ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 353 ผู้อาวุโสจงเยี่ย
ตอนที่ 353 ผู้อาวุโสจงเยี่ย [รีไรท์]
เวลาผ่านไปไวราวพริบตา ฉู่หลิวเยว่อุดอู้อยู่ในหอสมุดสำนักไท่เหยียนมาห้าวันแล้ว
นอกจากเวลางานและเวลาพักผ่อนตามปกติแล้ว พลังงานส่วนใหญ่ของนางถูกใช้ไปกับการลงทุนค้นหาตำราในหอสมุด
เมื่อเช้าของวันที่หกมาถึง ฉู่หลิวเยว่ก็วางตำราในมือลงแล้วถอนหายใจยาวพรืด
“ถ้ายังหาไม่เจออีกล่ะก็…”
ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางอ่านตำราทั้งหมดบนชั้นสองแล้ว แต่ก็ยังไม่พบสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับนิภาปลายนิ้วเลย
เดิมทีนางตั้งความหวังไว้กับตำราเล่มนี้ แต่ก็ต้องผิดหวังอีกตามเคย
ร่างบางเงยหน้ามองด้านบน
ชั้นสามคือตำราระดับซวน ชั้นสี่คือตำราเกี่ยวกับใบสั่งยาและการปรุงโอสภ
แม้ว่านางจะไม่ต้องการตำราพวกนั้น แต่ขึ้นไปดูเสียหน่อย ก็ไม่เสียหายอันใด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นางก็หมุนตัวเดินขึ้นไปด้านบนทันที
…
เมื่อเฉิงหันมาที่หอสมุดอีกครั้ง เขาก็เห็นชายสองคนที่เฝ้าอยู่หน้าหอสมุดพร้อมกองสมุดสองกองอยู่ข้างกายของใครของมัน
ไม่ต้องถามก็รู้ได้ทันทีว่า นั่นคือกองสมุดบันทึกชื่อตำราที่ฉู่หลิวเยว่เปิดอ่าน
เปลือกตาของเฉิงหันกระตุกอย่างรุนแรง
ตอนวันแรกที่มา เขาคิดว่าฉู่หลิวเยว่เป็นเพียงคนจองหองคนหนึ่ง แต่เขาประเมินนางต่ำไป!
“ท่านจ้าวสำนัก! ท่านมาแล้วหรือ?”
สี่ห้าวันมานี้ชายหนุ่มทั้งสองต้องทนทุกข์ทรมานกับฉู่หลิวเยว่ จนใบหน้าซีดเซียวดูไม่ได้ แต่พอเห็นเฉิงหันเดินเข้ามา กลับประปรี้กระเปร่าขึ้นทันที
“นางอ่านไปเยอะเพียงใดแล้ว?”
เฉิงหันโพล่งถามออกไปตรงๆ
สองสามวันมานี่เขามัวแต่ยุ่งอยู่กับการจัดการหยางเจี้ยนชิงและเหิงจิ่งชั่ว จนไม่มีเวลากลับมาที่นี่เลย
แต่เขาไม่อยากเปิดดูสมุดบันทึกเหล่านั้นเลยสักนิด!
ชายสองคนมองหน้ากันอย่างกระอักกระอ่วน
“บอกข้ามาเดี๋ยวนี้!”
“หลังจากท่านจ้าวสำนักกลับไป ไม่กี่วันต่อมา นางก็เปิดผนึกอ่านตำราบนชั้นสองจนหมดทั้งชั้น…”
หนึ่งในนั้นพูดอย่างขมขื่น
นัยน์ตาของเฉิงหันเข้มขึ้น หัวใจของเขากระตุกวูบราวจะเป็นอัมพาต
“อย่างนั้น…ตำราระดับตี้ล่ะ?!”
“…นางไม่ได้เปิดผนึกตำราระดับตี้เล่มใหม่ นางอ่านเพียงเล่มแรกที่นางเจอเท่านั้นขอรับ”
พลันบรรยากาศอึมครึมในสายตาของเฉิงหันก็ค่อยๆ จางหายไป
เขากลืนน้ำลายอึกใหญ่อย่างยากเย็น
อย่างนั้นก็ดีแล้ว ดีจริงๆ เพราะนั่นคือจุดที่ร้ายแรงที่สุด!
ขอเพียงแค่นางไม่ค้นหาต่อ… เขาจะต้องกอบกู้ทุกอย่างให้กลับคืนสู่ปกติได้แน่!
