ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 363 ตรวจสอบ ตอนที่ 364 หลักฐาน
ตอนที่ 363 ตรวจสอบ / ตอนที่ 364 หลักฐาน [รีไรท์]
ตอนที่ 363 ตรวจสอบ
“แน่นอนว่าไม่ หากเจ้ามีหลักฐานว่าเจ้าไม่ได้ทำ ก็จะไม่มีใครทำอันใดเจ้าได้!” หรงจิ้นกล่าว
ริมฝีปากของฉู่หลิวเยว่กระตุกเล็กน้อย
“เช่นนั้น ก็หมายความว่าหากผู้อื่นใส่ร้ายข้า โยนความสกปรกมาให้ข้า ข้าก็ต้องหาวิธีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ข้าถึงจะล้างมลทินได้อย่างนั้นหรือ? แต่เรื่องนี้ข้าไม่ได้ทำ ข้าไม่รู้ว่าจะต้องพิสูจน์ตนเองอย่างไร?”
หรงจิ้นรู้สึกงุนงง
ทว่าในความเป็นจริง หากมิใช่เพราะเป็นห่วงท่านแม่และอนาคตของตน เขาก็มิได้อยากบีบบังคับฉู่หลิวเยว่ถึงเพียงนี้
อย่างไรก็ตามเรื่องการหายตัวไปของหรงเจินก็ต้องถูกเปิดเผย เช่นนั้นท่านพ่อก็ต้องรู้เรื่องของซือเมิ้ง
เขารู้จักท่านพ่อดี สิ่งหลังน่าจะร้ายแรงกว่าสิ่งหน้า
ยามนี้ เขาทำได้เพียงแค่ตามหาหรงเจินให้เจอ ถึงจะสามารถกู้สถานการณ์ได้บ้าง
“นั่นไม่ใช่คำพูดของเจ้าฝ่ายเดียวหรือ? ข้าเชื่อทั้งหมดไม่ได้ หากเจ้าไม่ได้ใจฝ่อ ก็กลับเมืองหลวงไปกับข้าเดี๋ยวนี้! ชี้แจงเป็นการส่วนตัวต่อหน้าท่านพ่อและท่านแม่!”
พูดจบ เขาก็ยื่นมือไปดึงฉู่หลิวเยว่ไว้
ทว่าเพียงฉู่หลิวเยว่ขยับฝีเท้าเล็กน้อย ก็สามารถหลบการเคลื่อนไหวของเขาอย่างง่ายดาย
หรงจิ้นนิ่ง
แม้ว่าสถานะของฉู่หลิวเยว่จะสู้เขาไม่ได้ แต่ความสามารถในตอนนี้กลับแข็งแกร่งกว่าเขาอย่างชัดเจน
นั่นทำให้ในใจของเขารู้สึกอึดอัดมากขึ้น และรู้สึกหายใจไม่ออกอย่างไม่สามารถอธิบายได้
ตั้งแต่ยามที่มากับซือถูซิงเฉิน ก็ไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้
เมื่อนึกถึงตรงนี้ก็อดไม่ได้ที่จะหงุดหงิดขึ้นมา
“ทำไมหรือ เจ้ากลัวแล้วหรือ?”
ก่อนที่ฉู่หลิวเยว่จะเอ่ยปาก เฉิงหันก็พูดขึ้นมาอย่างเยือกเย็น
“อย่างไรก็ตาม เจ้าจะไปจากหอสมุดอยู่แล้ว กลับไปพร้อมกับหรงจิ้นก็พอเหมาะกันพอดีไม่ใช่หรือ”
หรงจิ้นชะงักไป
ระยะเวลาที่ฉู่หลิวเยว่อยู่ที่นี่สั้นขนาดนี้เชียวหรือ?
แต่หากเป็นเช่นนั้น ก็ดีเหมือนกัน
สายตาหลายคู่จ้องไปที่ฉู่หลิวเยว่ และพวกเขาทั้งหมดต้องการให้นางตอบรับข้อเสนอนี้
แววตาของฉู่หลิวเยว่แฝงไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย
นางไม่ชอบเวลาที่ผู้อื่นบีบบังคับให้ทำบางอย่าง โดยเฉพาะจากคนที่นางรังเกียจผู้นี้
“หากข้าไม่ยอมล่ะ?”
พูดจบ บรรยากาศรอบตัวก็เยือกเย็นขึ้นทันที!
