ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 368 พบเจอ
ตอนที่ 368 พบเจอ [รีไรท์]
จากนั้นฉู่หลิวเยว่ก็ไปเยี่ยมมู่ชิงเห่อ แต่กลับพบว่าเขาไม่ได้อยู่ที่จวน
นางรออยู่อยู่ด้านนอกสักพักหนึ่ง ไม่มีการขยับเขยื้อน จนกระทั่งนางหมุนตัวกลับไป
นางรู้สึกแปลกอย่างมาก
หากมารแดงอยู่ที่นี่ละก็ นางจะต้องออกมาตั้งนานแล้ว
ในเมื่อรออยู่นานขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววเลย แสดงว่ามารแดงกับมู่ชิงเห่อไม่ได้อยู่ที่นี่
แคว้นเย่าเฉิน มีอันใดที่น่าดึงดูดเขากัน?
ฉู่หลิวเยว่รู้สึกสงสัย และมุ่งหน้าไปทางตำหนักองค์ชายหลีหวัน
ตำหนักองค์ชายหลียังดูเหมือนเดิม และไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ฉู่หลิวเยว่กลับรู้สึกได้ว่าองครักษ์ของตำหนักนี้มีความเข้มงวดมากขึ้น
เมื่อบ่าวของตำหนักองค์ชายหลีหวันเห็นว่านางมาก็ออกมาต้อนรับนางอย่างกระตือรือร้น
แม้แต่อวี๋มั่วที่ได้ยินว่านางมา ก็รีบออกมาต้อนรับด้วยทันที
“พี่หลิวเยว่ ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว”
ฉู่หลิวเยว่เห็นใบหน้าตื่นเต้นของอีกฝ่าย จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ข้าไม่ได้มาที่นี่เป็นครั้งแรกสักหน่อย ไม่เห็นจะต้องตื่นเต้นขนาดนั้นเลย?”
“ท่านไม่รู้หรือว่า ช่วงนี้พวกเรารอคอยการกลับมาของท่านมาก” อวี๋มั่วเกือบจะน้ำตาไหลออกมา
หากนางยังไม่กลับมา วันเวลาที่เหลืออยู่นางต้องอยู่อย่างอกสั่นขวัญแขวนแน่นอน
“นายท่านอยู่ที่ห้องหนังสือ บ่าวจะเป็นคนพาท่านไปเองเจ้าค่ะ”
เมื่อพูดจบ อวี๋มั่วก็พาฉู่หลิวเยว่ไปที่ห้องหนังสือ
ฉู่หลิวเยว่เดินตามนางไป พร้อมสำรวจจวนหลังนี้อย่างเงียบๆ จึงพบว่ามีบางอย่างที่ต่างไปจากเดิม
เมื่อนางจับสังเกตได้แต่ว่าก็ไม่ได้พูดอันใดออกไป และไม่แสดงสีหน้า
ไม่นานนักทั้งสองคนก็เดินมาถึงที่ห้องหนังสือ
“นายท่านอยู่ด้านใน ท่านเข้าไปเถอะเจ้าค่ะ”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ เมื่อเดินไปถึงหน้าประตู เงาสีขาวร่างหนึ่งกลับปรากฏที่ตรงหน้าของนาง
นางตกใจอย่างมาก “เสวี่ยเสวี่ย?”
ตั้งแต่ที่นางออกจากเมืองหลวงมา นางก็ไม่ได้เจอเสวี่ยเสวี่ยอีกเลย จึงรู้สึกคิดถึงนิดหน่อยเหมือนกัน
เสวี่ยเสวี่ยมองมาที่นาง หางสะบัดไปมา ท่าทางดูมีความสุขอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่ามันดีใจมากที่นางกลับมา
มันกระโดดขึ้นมาทันที วิ่งรอบตัวฉู่หลิวเยว่เป็นวงกลมอย่างอดไม่ได้
ฉู่หลิวเยว่จึงหัวเราะคิกค้าก “เอาล่ะๆ รู้แล้วว่าเจ้าต้องการสิ่งใด”
เมื่อพูดจบนางก็ยื่นมือออกมาตั้งใจจะลูบหัวเสวี่ยเสวี่ย
เสวี่ยเสวี่ยยื่นหัวไปที่ฝ่ามือของฉู่หลิวเยว่อย่างเชื่อฟัง
พรึ่บ!
