้า
หนึ่งในคนเฝ้ายามหาว และบ่นพึมพำอย่างอดไม่ได้
“…นี่ฉู่หลิวเยว่จะอ่านถึงยามใดกัน นี่ก็ดึกดื่นมากแล้ว เหตุใดนางจึงยังไม่นอนอีก?!”
ชายอีกคนหาวตามหวอดๆ อย่างเอื่อยเฉื่อยราวโรคติดต่อ
“การที่สามารถเข้าไปในหอสมุดและยืมอ่านตำราได้อย่างอิสระ ใครมันจะยอมพลาดโอกาสนี้กัน? หากเป็นเจ้า เจ้าจะยอมทิ้งโอกาสแล้วหลับในที่แบบนั้นรึ? นอกจากนี้ นางเพิ่งหาตำราระดับตี้เจอ คงตื่นเต้นมากเป็นแน่! เพราะหากข้าพบตำราระดับตี้ ข้าก็คงถ่างตาอ่าน ไม่หลับไม่นอนเช่นกัน!”
“ถึงจะว่าอย่างนั้น แต่ปกติแล้วทุกคนต้องนอนพักผ่อนมิใช่รึ? นางไม่เหนื่อย แต่ข้าที่จดจนมือหยิกมาทั้งวัน เหนื่อยจนสายตัวแทบขาด!”
ทั้งสองคนจับตามองอยู่แบบนั้นพักหนึ่ง หลังจากเห็นว่าฉู่หลิวเยว่ไม่มีท่าทางจะหยุดอ่าน พวกเขาจึงหารือแลทำการสลับกะกันเฝ้าเวร และจดบันทึก
…
“ไม่ใช่…ไม่ใช่เล่มนี้…นี่ก็ไม่ใช่…”
ฉู่หลิวเยว่อ่านตำราหนึ่งเล่มแบบรวดเดียวจบด้วยความว่องไว ทว่าไม่พบสิ่งที่ตามหา
ตั้งแต่ค้นเจอนิภาปลายนิ้ว นางก็ได้เร่งความเร็วในการอ่านมากขึ้น จนถึงตอนนี้ นางอ่านตำราได้ถึงหนึ่งในห้าของตำราทั้งหมดบนชั้นสองแล้ว
แต่ก็ยังหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับนิภาปลายนิ้วไม่ได้
ท่ามกลางกองตำราศิลปะการต่อสู้นับหมื่น ยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีก
ร่างบางถอนหายใจอีกครา
หรือทั้งหอสมุดจะมีตำรานิภาปลายนิ้วอยู่เพียงเล่มเดียวจริงๆ
สุดท้ายแล้ว หากสำนักไท่เหยียนมีนิภาปลายนิ้วฉบับสมบูรณ์จริงๆ มันคงสร้างความแตกตื่นต่อมวลมนุษย์ชาติไปนานแล้ว
ฉู่หลิวเยว่เตรียมก้าวไปข้างหน้าต่อ ทว่าจู่ๆ ถวนจื่อก็โพล่งพรวดออกมาตรงหน้านาง ดวงตากลมโตของมันฉายแววไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน
นางชะงักไปเล็กน้อย
“มีอันใดรึ ถวนจื่อ?”
สองเท้าของมันประกบทับซ้อนกัน และวางรองไว้ใต้ศีรษะ
ท่าทางน่าเอ็นดูนั่น ทำเอาฉู่หลิวเยว่หลุดหัวเราะออกมา
“เจ้าอยากให้ข้านอนพักผ่อนงั้นรึ?”
ถวนจื่อพยักหน้าตอบ
ฉู่หลิวเย่วส่ายหน้า “วางใจเถิด ตอนนี้ข้างยังไม่ง่วงเลย”
นางครุ่นคิดเกี่ยวกับสิ่งที่น่าตกใจที่วนเวียนอยู่ในหัวซ้ำไปซ้ำมา จนนางแทบไม่อยากพักผ่อน
ทว่าขณะที่กำลังจะก้าวเท้า ถวนจื่อก็หยุดนางไว้อีกครั้ง พร้อมส่ายหน้าระรัว
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มบาง พลางหูบหัวมันเบาๆ
“ก็ได้ ไม่ค้นต่อแล้ว ข้าจะนอนแล้ว”
เมื่อพอใจกับสิ่งที่ได้ยิน ถวนจื่อก็พุ่งตัวเข้าไปถูไถตัวเองกับใบหน้าของนางอย่างรักใคร่
และอาจเป็นเพราะวันนี้นางเหนื่อยเกินไป ไม่ช้านางก็ผล็อยหลับไปทันที
…
เช้าวันรุ่งขึ้น ฉู่หลิวเยว่ตื่นแต่เช้า และเดินหน้าค้นหาต่อจากตำแหน่งเดิมที่นางหยุดพักไว้เมื่อวานนี้
ส่วนคนสองคนที่รับผิดชอบจดบันทึกนอกหอสมุดนั้นแทบไม่ได้นอนทั้งคืน และตอนนี้ใต้ตาพวกเขาก็มีรอยคล้ำปรากฏขึ้นมาเด่นชัด
พวกเขาจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าฉู่หลิวเยว่หยุดค้นหายามใด พอรู้ตัวอีกทีนางก็เริ่มค้นตำราต่อแล้ว
ทั้งสองคนไม่กล้าขัดคำสั่งผู้เป็นนาย ดังนั้นจึงได้แต่ยอมรับชะตากรรมของพวกเขาและจดบันทึกต่อไป
…
เฉิงหันนอนไม่หลับทั้งคืน
แม้จะตื่นขึ้นมาในตอนเช้า แต่ภาพที่น่าสะพรึงกลัวในหัวก็ยังไม่หายไปไหน
ซึ่งภาพทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับฉู่หลิวเยว่ทั้งนั้น
และยังมี…นิภาปลายนิ้ว
เขารู้สึกไม่สบายใจและวางแผนที่จะไปที่สอดส่องดูที่หอสมุดอีกครั้ง แต่ทันทีที่ก้าวผ่านประตู กลับต้องเจอคนที่มาดักทางกันแต่เช้าตรู่เสียก่อน
ซึ่งไม่ใช่ใครเลยนอกจากกรรมการตรวจสอบอย่าง หยางเจี้ยนชิงกับเหิงจิ่งชั่ว
พวกเขาพาคนอื่นมาด้วย คนเหล่านั้นต้องการให้ผู้อาวุโสจากสามสำนักวิชาที่มีชื่อเสียงสอบปากคำไปพร้อมๆ กัน
ทำให้เฉิงหันจำต้องเดินตามพวกเขาไปอย่างเลี่ยงไม่ได้
ส่วนเรื่องของหอสมุด คงต้องหยุดไว้เพียงเท่านี้
…
แคว้นเย่าเฉิน ณ พระราชวังหลวง
จักรพรรดินีทอดมองคนสองคนด้านหน้า พลันเอ่ยถาม
“ยังไม่มีข่าวคราวอันใดอีกหรือ?”
