ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 355 อาณาเขตเซียนเทพ
ตอนที่ 355 อาณาเขตเซียนเทพ [รีไรท์]
ฉู่หลิวเยว่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่ลังเล
เมื่อก้าวเข้าสู่มิติแช่แข็ง ความรู้สึกเย็นยะเยือกก็พัดผ่านปะทะร่างของนางทันที
พื้นที่ทั้งหมดเปรียบเสมือนอวกาศว่างเปล่า ทว่าแฝงไปด้วยพลังปราณที่ยังคงไหลเวียนอยู่ ฉู่หลิวเยว่สัมผัสถึงพลังที่ต่อต้านการมาเยือนของนางได้อย่างชัดเจน ราวกับเดินอยู่ในลำธารอันเงียบสงบที่มาพร้อมกระแสน้ำเอื่อยๆ
นางกลั้นหายใจและเงยหน้ามองด้านบนอย่างสงสัย
ขนนกสีดำชิ้นนั้นลอยอยู่ตรงกลางห้วงมิติอย่างเงียบเชียบ ราวกับไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น มันจะไม่มีทางถูกทำลายได้ง่ายๆ
ฉู่หลิวเยว่รู้ว่านั่นคือกุญแจสู่อาณาเขตเซียนเทพของอินทรีสามตา
ทุกสิ่งทุกอย่างในพื้นที่นี้ถูกควบคุมโดยขนนกสีดำชิ้นนั้น
ฉู่หลิวเยว่แอบประหลาดใจกับความมหัศจรรย์ของอาณาเขตเซียนเทพ
ว่ากันว่า หากผู้ฝึกตนมีความอุสาหะ มุทะลุจนได้เลื่อนขั้นเป็นจอมยุทธระดับเก้าแล้ว ผู้นั้นจะก้าวไปสู่ตำแหน่งที่สูงขึ้นได้ และจะมีพลังอำนาจในการใช้อาณาเขตเซียนเทพด้วย
ทว่าน่าเสียดาย เพราะสำหรับนางแล้ว มันเป็นเพียงแค่ข่าวลือเท่านั้น
ครั้งหนึ่งบรรพบุรุษของราชวงศ์เทียนลิ่งเคยไปถึงระดับเก้า แต่หลังจากที่เขาทำลายโซ่ตรวนที่พันธนาการขีดจำกัดของร่างกายนั่นแล้ว ไม่นานชายคนนั้นก็จากไปแบบไม่หวนกลับ
ทว่าไม่ได้มีการจดบันทึกเหตุการณ์หลังจากนั้นไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์และชีวประวัติของราชวงศ์เลย
เหลือไว้เพียงคำถามที่คนทั้งโลกยังหาคำตอบไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่คือคนในราชวงศ์เทียนลิ่งเพียงคนเดียว ที่มีชีพจรเทียนจิงเหมือนบรรพบุรุษผู้ล่วงลับคนนั้น ทุกคนจึงแอบคาดหวังให้นางไปถึงระดับเดียวกับบรรพบุรุษ แม้แต่ตัวนางเองก็ยังเพียรพยายามอย่างหนักเพื่อสิ่งนี้
แต่น่าเสียดายที่นางถูกหักหลัง และถูกบังคับให้จุดไฟเผาตัวเองในห้องโถงบรรพบุรุษของราชวงศ์ ทำให้เสียโอกาสนั้นไปตลอดการ
นางแอบถอนหายใจเบาๆ พลันปัดความทรงจำเหล่านั้นทิ้งไป แล้วก้าวยาวๆ ขึ้นไปด้านบน
เมื่อย้ำเท้าไปได้เก้าครั้ง นางก็มาหยุดอยู่ตรงหน้าค่ายกลที่ซับซ้อน
นางเอื้อมมือออกไป และสัมผัสกับดาวกระจายที่กำลังทอแสงออกเป็นแฉกๆ บนค่ายกลอันซับซ้อน
เพียงแต่เวลานี้ ภายใต้อาณาเขตเซียนเทพของอินทรีสามตา ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนตกอยู่ภายใต้การควบคุมของมัน แม้แต่พลังของค่ายกลที่ซับซ้อนนี่ ก็ยังถูกแช่แข็งเกือบหมด จนแทบใช้การไม่ได้
ร่างบางเดินขึ้นไปด้านบนเรื่อยๆ ร่างของนางเคลื่อนตัวผ่านค่ายกลนั้นอย่างเงียบเชียบ
เมื่อหันหลังกลับไปมอง นางก็เห็นว่าค่ายกลที่ลึกล้ำนั่น ได้กลับคืนสู่รูปลักษณ์ก่อนหน้านี้แล้ว โดยไม่มีร่องรอยของการถูกแตะต้องใดใด
ต้องขอยอมรับว่าอินทรีสามตานั้นมีฝีมือพอตัวเลยทีเดียว…
ฉู่หลิวเยว่ครุ่นคิด และในที่สุดนางก็เดินขึ้นไปถึงชั้นห้า!