“ตอนนี้นางอยู่ชั้นสามหรือ?”
“ขอรับ”
“นาง…”
“ท่านผู้อาวุโส!”
ขณะที่เฉิงหันกำลังจะเอ่ยต่อ จู่ๆ กลับมีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้น จนเขาต้องชะงักคำพูดนั่นแล้วหันไปมอง
“ซิงเฉิน เจ้ามาได้อย่างไร?”
ซือถูซิงเฉินยิ้มบาง
“การที่ศิษย์ซิงเฉินมาวันนี้ เพราะอยากจะมาขอลาท่านอาจารย์ชั่วคราว เพื่อขอตัวกลับเข้าวังเจ้าค่ะ”
เฉิงหันถามด้วยความสงสัย “เหตุใด จู่ๆ เจ้าจึงกลับไปที่นั่น?”
โดยปกติแล้วซือถูซิงเฉินจะอยู่แต่ในสำนักวิชาเป็นส่วนใหญ่ และมักจะกลับไปที่วังยามมีธุระต้องจัดการเท่านั้น
ซือถูซิงเฉินพยักหน้าเบาๆ “วันนี้ผู้อาวุโสจงเยี่ยเดินทางมาถึงแล้ว”
“ผู้อาวุโสจงเยี่ยหรือ ว่องไวอันใดเช่นนี้”
เฉิงหันตกใจจนแทบพูดไม่บอก
“คืนนี้ท่านพ่อจะจัดงานเลี้ยงต้อนรับท่านผู้อาวูโสจงเยี่ย ข้าเลยจึงต้องกลับไป”
เฉิงหันเข้าใจดี
ความจริงแล้วผู้อาวุโสจงเยี่ยนั้น เป็นพี่ชายของพระมเหสีจงอวี่ซี จักรพรรดินีคนปัจจุบันของแค้นซิงหลัว และมีศักดิ์เป็นลุงของซือถูซิงเฉิน
เขาเป็นผู้อาวุโสที่ทรงคุณวุติอย่างหาตัวจับได้ยากจากเทียนซานหมิงเยว่
เมื่อครั้งเยาว์วัย ซือถูซิงเฉินเองก็เคยถูกส่งไปที่นั่น จนได้รับความความสัมพันธ์อันดีกลับมา
เทียนซานหมิงเยว่อยู่ไกลจากที่นี่มาก และผู้คนที่นั่นไม่ค่อยลงจากเขา ดังนั้นการที่ผู้อาวุโสจงเยี่ยลงจากเขามาในครั้งนี้ จึงถือว่าเป็นโอกาสที่ค่อนข้างหายากยิ่งนัก
และเหตุผลที่เขาทำเช่นนี้ นั่นก็เพื่อซือถูจื่อเยว่
ก่อนหน้านี้ที่งานสามคมเยาวชน เขาพ่ายแพ้ให้แก่ฉู่หลิวเยว่ ซึ่งเป็นความพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ที่ส่งผลกระทบไปทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ
เขาสูญเสียความมั่นใจจนส่งผลให้ร่างกายทรุดโทรม เมื่อเห็นเช่นนั้น จงอวี่ซีก็เป็นทุกข์อย่างยิ่ง และได้เชิญผู้อาวุโสจงเยี่ยมาช่วยเหลือ
มองอีกแง่มุมคือนางอยากให้เขามาช่วยตรวจดูสภาพร่างกายของจื่อเยว่ ส่วนอีกนัยคืออยากดูว่าเขาสามารถสั่งสอนชี้แนะจื่อเยว่ได้หรือไม่
และแน่นอนว่านางเองก็คิดถึงพี่ชายที่ไม่ได้เจอมาหลายปีเช่นกัน
ในเมื่อตอนนี้ผู้อาวุโสจงเยี่ยอยู่ที่นี่แล้ว พวกเขาย่อมต้องต้อนรับเขาอย่างยิ่งใหญ่เป็นธรรมดา
“ควรเป็นเช่นนั้น หากเจ้าเจอผู้อาวุโสจงเยี่ย ฝากทักทายเขาแทนข้าด้วย” เฉิงหันเอ่ย
ซือถูซิงเฉินตอบรับด้วยรอยยิ้ม พลันกวาดตามองกองสมุดเล่มเล็กข้างๆ ชายเฝ้าหอสมุดนั้นอย่างใจเย็น ก่อนจะมีร่องรอยของความมืดมิดปรากฏในดวงตาของนาง
“สมุดเหล่านี้…เอาไว้จดรายชื่อตำราที่ฉู่หลิวเยว่อ่านหรือ?”