…
หอสมุดจักรพรรดิ ณ แคว้นเย่าเฉิน
หรงฉียืนอยู่ด้านนอก ด้วยใบหน้าที่ดูกังวล
“ขันทีหมิน โปรดไปรายงานอีกครั้ง! ข้ามีเรื่องสำคัญจะคุยกับท่านพ่อจริงๆ!”
ขันทีหมินสีหน้าไม่ค่อยสู้ดี
“องค์ชายผิงหวัน มิใช่พวกข้าไม่ช่วยท่าน เพียงแต่… ข้าไม่สามารถช่วยท่านได้จริงๆ! ยามนี้ฝ่าบาททรงกริ้วมาก ท่านไม่เพียงแต่ช่วยจักรพรรดินีไม่ได้ ซ้ำยังจะทำให้เรื่องยุ่งยากมากขึ้น! ท่านฟังพวกข้าก่อนเถิด กลับไปก่อน! รอให้ฝ่าบาทใจเย็นลง แล้วท่านค่อยมาก็ยังไม่สาย!”
หรงฉีขมวดคิ้วแน่น
“ขันทีหมิน ทำไมท่านไม่เชื่อข้า? ว่าที่ข้ามาครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องของท่านแม่! แต่เป็นเรื่องด่วนที่ข้าต้องบอกท่านพ่อ! หากช้ากว่านี้ จะคาดการณ์สิ่งที่จะตามมาไม่ได้!
ทว่าขันทีหมินยังไม่เพียงไม่ยอมตกลง และยังคงพยายามโน้มน้าว
บัดนี้จักรพรรดินีถูกคุมขัง องค์หญิงสี่ก็หายตัวไป องค์ชายสี่ก็อยู่ไกลถึงแคว้นซิงหลัว จึงเหลือเพียงองค์ชายห้าหรงฉีผู้นี้!
ในสถานการณ์เช่นนี้ หากเขาไม่ได้มาเพราะเรื่องจักรพรรดินีแล้ว จะมาด้วยเรื่องอันใด?
เมื่อเห็นว่าขันทีหมินไม่ยอมช่วยเหลือ สุดท้ายหรงฉีก็รู้สึกร้อนรน
“ท่านพ่อ! ลูกมีเรื่องสำคัญต้องบอกให้ท่านทราบ! ได้โปรดให้ลูกเข้าไปด้วยเถิด!”
ขันทีหมินตกใจจนวิญญาณออกจากร่าง ก่อนรีบร้อนไปขัดขวาง
“โอ๊ย! องค์ชายผิงหวัน! ท่านต้องการจะทำอันใด!? หากทำให้ฝ่าบาทตกใจ จะต้องทำอย่างไร!? โปรดหยุดตะโกนเถิด!”
หรงฉีไม่ฟัง ซ้ำยังตะโกนดังขึ้นไปอีก
ขันทีหมินร้องออกมาอย่างขมขื่น
ผู้ที่ปกติแล้วดูไม่ได้มีฝีมืออันใด ใครจะคิดว่าเอะอะขึ้นมา แล้วจะสร้างปัญหาได้ขนาดนี้!
“พวกเจ้ายังรออันใดอยู่!? ไยไม่รีบไปขวางผิงหวันอีก!”
ขันทีหมินรีบร้อนให้บริวารไปขัดขวางหรงฉี
หากทำให้หรงฉีขุ่นเคืองนั้น ย่อมไม่เกิดผลตามมามากมาย แต่หากทำให้ฝ่าบาททรงกริ้ว ต้องตายแน่นอน!
ไม่นานนักหรงฉีก็ถูกจับตัว และถอยหลังไป
เขารู้สึกกังวล ในที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะตะโกน
“ท่านพ่อ! ท่านพ่อ! ลูกรู้ว่าเจินเจินอยู่ที่ใด!”
ขันทีหมินตกใจมาก
หลังจากนั้น เสียงของจักรพรรดิจยาเหวินก็ดังออกมาจากในหอสมุด
“รีบเข้ามา!”
