ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 370 สงสัย
ตอนที่ 370 สงสัย [รีไรท์]
พระราชวัง
ในตอนที่ฉู่หลิวเยว่และฉู่หนิงมาถึง จักรพรรดิจยาเหวินและฮองเฮาได้รอมาอยู่ที่ท้องพระโรงแล้ว
ด้านล่างมีหรงจิ้นและซือถูซิงเฉินนั่งอยู่ด้านล่าง
ส่วนอีกด้านหนึ่งคือ หรงจิ่ว
ฉู่หลิวเยว่ได้ยินเรื่องราวทั้งหมดจากฉู่หนิงโดยละเอียดแล้ว ดังนั้นจึงไม่ได้แปลกใจว่าเหตุใดหรงจิ่วถึงมาอยู่ที่นี่
นางกวาดสายตามองคนในท้องพระโรงอย่างรวดเร็ว
ใบหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินไร้อารมณ์ แต่แววตากลับดำมืด
ใบหน้าฮองเฮาดูซีดเซียวกว่าครั้งก่อนที่นางเจอมาก พริบตาเดียวดูเหมือนนางแก่ขึ้นสิบปี
เห็นได้ชัดว่าเหตุการณ์ในช่วงนี้เป็นการทรมานนางมาก
เมื่อหรงจิ้นเห็นฉู่หลิวเยว่ ใบหน้าของเขาดูซับซ้อนขึ้น
ในมือของเขา กำลังถือปิ่นปักผมชิ้นหนึ่งอยู่
ฉู่หลิวเยว่คาดเดาได้ว่า นั่นคือของที่พวกเขากล่าวอ้างว่าเจอที่สวนหลังบ้านเป็นของหรงเจิน
ซือถูซิงเฉินและหรงจิ่วมีสีหน้าราบเรียบ
ฉู่หนิงและฉู่หลิวเยว่คำนับอย่างมีมารยาท
จักรพรรดิจยาเหวินให้พวกเขาทั้งสองนั่งลง
“เอาล่ะ ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้ว เช่นนั้น…ก็เริ่มเลยเถอะ”
ตอนนี้จักรพรรดิจยาเหวินหมดความอดทนแล้ว จึงเริ่มเปิดประเด็นเข้าเรื่องทันที จากนั้นก็มองไปที่ซือถูซิงเฉิน จึงถามขึ้นด้วยเสียงแหบพร่าว่า
“ซิงเฉิน ก่อนหน้านี้เจ้าพูดว่าเจ้าเคยเห็นหลิวเยว่กับเจินเจินอยู่ด้วยกัน เรื่องนี้เป็นความจริงหรือไม่?”
ซือถูซิงเฉินลุกขึ้นยืน พร้อมทำความเคารพ
“ทูลฝ่าบาท ซิงเฉินไม่กล้าพูดเท็จ ทุกคำที่พูดล้วนเป็นความจริง เพราะว่าวันนั้นหอคอยจิ่วโยวไฟไหม้ ดังนั้นซิงเฉินจึงจำได้อย่างเม่นยำ หลังจากหอคอยจิ่วโยวพังทลาย วันรุ่งขึ้นต้องเดินทางออกจากสำนักไท่เหยี่ยน ดังนั้นหม่อมฉันจึงต้องรีบกลับไปเก็บสัมภาระ คิดไม่ถึงว่าระหว่างทางจะเจอหรงเจินกับฉู่หลิวเยว่”
จักรพรรดิจยาเหวินถามต่อว่า
“ตอนนี้ยังมีคนอื่นอีกหรือไม่?”
“มีชายสวมชุดสีดำอีกคนหนึ่ง แต่หม่อมฉันไม่เห็นหน้าตาของเขา”
“เช่นนั้นเจ้าได้ยินเรื่องที่พวกเขาคุยกันหรือไม่?”
“ตอนนั้นระยะห่างอยู่ไกลเกินไป หม่อมฉันจึงไม่ได้ยินอันใดเลย แต่ก็เห็นว่าพวกเขาทั้งสองคนยืนใกล้กันมาก หม่อมฉันจึงคิดว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกัน แต่คิดไม่ถึงว่าหลังจากนั้น…”
สีหน้าของจักรพรรดิจยาเหวินเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ
ชายชราสวมชุดคลุมสีดำคนนั้น จะต้องเป็นซือเมิ้งอย่างแน่นอน
แต่ถ้าหากซือถูซิงเฉินพูดเรื่องเท็จ เช่นนั้นนางจะรู้จักซือเมิ้งได้อย่างใด?