เมื่อกล่าวถึงสิ่งนี้ สีหน้าของเฉิงหันก็ดูไม่ค่อยดีนัก
“อย่าไปสนใจนางเลย! ก็แค่เปิดตำราไปเรื่อยๆ ส่วนสิ่งที่นางจำได้จริงๆ นั้นแทบไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ด้วยซ้ำ!”
รอยยิ้มบนใบหน้าสวยของซือถูซิงเฉินดูฝืดเคือง
แค่ฟังคำพูดของเฉิงหัน ก็สามารถเดาได้ว่าจำนวนตำราที่ฉู่หลิวเยว่ยืมอ่านในห้องสมุดนั้นมีมากมายเพียงใด เรียกได้ว่าเยอะจนน่ากลัวเลยทีเดียว
นางอยู่ในสำนักไท่เหยียนมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ก็ยังอ่านตำราได้ไม่เยอะเท่าฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งเข้ามาเลย
ยิ่งไปกว่านั้น นางได้ยินมาจากผู้อาวุโสมั่วชังว่า ฉู่หลิวเยว่ค้นพบตำราศิลปะการต่อสู้ระดับตี้ด้วย!
ซือถูซิงเฉินไม่พอใจอย่างมาก
แต่พอเห็นว่าเฉิงหันไม่อย่างเอ่ยถึงเรื่องนี้ นางจึงเลือกเก็บความสงสัยไว้ใจแทน
“ขณะที่ข้าไม่อยู่ คงไม่มีผู้ใดดูแลยอดเขาโอสถแล้ว ท่านอาจารย์โปรดให้อภัยข้าด้วยเถอะเจ้าค่ะ”’
“เรื่องของผู้อาวุโสจงเยี่ยสำคัญกว่า เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับยอดเขาโอสถไปหรอด ไปเถิด!” เฉิงหันโบกมือ
ซือถูซิงเฉินทำความเคารพอีกครั้ง แล้วหันหลังเดินจากไป
จากนั้นเฉิงหันก็หมุนตัวกลับมามองหอสมุดอีกครั้ง
เขาไม่เคยอยากให้เวลาผ่านไปเร็วขนาดนี้มาก่อนเลย!
…
ฉู่หลิวเยว่ใช้เวลาสำรวจชั้นสามและชั้นสี่อยู่สองวัน
แม้จะเป็นสถานที่รวมตำราระดับซวนขั้นสูงไว้มากมาย รวมทั้งใบสั่งยาหายากบางชนิด แต่สำหรับฉู่หลิวเยว่แล้ว มันแทบไม่มีค่าอันใดเลย
ความรู้ที่อยู่ในสมองของนาง มีมากกว่าที่นี่หลายเท่า
ทว่าเหตุผลที่นางยังคงใช้เวลาอยู่บนสองชั้นนี้เป็นเวลานาน นั่นก็เพราะนางยังไม่ยอมแพ้เรื่องนิภาปลายนิ้ว
นางมีลางสังหรณ์ในใจว่า อาจมีบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับนิภาปลายนิ้วอยู่ที่นี่
ดังนั้นนางจึงค้นหาต่อไปอีกสองสามวัน
แต่น่าเสียดายที่ยังไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่หวัง
เมื่อว่างนางก็จะท่องเนื้อหาของนิภาปลายนิ้วในใจ วนเวียนซ้ำไปซ้ำมาไม่ต่ำกว่าร้อยครั้ง เป็นการย้อนรอยเพื่อทบทวน
น่าเสียดายที่เนื้อหาของมันยังไม่สมบูรณ์
ฉู่หลิวเยว่วางตำราทักษะทางการแพทย์ในมือของนางลง
ตอนนั้นนางคิดว่าเวลาสิบวันคงไม่พอ แต่ตอนนี้กลับคิดว่าไม่ต้องรอให้ถึงวันสุดท้าย นางก็พร้อมออกไปโดยไม่คิดยื้อขอเวลาอยู่ต่อแล้ว
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดนางก็ตัดสินใจจากไป
ทว่าขณะที่นางกำลังจะลงไปข้างล่าง จู่ๆ ก็มีคลื่นประหลาดก็โผล่ขึ้นมาเหนือศีรษะของนาง!
ร่างบางเงยหน้าขึ้นมองทันที!
ความผันผวนนั่นมาจากชั้นห้า!