หรงฉีถูกปล่อยตัวอย่างรวดเร็ว
หรงฉีจัดแจงตนเอง ก่อนมองทุกคนอย่างดุดัน แล้วก้าวขาเข้าไปในหอสมุด
ทันทีที่เข้าไป เขาก็เห็นจักรพรรดิจยาเหวินนั่งอยู่ แล้วมองตนเองอย่างองอาจ
เขาสั่นไปทั้งตัว จนท่าทางสูงส่งก่อนหน้านั้นหายไปทันที
“ท่าน ท่านพ่อ…”
“หรงเจินอยู่ที่ใด” จักรพรรดิจยาเหวินถามอย่างตรงไปตรงมา
หรงฉีรีบแก้ตัว
“ท่านพ่อ จริงๆ แล้วลูกยังไม่มั่นใจ เพียงแต่… ท่านอย่าเพิ่งโมโห! แต่ว่า ลูกไม่แน่ใจว่าใครลักพาตัวหรงเจิน แต่หากหาผู้นั้นเจอ ก็จะเจอหรงเจินเอง”
เขาเอ่ยทั้งประโยคแบบติดขัด หน้าผากเต็มไปด้วยหยาดเหงื่อ
ยังดี ยังดีที่ได้เอ่ยทั้งหมดที่ท่านแม่สั่งไว้แล้ว
จักรพรรดิจยาเหวินโน้มตัวไปด้านหน้า แล้วถามเน้นทีละคำ
“มันคือผู้ใด”
หรงฉีเม้มริมฝีปาก ก่อนจะพูดอย่างไม่ลังเล
“ฉู่หลิวเยว่!”
…
ฉู่หนิงเพิ่งสะสางเรื่องในมือเสร็จ เขาหลับตาลง พร้อมลูบคิ้วของตน อาการเหนื่อยล้าถูกแสดงออกมาทางใบหน้า แต่มุมปากของเขาอดไม่ได้ที่จะยกขึ้น
เมื่อลองนับเวลา ดูเหมือนว่าวันนี้เป็นวันที่เยว่เอ๋อจะกลับมา
วันนี้เขาต้องรีบกลับไปเสียหน่อย
“ใต้เท้าฉู่หนิง! ใต้เท้าฉู่หนิง! แย่แล้ว!”
คนรับใช้วิ่งเข้ามาด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
ฉู่หนิงลืมตาขึ้น แล้วขมวดคิ้ว
“เกิดอันใดขึ้น?”
“ฝ่าบาทสั่งให้ค้นตำหนักของท่าน! ตอนนี้ทหารกำลังมากันที่นี่!”
ฉู่หนิงรีบลุกขึ้นพร้อมหันมา!
“เจ้าว่าอันใดนะ!”
ตอนที่ 364 หลักฐาน
“ให้ข้าเข้าไป! ค้นให้ทั่วอีกรอบทั้งด้านในด้านนอก! ไม่ว่าซอกมุมใดก็ห้ามละเว้น! ”
“ขอรับ! ”
ทันทีที่ลู่หยุนออกคำสั่ง องครักษ์มากมายก็พุ่งออกไปทันที โดยวางแผนร่วมมือกันกระแทกประตูใหญ่ของตระกูลฉู่ให้เปิดออก
ฉู่หนิงที่ไล่ตามมาก็บังเอิญมาเห็นฉากนี้เข้า
“ลู่หยุน! ”
เขาจึงตะโกนออกไปในทันที
“เจ้าบังอาจนัก! ”
ลู่หยุนหันกลับมามองก็เห็นว่าฉู่หนิงกำลังรีบนำคนเข้ามา ทว่าไม่เพียงแต่ไม่มีสีหน้าหวาดหวั่น เขากลับเผยรอยยิ้มขณะที่เห็นผู้อื่นกำลังลำบาก
“โอ้! นี่ใต้เท้าฉู่หนิงมิใช่หรือ ไม่ใช่ว่าท่านกำลังยุ่งอยู่กับงานหลวงหรือ แล้วนี้มันกลางวันเหตุใดถึงออกมากะทันหัน”
ฉู่หนิงรีบก้าวเข้าไปด้วยใบหน้าที่เย็นชา
“นี้เป็นที่พักของข้า ข้ามาดูว่าผู้ใดกล้าเข้าไปโดยพลการ! ”
เมื่อเขาเอ่ยก็แฝงไปด้วยแรงกดดันที่ทรงอานุภาพของผู้ที่แข็งแกร่งลำดับที่ห้า จนทำให้ลู่หยุนรู้สึกแน่นหน้าอกและหายใจหอบถี่ในทันที
แม้แต่องครักษ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูก็รู้สึกหวาดกลัว จนพวกเขาอดไม่ได้จะหยุดการเคลื่อนไหวแล้วมองหน้ากัน