มือของฉู่หลิวเยว่ยื่นออกไปได้แค่ครึ่งทางเท่านั้น ร่างเงาสีแดงก็ปรากฏขึ้น นางจึงสัมผัสได้ว่ามีสิ่งใดบางอย่างอยู่ที่ด้านหลังของนาง
เมื่อนางหันกลับไปมอง ก็พบว่านั่นคือถวนจื่อ
ในตอนนั้นเองมันกำลังกอดมือของนางไว้ ดวงตากลมโตของมันมองมาที่นางด้วยความไร้เดียงสาและเสียใจ ราวกับว่ากำลังจะฟ้องอันใดบางอย่าง
ฉู่หลิวเยว่มองข้อมือของตัวเอง
อื้อ ดีมาก เหมือนว่าข้อมือของนางก็โดนถวนจื่อยึดครองไปแล้ว นางจึงไม่สามารถไปลูบเสวี่ยเสวี่ยได้อีก
เสวี่ยเสวี่ยคำรามเสียงต่ำ เตรียมพร้อมโจมตี แต่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงไอแค่กๆ ดังออกมาจากในห้อง
เสวี่ยเสวี่ยรีบเดินออกไปด้านข้างอย่างเชื่อฟัง ไม่หันมามองทางนี้อีก ราวกับไม่เคยเกิดเรื่องเช่นเมื่อครู่ขึ้นมาก่อน
ถวนจื่อสะบัดหน้าออกมา
ฉู่หลิวเยว่ “…”
นางหันไปมองประตูบานใหญ่ของห้องหนังสือ จากนั้นก็เดินตรงไปด้านหน้า
“โอ้…“
ประตูห้องหนังสือถูกเปิดออก
ฉู่หลิวเยว่มองเห็นหรงซิวที่นั่งอยู่ด้านหลังโต๊ะหนังสือได้อย่างรวดเร็ว
เขาสวมชุดคลุมสีดำ ใบหน้าซีดขาวเล็กน้อย ด้านข้างมีถ้วยชาที่ยังมีไอร้อน ส่วนในมือก็ถือหนังสือเล่มหนึ่งอยู่
เขาเพียงแค่นั่งเงียบๆ อยู่ตรงนั้น รอบข้างเหมือนมีบรรยากาศที่ไม่สามารถบรรยายออกมาได้
อ่อนโยนสงบนิ่ง สุภาพบุรุษ
เมื่อได้ยินเสียงผลักประตู เขาก็เงยหน้าขึ้นมา
ในตอนที่เขาหันมามอง แววตาลึกล้ำชัดเจน เหมือนด้านในมีดวงดาวมากมายนับไม่ถ้วน
แววตาในครั้งนี้มันต่างจากครั้งก่อนมาก
สายตาคู่นี้ เหมือนจะให้อภัยกับทุกสิ่งบนโลกนี้ได้ แต่ดูสูงส่งอยู่เหนือทุกสิ่งทั้งปวง
สูงส่งเกียจคร้าน มองเห็นโลกมนุษย์อยู่ใต้เขา
ในตอนที่ทั้งสองสบสายตากันอยู่นั้น ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเสียงหัวใจของตนเองเต้นแรงมาก
ใบหูร้อนฉ่า มุมปากของหรงซิวยกขึ้น
“กลับมาแล้วหรือ?”
ฉู่หลิวเยว่พยักหน้าเบาๆ “อื้อ”
หรงซิวเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย จู่ๆ ประตูด้านหลังของฉู่หลิวเยว่ก็ปิดลงทันที
แสงแดดที่เจิดจ้าแสบตาถูกกั้นไว้นอกประตู
หรงซิวพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับหยกสลัก “คิดว่าพรุ่งนี้เจ้าถึงจะมีเวลามาหาเสียอีก”
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป
จากนั้นมีความคิดที่ไม่น่าเชื่อก็ปรากฏขึ้นมาในหัวสมอง
นี่หรงซิว…กำลังกินน้ำส้มอยู่ใช่หรือไม่?
ด้วยเส้นสาย และอำนาจของเขา เกรงว่าตั้งแต่ข้าเดินเหยียบพื้นดินเมืองหลวง ข้าก็อยู่ในกำมือของเขาแล้ว
นางก็แค่ไปหาท่านพ่อก่อน จากนั้นก็ไปเยี่ยมมู่ชิงเห่อ สุดท้ายก็มาถึงตำหนักองค์ชายหลีหวัน
แต่เหมือนว่าหรงซิวจะไม่พอใจกับสิ่งสิ่งนี้
ฉู่หลิวเยว่จึงอดยิ้มขึ้นมาไม่ได้
“ขาดข้าไม่ได้หรือ?”
