ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 359 คัดลอก
ตอนที่ 359 คัดลอก [รีไรท์]
อักขระที่อยู่บนเศษกระดาษทอประกายแสงแวววับ พลันอักขระที่อยู่บนกำแพงก็จางหายไป
ต่อมาเจ้าสิ่งนั้นก็ลอยไปหยุดอยู่ตรงหน้าฉู่หลิวเยว่
ฉู่หลิวเยว่จ้องมองมัน และเมื่อนางเห็นสิ่งที่อยู่บนนั้น ถึงกับอ้าปากค้าง
เนื้อหาบนหน้าเศษกระดาษบางๆ ที่เหลือนั่น เหมือนกันกับประโยคที่อยู่บนกำแพงสุดท้ายทุกกระเบียดนิ้ว!
ตัวอักษรทุกตัว และแม้แต่ประกายแสงที่เปล่งออกมา ล้วนแล้วแต่เหมือนกันหมด!
ขนาดของเศษกระดาษบางๆ นี่ เกรงว่าจะไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ของพื้นที่บนกำแพงนั่นด้วยซ้ำ ทว่ายามฉู่หลิวเยว่มองมัน ไม่รู้เป็นเพราะเหตุใด นางกลับสัมผัสได้ว่ารูปอักขระเหล่านั้นสะท้อนอยู่บนเศษกระดาษแผ่นนี้ แถมยังมองเห็นได้ชัดเจน แม้ความจริงมันจะมีขนาดเล็กและโปร่งใส่ไปหน่อยก็ตาม
มันเป็นเพียงหน้ากระดาษที่โปร่งใสและไม่สมบูรณ์ แต่ฉู่หลิวเยว่รู้สึกราวกับว่ามันอาจจะมีพื้นที่ขนาดใหญ่อยู่ภายใน ซึ่งสามารถรองรับได้ทุกสิ่งอย่าง
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือของนางออกไป และชิ้นส่วนโปร่งใสก็ลอยกลับเข้ามาในมือนาง
นางหลุบตาลงมองอย่างระมัดระวัง ก่อนจะเห็นว่ารูปอักขระทุกตัวปรากฏอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน!
นางอ้าปากกว้าง ทว่าดันตกใจจนพูดไม่ออก
เศษหน้ากระดาษบางๆ นี่ ความจริงแล้วมันเป็นลายพิมพ์ของอักษระศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนที่ขาดหายไปบนกำแพง ซึ่งถูกพิมพ์ลายไว้อย่างสมบูรณ์!
หากไม่ได้เห็นด้วยตาตัวเอง ฉู่หลิวเยว่คงไม่เชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าแน่นอน!
ศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนคือทักษะอันทรงพลังและศักดิ์สิทธิ์ที่ดำรงอยู่ แต่กลับซ่อนไว้เช่นนี้
ฉู่หลิวเยว่หลับตา ก่อนจะหายใจเข้าลึกๆ แล้วลืมตาขึ้นอีกครั้ง
ทุกสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ได้หายไปไหน!
นางเหลือบมองดูกำแพงอีกครั้งโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใดเกิดขึ้น
วินาทีถัดมา ฝ่ามือของนางเย็นลงเล็กน้อย จากนั้นหน้ากระดาษที่ไม่สมบูรณ์ก็กลายเป็นหยดน้ำ และกลับเข้าไปอยู่ในตำแหน่งตันเถียนของนาง
ต่อมาฉู่หลิวเยว่ก็สัมผัสได้ทันทีว่า มีบางอย่างกำลังก่อตัวเป็นรูปเป็นร่างขึ้นในสมองของนาง
สิ่งนั้นก็คือ ศิลปะการต่อสู้ระดับเทียน!
แม้ว่านางจะยังไม่เข้าใจมัน แต่มันมีอยู่จริงในร่างกายของนาง!
“นี่มัน…เช่นนี้เองหรือ”
ฉู่หลิวเยว่พึมพำกับตัวเองอย่างอดไม่ได้
นางรู้เพียงแค่ว่า หยดน้ำที่อยู่ในตำแหน่งตันเถียนของนางนั้นมีพลังมหาศาล และมันสามารถช่วยชีวิตนางได้ทุกครั้งที่เผชิญกับภัยอันตราย
แต่คิดไม่ถึงว่า…มันยังสามารถช่วยนางคัดลอกแบบศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนได้ด้วย!?
ไม่สิ ควรจะพูดว่า ศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนสามารถคัดลอกแบบนี้ได้ด้วยหรือ!?
“นั่นไม่ใช่การลอกลาย แต่เป็นการบังคับเอาพลังระดับเทียนที่บรรจุอยู่ภายในนั้นออกมาต่างหาก”
อินทรีสามตาเอ่ยขึ้นแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?”