ลู่หยุนคุกรุ่นอยู่ภายใน แล้วรอยยิ้มบนใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ จางหายไป
“ใต้เท้าฉู่หนิง เจ้ามาทำอะไรที่นี่? การที่ข้ามาในวันนี้ เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท! แล้วถ้าเจ้าต้องการจะขัดขวางจริงๆ ก็เท่ากับว่าเจ้ากำลังขัดพระประสงค์! ”
ฉู่หนิงจ้องเขาอย่างเย็นชา
“เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท แน่นอนว่าข้าไม่กล้าขัดขวาง เพียงแต่ถ้าต้องการตรวจสอบก็ต้องแจ้งเหตุผลใช่หรือไม่ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นถึงหัวหน้าองครักษ์”
“ขออภัยด้วย ใต้เท้าฉู่หนิง ข้าแค่จะปฏิบัติตามที่ได้รับคำสั่งมา และถ้าท่านอยากรู้สาเหตุจริงๆ เหตุใดทท่านจึงไม่ไปเข้าเฝ้าฝ่าบาทด้วยตัวเองเล่า”
ลู่หยุนเอ่ยเสียงต่ำอย่างไม่พอใจแล้วยกมือขึ้น
“ค้นหาต่อ! ”
“ขอรับ”
ฉู่หนิงกำลังจะก้าวออกไปแต่ จ้าวหมิงที่อยู่ด้านหลังก็เอ่ยขึ้นเบาๆ ในทันที
“ใต้เท้า ท่านต้องใจเย็นก่อน! ครานี้พวกเขามาพร้อมกับพระประสงค์ของฝ่าบาท หากเราปะทะกันใหญ่โตมันจะไม่เป็นผลดีใดใด ต่อตัวท่านเองนะขอรับ! ”
อาจจะทำให้ฝ่าบาททรงคิดว่าฉู่หนิงต้องการขัดต่อพระประสงค์
ฉู่หนิงสูดหายใจเข้าลึกๆ เพื่อระงับความโกรธ
“ได้! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะดูว่าพวกเจ้าจะสามารถค้นอะไรออกมาได้บ้าง! ”
เขาไตร่ตรองดูแล้วว่าไม่ได้ทำสิ่งใดผิดและเป็นธรรมดาที่เขาจะไม่เกรงกลัวเรื่องนี้
เพียงแต่…เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทจึงมีพระประสงค์เช่นนี้เล่า?
ลู่หยุนมองไปยังฉู่หนิงแล้วโค้งตัวลงด้วยความลำพองใจ
ในช่วงเวลาที่ลู่เหยาถูกตระกูลฉู่ทำให้อับอาย และที่หนักที่สุดก็คือสองพ่อลูกฉู่หนิงและฉู่หลิวเย่ว!
ถ้าไม่มีพวกมันจงใจสร้างปัญหา ตอนนี้ลู่เหยาคงจะได้เป็นสตรีที่ได้เชิดหน้าชูตาในตระกูลฉู่แล้ว! แล้วเหตุใดถึงกลายเป็นว่าตอนนี้ผู้คนต่างพากันเกลียดชังนางเล่า?
ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับลู่เหยาไม่ดีนัก แต่ถึงอย่างไรเสีย ลู่เหยาก็เป็นคนตระกูลลู่ เมื่อนางเสื่อมเสียชื่อเสียง ตระกูลลู่ก็ได้รับผลกระทบไปด้วย
และที่สำคัญไปกว่านั้นคือ นางยังต้องกลับไปที่ตระกูลลู่แล้วหาเงินเพื่อกลบหลุมเหล่านั้น
ภายในใจลู่หยุนนั้นไม่พอใจลู่เหยาและก็ยิ่งเคียดแค้นพ่อลูกตระกูลฉู่มากขึ้นไปอีก
ตอนนี้มีโอกาสจัดการพวกเขาแล้ว เขาก็ไม่พลาดอย่างแน่นอน
ตึง!
ประตูใหญ่ถูกคนกระแทกเปิดอย่างแรง
องครักษ์จำนวนมากกรูกันเข้าไป!