สองคนนั้นพยักหน้า
“จักรพรรดินีทรงโปรด ข้าน้อยทั้งสองได้แอบค้นทั่วเมืองหลวง แต่ยังไม่พบร่องรอยขององค์หญิงสี่เลยพะย่ะค่ะ”
ทันใดนั้น จักรพรรดินีก็ทรุดฮวบราวสูญเสียกำลังทั้งหมด และเอนหลังพิงเก้าอี้อย่างหมดแรง
นี่ก็ผ่านมาหลายวันแล้ว แต่ยังไม่มีข่าวของหรงเจินเลย
ชายสองคนนี้เป็นคนของตระกูลซือ หากพวกเขาว่าเช่นนี้ ย่อมหมายความว่าพวกเขาหาไม่เจอจริงๆ
จักรพรรดินีหลับตาลงอย่างอ่อนแรง
เดิมทีนางวางแผนที่จะขอให้ซือถิงไปที่บ้านของฉู่หลิวเยว่เพื่อสอบถามข่าวบางอย่าง แต่ซือถิงปฏิเสธ และก่อนที่นางจะหาคนที่เหมาะสมได้ ฉู่หลิวเยว่ก็เดินทางไปที่สำนักไท่เหยียนแล้ว
หมดสิ้นหนทางแล้วจริงๆ
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเจ้าไปเถอะ”
นางโบกมือไล่ทั้งสองคนออกไป
ทุกคนในวังต่างรู้แค่ว่าพวกเขาเป็นคนตระกูลซือ และอ้างว่ามาที่นี่เพื่อส่งของในนามตระกูลซือเท่านั้น ดังนั้นพวกเขาจึงอยู่ได้ไม่นาน
คล้อยหลังสองคนนั้น จักรพรรดินียังคงนั่งอยู่ที่เดิมไม่พูดไม่จา
“จักรพรรดินีทรงกลุ้มใจเรื่องใดหรือ?”
ทว่าจู่ๆ เสียงทุ้มอันคุ้นเคยก็ดังมาจากหน้าประตูโถงทางเข้า
จักรพรรดินีตกใจสะดุ้งพลางเงยหน้าขึ้นทันที ก่อนจะเห็นจักรพรรดิจยาเหวินที่ยืนอยู่ตรงนั้น!
นางตกใจและรีบลุกขึ้นทำถวายบังคมอย่างเร็ว
“หม่อมฉัน ขอถวายบังคมเพคะ ฝ่าบาท!”
จักรพรรดิจยาเหวินก้าวเข้ามาพยุงนาง
“จักรพรรดินีทรงเกรงใจเกินไปแล้ว”
จักรพรรดินียิ้มบาง พลางมองข้าราชบริพารที่ประตู แล้วเอ่ยว่า
“ฝ่าบาทเสด็จมาถึงที่นี่ทั้งที แต่กลับไม่มีผู้ใดบอกกล่าวกับข้า! พวกเจ้านี่มัน…”
“จักรพรรดินีอย่าโกรธพวกเขาเลย ข้าเองที่สั่งมิให้ผู้ใดเอิกเกริก”
พระจักรพรรดิจยาเหวินส่ายหน้าไปมา
จักรพรรดินีรีบปรับสีหน้าอย่างรวดเร็วและพูดด้วยรอยยิ้ม
“ในเมื่อฝ่าบาทกล่าวเช่นนั้น ก็ไม่มีเหตุผลอันใดที่หม่อมฉันจะโต้แย้ง นานแล้วที่พระองค์ไม่ได้เสด็จมา หม่อมฉันปลื้มใจยิ่งนักเพคะ”
พระจักรพรรดิเอ่ยตอบ
“ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยมีเวลาให้พวกเจ้าสองแม่ลูก และข้าได้ยินมาว่าเจ้าอารมณ์ไม่ดีนัก จึงเดินทางมาดูด้วยตาตนเอง แล้วก็ ข้าไม่ได้เจอเจินเจินนานแล้ว เหตุใดเราสองคนจึงไปเยี่ยมนางด้วยกันเล่า?”