อินทรีสามตาเอ่ยช้าๆ
“เจ้าลองมองอีกทีสิ”
ฉู่หลิวเยว่หันมองกำแพงส่วนสุดท้ายอีกครั้ง
“ไม่เห็นมีอันใดเปลี่ยน…”
ทว่าพูดยังไม่ทันจบประโยค ฉู่หลิวเยว่ก็ตระหนักว่ามีบางอย่างผิดปกติ
อักขระในนั้นไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบ ทว่าความรู้สึกโดยรวมนั้น เหมือนจะแตกต่างออกไป
เสมือนว่า… ความรู้สึกอันศักดิ์สิทธิ์ที่อธิบายไม่ได้ก่อนหน้านี้หายไป และเหลือเพียงกองอักขระธรรมดาเท่านั้น
และตัวอักษรเงินตัวใหญ่สามตัวที่ลอยอยู่ต่อหน้านางก็ค่อยๆ จางลง และในที่สุดก็หายไปอย่างสมบูรณ์
“เหตุผลที่ศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนแตกต่างจากระดับอื่น นั่นเพราะว่ามันประกอบด้วยพลังแห่งสวรรค์ เมื่อพลังนี้ถูกเจ้าเอาไปแล้ว สิ่งที่เหลืออยู่ที่นี่ก็สูญเปล่าโดยสิ้นเชิง หากปราศจากการนำทางของพลังแห่งสวรรค์ จากนี้แม้ว่าผู้ฝึกตนคนอื่นๆ จะมายืนดูมันต่อไปอีกกี่ร้อยปี ก็ไม่สามารถเข้าใจแก่นแท้ของเนื้อหาได้”
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจในทันที
“เป็นเช่นนั้นเอง! พูดง่ายๆ ก็คือ สิ่งที่เรียกว่า…พลังแห่งสวรรค์นั้น เทียบเท่ากับจิตวิญญาณที่อยู่ในศิลปะการต่อสู้ระดับเทียน หากปราศจากสิ่งนี้ ศิลปะการต่อสู้ระดับเทียนก็ไร้ค่า?”
“ดูๆ แล้วเจ้าก็ไม่ได้โง่นี่”
อินทรีสามต่อตอบกลับอย่างเย็นชา
ฉู่หลิวเยว่ไม่สนใจการถากถางดูถูกของอินทรีสามตา
การที่มันยอมบอกรายละเอียดเหล่านี้กับนาง ทำให้นางตื่นเต้นจนไม่ถือสาเอาความใดใด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง นางก็ถามต่อไปว่า “แล้วถ้าข้าออกไปตอนนี้ และแอบเอาของออกไปด้วย คนอื่นจะสังเกตเห็นความผิดปกติที่เกิดขึ้นที่นี่หรือไม่?”
อินทรีสามตาเยาะเย้ยด้วยความเย่อหยิ่งที่ปิดไม่มิด
“ในอาณาเขตเซียนเทพของข้า ทุกอย่างจะตกอยู่ภายใต้การควบคุมของข้า แม้ว่าเจ้าจะออกไปจากที่นี่ ก็จะไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง เว้นเสียว่า เขาจะเป็นมนุษย์ผู้แข็งแกร่งที่สามารถเข้าใจศิลปะการต่อสู้ระดับเทียน!”
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสบายใจขึ้นเล็กน้อย
ในสำนักไท่เหยียน ไม่น่ามีคนระดับนั้นอยู่แล้ว
นางพยักหน้าตอบ
“เช่นนั้นเราออกไปกันเถอะ!”
…
กว่าที่ฉู่หลิวเยว่จะออกมาจากหอสมุด เวลาก็ล่วงเลยไปเกือบเที่ยงวันแล้ว
กว่าจะผ่านช่วงเวลาแห่งการทรมานนี้ไปได้ ชายหนุ่มทั้งสองที่เฝ้ายามอยู่นอกประตูล้วนมีสภาพอิดโรย พวกเขาน้ำหนักลดและดูซีดเซียวมาก
ดังนั้น เมื่อพวกเขาเห็นร่างของฉู่หลิวเยว่เดินออกมา ต่างก็อ้าปากค้างด้วยความตกใจ
“ฉะ ฉะ แม่นางฉู่…”
ทั้งสองพูดตะกุกตะกักเป็นเวลานาน สมองตอบโต้เพียงชี้หน้าฉู่หลิวเยว่ด้วยนิ้วที่สั่นเทา
ฉุ่หลิวเยว่เหลือบตาขึ้นมองท้องฟ้าเล็กน้อย พลางถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดกับทั้งสองคนว่า
“ข้าขอออกก่อนกำหนด”
ชายสองคนตกใจและไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
“จะ จริงหรือ?”
เดิมทีฉู่หลิวเยว่สามารถอยู่ในนั้นได้หนึ่งเดือน แต่ตอนนี้แค่สิบวัน นางก็วางแผนจะจบมันแล้วหรือ?