ลู่หยุนแย้มยิ้มยั่วยุฉู่หนิงแล้วสาวเท้าตามเข้าไป
ฉู่หนิงขมวดคิ้วแล้วเดินตามเข้าไป
กลุ่มคนต่างแยกย้ายกันอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพื่อไปค้นตามลานบ้านและห้องต่างๆ
ลู่หยุนยืนเอามือไพล่หลังอยู่ที่ลานบ้าน แล้วคอยออกทำสั่งอย่างไม่หยุดพัก
“ห้องนั้น! เข้าไปค้น! ยังมีด้านนั้นอีก! ค้นให้ละเอียด! หลังลานบ้านมีคนไปค้นแล้วหรือไม่ หากพบสิ่งใดผิดปกติให้รายงานทันที ”
ฉู่หนิงยืนอยู่ไม่ไกลนักและเขาก็เห็นชัดเจนว่าคนเหล่านั้นโยนของหลายอย่างในห้องนอนเขาออกมา
ฝูกนอน ชั้นหนังสือ ชุดและของใช้
แม้แต่ชุดน้ำชา เครื่องเขียนและหมึกต่างก็โยนออกมายังพื้นด้านนอกตามอำเภอใจ
ของจำนวนมากแตกกระจายเกรื่อนกราดบนพื้น
ลู่หยุนหันหน้ากลับมามองฉู่หนิง แล้วเห็นว่าสีหน้าของเขานั้นดูไม่ได้ ก็อดที่จะเข้าไปใกล้ๆ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเหนือกว่า
“ใต้เท้าฉู่หนิง ท่านอย่าได้โมโหไป เพราะทั้งหมดนี้เป็นพระประสงค์ของฝ่าบาท ที่ท่านกำลังโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่นี้ ไยไม่ลองคิดดูว่าลูกสาวอันเป็นที่รักของท่านนั้นได้กระทำเรื่องอันใดลงไปดูเล่า?”
ดวงตาของฉู่หนิงสว่างวาบขึ้นแล้วจ้องมองเขาอย่างอาฆาต
“เจ้าพูดอันใด?”
ลู่หยุนยักไหล่อย่างไม่ใสใจ
แล้วคิ้วของฉู่หนิงก็ยิ่งขมวดแน่นขึ้น
เหตุใดเขาจึงคิดไม่ถึงว่าเรื่องนี้จะเกี่ยวข้องกับเย่วเอ๋อล่ะ?
เย่วเอ๋อทำอันใดลงไปกันแน่ ถึงทำให้ฝ่าบาทมีรับสั่งเช่นนี้ได้?
ในตอนที่เขากำลังทบทวนอยู่นั้น จู่ๆ สายตาก็เห็นว่าคนเหล่านั้นกำลังมุ่งไปยังห้องของฉู่หลิวเย่ว
“บังอาจ! ”
ฉู่หนิงตวาดออกไป เพียงพริบตาร่างของเขาก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าคนเหล่านั้นแล้ว!
ลู่หยุนเลิกคิ้วขึ้น
“โอ้ ใต้เท้าฉู่หนิง นี่ท่านกำลังคิดการต่อต้านพระประสงค์ของฝ่าบาทหรือ?”
ดวงตาของฉู่หนิงกวาดมองไปยังฝูงชนแล้วเอ่ยขึ้นทีละคำ
“พวกเจ้าสามารถตรวจสอบได้ แต่ถ้ากล้าทำลายสิ่งของในห้องนี้แม้แต่ชิ้นเดียว…ก็อย่าหาว่าข้าไม่ให้เกียรติ!”
แรงกดดันมหาศาลบนตัวของเขาประกอบกับน้ำเสียงที่เฉียบขาดจึงทำให้ผู้คนล้วนหวาดกลัว
แม้แต่ลู่หยุนเองก็อดไม่ได้ที่จะหนาวสะท้าน แล้วเอ่ยขึ้นอย่างไม่เต็มใจนัก
“ไม่ได้ยินกันหรือ ทุกคนระวังกันหน่อย”
เมื่อฉู่หนิงได้ยินเขาพูดเช่นนี้ จึงหลีกทางให้ในที่สุด
ใบหน้าของคนเหล่านั้นไร้ซึ่งความฮึกเหิมที่มีก่อนหน้านี้ไปเรียบร้อย ก่อนจะพากันเดินเข้าไปอย่างระมัดระวังที่ละคน
ฉู่หนิงยืนอยู่ที่หน้าประตู แววตาของเขามองเขม็งไปยังเหล่าองครักษ์ราวกับใบมีดเฉือน
ลู่หยุนรู้สึกอึดอัดอย่างมาก แต่เขาก็รู้ดีว่าถ้ายั่วโทสะฉู่หนิง ย่อมไม่ได้มีผลดีอะไรเลย จึงทำได้เพียงอดกลั้นอารมณ์โกรธไว้
รอให้พวกเขาหาอะไรเจอก่อนเถอะ พวกเขาจะทูลขอให้ฝ่าบาททรงรับสั่งลงโทษฉู่หนิงอย่างแน่นอน!