คลื่นพลังงานที่นางสัมผัสได้ก่อนหน้านี้อยู่ข้างหน้านั่น!
นางเงยมองสิ่งตรงหน้าทันที!
…
ตำหนักหลวง ณ แคว้นซิงหลัว
ที่ห้องบรรทมของซือถูจื่อเยว่
ผู้อาวุโสจงเยี่ยกำลังวัดชีพจรให้เขา โดยมีซือถูซิงเฉินยืนรออยู่ด้านข้างเงียบๆ
ผ่านไปพักใหญ่ ผู้อาวุโสจงเยี่ยจึงคลายมือออก พร้อมยิ้มบาง
“เรียบร้อย อาการบาดเจ็บภายในของเจ้าหายเป็นปกติแล้ว จากนี้มันจะไม่ส่งผลต่อการฝึกฝนของเจ้าอีก”
ได้ยินเช่นนั้นซือถูจื่อเยว่ก็ค่อยๆ คลายความตึงเครียดลงทีละน้อย
“โชคดีจริงๆ ที่ได้ท่านช่วยเหลือ หากสองสามวันที่ผ่านมา ไม่ได้ท่านช่วยรักษาล่ะก็ เกรงว่าร่างกายของข้าคง…”
“หือ…อย่าเอ่ยเช่นนั้นเลย ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสเฉิงหัน อาจารย์ของซิงเฉิน เป็นถึงเซียนหมอระดับห้า ถึงข้าไม่มา เขาต้องรักษาเจ้าให้หายได้อย่างแน่นอน” ผู้อาวุโสจงเยี่ยยิ้มพลางโบกมือ
ซือถูจื่อเยว่ถอนหายใจ และพูดว่า
“พูดตามตรงนะ ผู้อาวุโสจงเยี่ย ไม่ใช่ว่าข้าไม่เชื่อใจจ้าวสำนักเฉิงหัน แต่เพราะข้าแค่… เชื่อใจท่านมากกว่า”
คำเยินยอนี้ทำให้ผู้อาวุโสจงเยี่ยยืดอกชูคอกว่าเดิม
มุมปากของซือถูซิงเฉินยังคงปรากฏรอยยิ้มบางๆ ราวกับว่านางไม่ได้สนใจคำสบประมาทของซือถูจื่อเยว่ที่มีต่ออาจารย์ของตัวเอง
นางอยู่ที่เทียนชายหมิงเยว่มาหลายปี ย่อมรู้จักนิสัยใจคอของผู้อาวุโสจงเยี่ยเป็นอย่างดี
เขาเข้าไปฝึกตนในเทียนชานหมิงเยว่ตั้งแต่ช่วงแรกเริ่ม จนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้อาวุโส และมีสถานะสูงส่ง เป็นที่เคารพนับถือต่อคนทั่วล้า คนธรรมดาอย่างเฉิงหันย่อมเทียบไม่ติดอยู่แล้ว
“ฮ่าๆ! จื่อเยว่ ข้ารู้ว่าเจ้าอยากจะเอ่ยอันใด แต่ซิงเฉินยังอยู่ตรงนี้ เฉิงหันเป็นอาจารย์ของนาง พูดเช่นนี้ เจ้าไม่กลัวว่ามันจะทำร้ายจิตใจนางบ้างหรือ?” ผู้อาวุโสจงเยี่ยเอ่ยพลางหัวเราะในลำคอ
“อันที่จริง ท่านพี่พูดถูกแล้ว ซิงเฉินเองก็คิดว่าผู้อาวุโสเฉิงหันสู้ท่านไม่ได้เหมือนกัน”