ฉู่หลิวเยว่เอียงศีรษะ แล้วใช้ดวงตากวาดมองกองสมุดข้างๆ ทั้งสองคนแบบผ่านๆ
“นี่คือกองสมุดบันทึกรายชื่อตำราที่ข้าเปิดอ่านอย่างนั้นหรือ?”
ทั้งสองพยักหน้าตอบทันที และเมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ พวกเขาก็กลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง และก้มหน้าด้วยความละอาย
พวกเขารู้หมดทุกอย่างว่าฉู่หลิวเยว่อ่านตำราอันใดไปบ้าง
นางกว้านเปิดผนึกตำราทั้งหมดที่อยู่บนชั้นสอง อีกทั้งยังอ่านตำราบนชั้นสามและชั้นสี่ต่ออีกหลายเล่มจนนับไม่ถ้วน
หากนางอยากจะขอตัวลานั่นก็ไม่แปลก เพราะดูจากจำนวนตำราที่อ่าน ก็ถือว่านางได้อันใดไปมากเกินควรแล้ว!
หากอยู่ทั้งเดือนจริงๆ เกรงว่านางคงปลดผนึกตำราทั้งหอสมุดเป็นแน่!
“เจ้า เจ้า… ข้าจะไปแจ้งผู้อาวุโสมั่วชัง!”
หนึ่งในนั้นรีบวิ่งแจ้นออกไปอย่างเร็ว
ซึ่งฉู่หลิวเยว่เองก็ไม่ได้โต้แย้งแต่อย่างใด พลันนั่งรออยู่ตรงนั้น
ผ่านไปสิบวัน ไม่รู้เลยว่าตอนนี้สถานการณ์ทางมู่ชิงเห่อจะเป็นอย่างไร…
…
พระราชวัง ณ เมืองหลวงแห่งแคว้นเย่าเฉิน
ใบหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินดูมืดมนและน่ากลัว เขาจ้องมองจักรพรรดินีที่อยู่ข้างหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย
“ข้าจะถามอีกแค่ครั้งเดียว หรงเจินอยู่ที่ใด!?”
จักรพรรดินีตื่นตระหนกพลางอธิบายอย่างกังวล
“ฝ่าบาท โปรดฟังคำอธิบายของหม่อมฉัน”
เคร้ง!
จักรพรรดิจยาเหวินกวาดทุกอย่างบนโต๊ะลงพื้น แล้วตวาดลั่นด้วยความโกรธ
“ข้าถามเจ้า! ตอนนี้หรงเจินอยู่ที่ใด”
จักรพรรดินีตกใจกลัวจนตัวสั่น ขาของนางอ่อนยวบ พลันคุกเข่าลงกับพื้น พร้อมน้ำตาที่ไหลอาบหน้า
“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าหรงเจินอยู่ที่ใด…”
จักรพรรดิจยาเหวินโกรธจนหน้าดำคร่ำเครียด
ในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา เพราะมัวแต่ยุ่งเรื่องของแคว้นซิงหลัว เขาจึงไม่ได้คิดถึงเรื่องของหรงเจินเลย ทว่าหลังจากที่หรงจิ้นพร้อมขบวนเสด็จออกจากวังไปแล้ว เขาก็นึกขึ้นมาได้ว่าเขาไม่ได้เห็นหน้าคร่าตาหรงเจินมาพักหนึ่งแล้ว
แม้แต่วันสำคัญเช่นนี้ หรงเจินก็ยังไม่ยอมออกมา จักรพรรดิจยาเหวินคิดว่านางยังแก้นิสัยดื้อรั้นไม่ได้ ดังนั้น เขาจึงมาที่ห้องบรรทมของนางด้วยตนเอง โดยตั้งใจที่สั่งสอนให้นางคิดได้เสียหน่อย
ทว่าขณะเดินไปยังห้องบรรทม จักรพรรดินีพยายามหยุดรั้งเขาหลายครั้ง นั่นทำให้เขาเริ่มสงสัยมากขึ้นเรื่อยๆ และสั่งให้คนเปิดประตูห้องบรรทมทันที
ซึ่งผลที่ตามมาคือ หลังจากเข้าไปในห้องบรรทมแล้ว เขากลับพบว่าหรงเจินไม่ได้อยู่ที่นี่!
จากนั้นเขาถึงตระหนักได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติและเริ่มกดดันจักรพรรดินี
ทว่าขณะนั้นเอง ขันทีหมินก็เดินผ่านประตูเข้ามาอย่างรวดเร็ว แล้วเอนตัวเข้าไปใกล้หูของจักรพรรดิจยาเหวิน พลางเอ่ยอันใดบางอย่าง
จักรพรรดิจยาเหวินตกใจและโกรธกริ้ว พลันถีบยอดอกจักรพรรดินีอย่างโหดเหี้ยม
“ซือฮุ่ยจิ้ง! เจ้าช่างโอหังนัก! กล้าดีอย่างไรที่แอบสานสัมพันธ์กับองครักษ์ลับหลังข้า!”