ในขณะที่จ้องมองการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้น ภายในใจของเขาเองก็ยังคงครุ่นคิดไม่หยุดว่าเหตุใดฝ่าบาทจึงมีรับสั่งเช่นนี้ออกมาอย่างกะทันหัน
เย่วเอ๋อได้เดินทางไปยังสำนักวิชาไท่เหยี่ยนเมื่อสิบวันก่อน และในตอนนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่บ้าน แล้วพวกเขามาที่นี่เพื่อค้นหาอะไรกัน?
ในตอนที่ฉู่หนิงกำลังคิดไม่ตกอยู่นั่นเอง ก็มีคนตะโกนขึ้นมาเสียงดังว่า
“ใต้เท้าลู่! ค้นเจอแล้วขอรับ”
ฉู่หนิงตกตะลึงแล้วหันหันไปในทันที
เขามองเห็นเพียงองครักษ์ผู้หนึ่งที่จู่ๆ ก็วิ่งออกมาจากทางลานหลังบ้านและพุ่งเข้าหาลู่หยุนอย่างรวดเร็ว แล้วส่งสิ่งของในมือให้
“ใต้เท้าลู่! โปรดดู!”
ลู่หยุนหยิบปิ่นปักผมนั้นขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียดรอบคอบ พลันสีหน้าก็เปลี่ยนไป ก่อนจะมองฉู่หนิงอย่างเยาะเย้ย
“ใต้เท้าฉู่หนิง ตอนนี้หลักฐานชัดเจนแล้วท่านยังมีอะไรจะอีกพูดหรือไม่?!”
ฉู่หนิงก้าวเข้าไปอย่างเร่งรีบ
“เจ้าพูดอะไร? ”
“ใต้เท้าฉู่หนิง เหตุใดท่านยังต้องแกล้งไขสืออีกเล่า?” ลู่หยุนยกปิ่นปักผมในมือขึ้นแล้วยิ้มเย้ยหยันอีกครั้ง “ปิ่นปักผมนี่เป็นเครื่องประดับที่องค์หญิงสี่ทรงใช้ แต่ในตอนนี้มันกลับมาปรากฏอยู่ภายในลานหลังบ้านของพวกเจ้า เช่นนี้แล้วท่านยังจะแก้ตัวอีกหรือ”
ฉู่หนิงตะลึงงันอยู่ชั่วครู่พลางเข้าใจได้ในทันที
องค์หญิงสี่หรงเจินหายสาบสูญอย่างไร้ร่องรอย ด้วยเหตุนี้ฝ่าบาทจึงทรงกักบริเวณจักรพรรดินีด้วย
มีคนไม่มากที่รู้เรื่องนี้ แต่ในฐานะที่เขาเป็นหัวหน้าองครักษ์จึงเข้าใจได้
และในตอนนี้เองที่เครื่องประดับขององค์หญิงสี่ที่หายตัวไป กลับถูกพบว่าอยู่ในบ้านของพวกเขา…
“พวกเจ้าสงสัยว่าเย่วเอ๋อกำลังซ่อนตัวองค์หญิงสี่อยู่หรือ” ฉู่หนิงพูดโพล่งออกมา
“ไม่ใช่การสงสัยเพราะตอนนี้มีหลักฐาน จึงกล่าวได้ว่าเป็นความจริง”
ลู่หยุนนำปิ่นปักผมนั้นออกมาด้วยแววตาถากถาง
“ใต้เท้าฉู่เชิญท่านไปกับพวกเราอีกครั้งเถอะ”
…
ตำหนักของหลีหวัน
หรงซิวกำลังพักผ่อนอยู่บนเก้าอี้หวาย อวี๋มั่วก็รีบวิ่งเข้าไปอย่างรวดเร็ว
“หลีอ๋อง! ใต้เท้าฉู่หนิงถูกคุมตัวแล้วขอรับ!”