ร้อยยิ้มจริงใจและงดงาม ปรากฏขึ้นบนใบหน้าสวยของซือถูกซิงเฉิน
ผู้อาวุโสจงเยี่ยหยิบพัดออกมา แล้วเคาะด้ามพัดลงบนหน้าผากของซือถูซิงเฉินเบาๆ
“ไม่ได้เจอกันหลายปี ปากน้อยๆ ของเจ้านี่ นับวันยิ่งแพรวพราว!”
ซือถูซิงเฉินหัวเราะ
“ท่านพูดหยอกข้าอีกแล้ว”
นางมองออกไปด้านนอกหน้าต่าง ก่อนเอ่ย
“ฟ้ามืดแล้ว ผู้อาวุโสจงเยี่ย ท่านปล่อยให้พี่ชายข้าได้พักผ่อน แล้วให้ซิงเฉินผู้นี่ไปส่งท่านดีหรือไม่?”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยเหลือบมองนางอย่างครุ่นคิด แล้วหัวเราะออกมา
“ได้! งั้นพวกข้าขอตัวก่อน จื่อเยว่จะได้พักผ่อนเยอะๆ!”
เดิมทีซือถูจื่อเยว่ตั้งใจจะไปส่งด้วยตัวเอง แต่ก็ถูกทั้งสองคนปฏิเสธ จนต้องระเห็จกลับมานอนดังเดิม
อีกด้านหนึ่ง ซือถูซิงเฉินเดินออกไปพร้อมผู้อาวุโสจงเยี่ย
หลังจากเดินออกไประยะหนึ่ง จนถึงถนนที่ค่อนข้างห่างไกลและเงียบสงบ ผู้อาวุโสจงเยี่ยก็เอ่ยถาม
“มีเรื่องอันใดกวนใจซิงเฉินอยู่หรือ?”
พลันรอยยิ้มสดใสบนใบหน้าสวยก็บิดเบี้ยวจนไม่น่ามอง
“ผ่านมาตั้งหลายปีแล้ว ไม่ว่าข้าจะปกปิดเช่นไร ก็ไม่เคยรอดพ้นสายตาของท่านได้เลย”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยไพล่มือข้างหนึ่งไว้ด้านหลัง น้ำเสียงของเขาทุ้มต่ำและอ่อนโยนลงกว่าเดิม
“ตั้งแต่เด็ก เจ้าโตมากับข้า จนข้ามองว่าเจ้าเป็นบุตรสาวคนหนึ่งของตนเอง ข้ารู้ว่าช่วงนี้เจ้ามัวแต่วุ่นวายเรื่องของจื่อเยว่ เจ้ามีอันใดในใจ และมันทำให้เจ้าไม่มีความสุข หากเจ้าต้องการ เจ้าสามารถบอกข้าได้ทุกเรื่อง”
ซือถูซิงเฉินแน่นิ่งไปนาน ก่อนจะเอ่ยเสียงเบา
“ผู้อาวุโสจงเยี่ย ท่านทราบหรือไม่ว่า…ท่านพี่หรงซิวหมั้นกับแม่นางผู้อื่นแล้ว?”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ!?”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยชะงัก พลันจ้องมองซือถูซิงเฉินด้วยความตกใจ
“เมื่อไหร่กัน แล้วหมั้นกับผู้ใด!?”