แววตาของหรงซิวสั่นไหวเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้พูดอันใดออกมา
ฉู่หลิวเยว่ค่อยๆ เดินออกมาทีละก้าว
จนกระทั่งระยะห่างของพวกเรามีแค่โต๊ะหนังสือกั้น นางเอนตัวลง เท้ามือทั้งสองข้างไว้บนโต๊ะ พร้อมยื่นหน้าเข้าใกล้หรงซิว
ระยะห่างของทั้งสองคนอยู่ใกล้กันมาก จนสามารถสัมผัสลมหายใจของฝ่ายตรงข้ามได้
ฉู่หลิวเยว่สามารถดมกลิ่นหอมเย็นๆ ที่คุ้นเคยจากตัวของเขาได้
หัวใจของนางเต้นแรงมาก แต่แววตาพร่างพราวเหมือนมีดาวอยู่มากมาย
“ที่ข้ามาหาท่านเป็นคนสุดท้าย ก็เพราะว่า…”
นางยังไม่ทันพูดจบ แต่ก็ก้มหน้าเข้าใกล้ และจูบไปที่ริมฝีปากของหรงซิว
จากอบอุ่นเป็นเร้าร้อน
หรงซิวเองก็คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ ฉู่หลิวเยว่จะทำแบบนี้ จึงชะงักไปชั่วคราว
เสียงของฉู่หลิวเยว่พึมพำเสียงเบา น้ำเสียงรอดออกจากปาก
“นี่แหละคือคำตอบ”
แน่นอนว่าเขาจะต้องคิดถึงอีกฝ่าย และอยากกลับมาหาเขาให้เร็วที่สุด
แต่ว่านางมีเรื่องที่จะต้องจัดการเสียก่อน ไม่เช่นนั้นเวลาที่อยู่ด้วยกัน คงอยู่ด้วยไม่ได้นาน แล้วนางจะต้องไปทำงานอย่างอื่น
ดังนั้นนางจึงจัดการปัญหาที่ยุ่งยากให้เสร็จก่อนแล้วค่อยมาที่นี่
ไร้ภาระ สดชื่น กระปรี้กระเปร่า
แต่มีสิ่งหนึ่งที่นางคิดไม่ถึงก็คือ นางคิดถึงหรงซิวมากกว่าที่ตนเองคิด
เมื่อตอนที่อยู่ที่สำนักไท่เหยี่ยนไม่ค่อยชัดเจนนัก ระหว่างทางกลับมาก็ยังไม่แน่ชัด ตอนที่เพิ่งมาถึงตำหนักองค์ชายหลีหวัน ก็ยังไม่รู้สึกอันใด
จนกระทั่งตอนที่เห็นหรงซิวครั้งแรก ความรู้สึกคิดถึงก็พวยพุ่งออกมาจากใจของเธอ
ความคิดถึงที่ถูกนางกดเอาไว้ทะลักออกมาทันที!
สมองของนางขาวโพลน มีความคิดเดียวที่ปรากฏขึ้นมาตอนนี้คือ นางอยากจูบเขา
จนกระทั่งได้สัมผัสริมฝีปากนุ่มๆ เย็นๆ ของเขา ในที่สุดนางจึงรู้สึกสงบใจขึ้นได้
เมื่อเห็นว่าหรงซิวไม่ขยับตัว นางจึงขบริมฝีปากเขาด้วยความโกรธเบาๆ
หรงซิวยื่นมือออกไปคว้าตัวนางไว้ และเริ่มโต้ตอบทันที
ฉู่หลิวเยว่เลียริมฝีปากของเขาเบาๆ นางถอนตัวออกมาแล้ว โน้มตัวไปที่ข้างหูของเขา พร้อมถามเสียงเบาว่า
“หรงซิว เจ้าไม่ร้อนหรือ?…ข้าเกือบลืมไปเลย เจ้าป่วยหนัก ตอนนี้กำลังพักผ่อนอยู่ ไม่สามารถ…อื้อ!”
แววตาของหรงซิวดำมืดขึ้น
วินาทีต่อมา จู่ๆ เขาก็จับคางของฉู่หลิวเยว่แล้วจูบที่ริมฝีปากของนางอย่างดุเดือด
หากเขาต้องทนกับสถานการณ์แบบนี้ เขาจะต้องเป็นบ้าแน่นอน