“เมื่อสิบวันก่อน แม่นางที่หมั้นกับเขาก็คือ…ฉู่หลิวเยว่”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยถึงกับสติหลุด
“ผู้ใดกันนั่น”
คนที่วันๆ เอาแต่หมกตัวอยู่บนเทียนซานหมิงเยว่ทั้งปีทั้งชาติอย่างเขานั้น ไม่รู้เรื่องข่าวสารโลกภายนอกเลย
พอได้โอกาสลงจากเขาทั้งที เขากลับต้องตรงมาที่นี่เป็นอันดับแรก และเสียเวลาสองสามวันไปกับการรักษาซือถูจื่อเยว่ จนไม่มีเวลาไปสนใจเรื่องอื่น แม้แต่งานสมาคมเยาวชนเขายังไม่รู้จัก ฉะนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึงความเป็นไปในด้านอื่นๆ เลย
ซือถูซิงเฉินอธิบายเรื่องของฉู่หลิวเยว่ให้อีกฝ่ายฟังสั้นๆ พลางเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์ล่าสุดอย่างกระชับให้เขาฟัง
ผู้อาวุโสจงเยี่ยนิ่งอึ้งพลางสติไม่อยู่กับเนื้อกับัตวอยู่พักหนึ่ง
“เจ้าจะบอกว่า เขาเป็นฝ่ายขอนางหมั้นเองอย่างนั้นหรือ เป็นไปไม่ได้! เขาเป็นคนเย็นชา ไม่ชอบเข้าสังคมแต่ไหนแต่ไร อาศัยอยู่บนเทียนชานหมิงเยว่มาตั้งหลายปี ข้าไม่เคยเห็นเขาติดต่อกับแม่นางผู้ใดเลย แล้วเหตุใดพอกลับไปถึง จึง…”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยมองซือถูซิงเฉินด้วยสีหน้าลำบากใจ
“มิน่าล่ะ ไม่กี่วันมานี่เจ้าถึง…”
ซือถูซิงเฉินรักใครชอบพอในตัวหรงซิว เรื่องนี้เขาเองก็พอจะเดาได้ตั้งแต่เนิ่นๆ พอได้มาเห็นท่าทีเศร้าหมองของซิงเฉินในวันนี้ เขาก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองคิดถูก
ซือถูซิงเฉินยิ้มบางอย่างฝืนๆ พลางเอ่ย “ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ข้าไม่เป็นไร หลายปีมานี้ ข้าเองที่หวังลมๆ แล้งๆ และเลือกที่จะรอเขา แต่กลับคิดไม่ถึงว่า…อย่างไรดีล่ะ คงพูดได้แค่ว่า ไม่มีชะตาร่วมกันละมั้ง”
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของนาง ผู้อาวุโสจงเยี่ยก็เริ่มคิดบางอย่างในใจ ก่อนจะพุดว่า
“ไม่อย่างนั้น ข้าจะไปถามอาจารย์ของเขาให้ ว่าสามารถยกเลิกการหมั้นครั้งนี้ได้หรือไม่?”
ซือถูซิงเฉินรู้สึกซาบซึ้ง แต่กลับสายหัวปฏิเสธ
“แตงที่ฝืนเด็ดจากต้นย่อมไม่หวาน เหตุใดข้าจักต้องทำตัวร้ายกาจเช่นนั้นด้วย? อีกอย่าง…พรุ่งนี้ องค์รัชทายาทหรงจิ้นจากแคว้นเย่าเฉินจะเสด็จมาที่นี่”
ผู้อาวุโสจงเยี่ยถามกลับด้วยความสับสน
“เข้าใจแล้ว ทว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงเสด็จมาที่นี่กัน?”
ซือถูซิงเฉินหลับตาลง
“เพราะเรื่องสมรสไงล่ะ”