“ความจริงหลังจากวันนั้นหม่อมฉันก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย” ซือถูซิงเฉินเงยหน้ามองจักรพรรดิจยาเหวิน แล้วพูดอย่างลังเลว่า “เพราะว่าวันนั้นฝ่าบาทพระราชทานสมรสขององค์ชายหลีหวันและฉู่หลิวเยว่ ดังนั้นจึงเห็นว่านางกับหรงเจินอยู่ด้วยกัน หม่อมฉันจึงรู้สึกสับสนมาก” ทุกคนต่างเข้าใจ
ต่อให้ความสัมพันธ์ของฉู่หลิวเยว่กับหรงเจินจะดีเพียงใด ก็ไม่น่าจะอยู่กับนางในงานพระราชทานสมรส
ยิ่งไปกว่านั้น มีใครไม่รู้บ้างว่าทั้งสองคนเคยมีความขัดแย้งกันมาก่อน?
แต่พวกนางกลับอยู่ด้วยกัน มันจะน่าสงสัยเพียงใด
จักรพรรดิจยาเหวินจึงถามต่อว่า
“หลังจากนั้นล่ะ? เจ้าเห็นหรือไม่ว่าพวกเขาไปที่ใด?”
ซือถูซิงเฉินส่ายหน้า
“ตอนนั้นหม่อมฉันเห็นพวกเขาจากที่ไกลๆ เพราะว่าข้าต้องรีบกลับ ดังนั้นกลับไป จึงไม่รู้ว่าพวกนางไปกันที่ใดต่อ”
จักรพรรดิจยาเหวินพยักหน้า “เจ้านั่งลงเถอะ”
จากนั้นก็หันไปมองที่ฉู่หลิวเยว่
“หลิวเยว่ จากที่เจ้าฟังไปเมื่อครู่ เจ้ามีอันใดจะพูดหรือไม่?”
ฉู่หลิวเยว่เคาะที่เท้าแขนเบาๆ จากนั้นก็หันไปมองซือถูซิงเฉินอย่างครุ่นคิด
ที่นางพูดไปเมื่อครู่นี้ล้วนคลุมเครือไม่ชัดเจน แต่การพูดถึงซือเมิ้งเท่านั้น ที่ทำให้คำพูดของนางมีน้ำหนัก
ก่อนหน้านี้จักรพรรดิจยาเหวินยังไม่รับรู้ถึงตัวตนของซือเมิ้งมาก่อน เมื่อได้ยินซือถูซิงเฉินพูดเช่นนี้ จึงทำให้คนรู้สึกเชื่อถือได้ง่ายหรือจะกล่าวในอีกนัยหนึ่งว่า ซือถูซิงเฉิน รู้จักซือเมิ้งมานานแล้ว
บางทีนางอาจจะรู้จริงๆ ว่าวันนั้นเกิดเรื่องอันใดขึ้น
แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้นางไม่สามาถพูดทั้งหมดได้ จึงเลือกพูดประนีประนอมเท่านี้
ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สามารถผลักเรื่องหรงเจินมาใส่หัวนางได้
ฉู่หลิวเยว่พูดเสียงเรียบ “วันนั้นข้าไม่ได้ไปเจอหรงเจิน”
“วันนั้นองค์ชายหลีหวันให้คนมาส่งข้ากับท่านพ่อที่จวน จากนั้นคนของตระกูลฉู่ส่งเทียบเชิญมา ท่านพ่อจึงไปที่เรือนนั้น ส่วนข้าอยู่ที่จวนของตนเองตลอด ไม่ได้ออกจากจวนเลย เรื่องนี้ให้คนของตระกูลฉู่เป็นพยานให้ข้าได้”
ฉู่หนิงไปที่จวนตระกูลฉู่ เพื่อพูดคุยกันส่วนตัวเป็นเวลานาน เรื่องนี้ใครๆ ก็รู้กันดี
มีใครไม่รู้บ้างว่าตระกูลฉู่รู้สึกเสียใจอย่างมากที่ไล่ฉู่หนิงและลูกสาวออกจากตระกูลไป และกำลังหาทางเกลี่ยกล่อมให้พวกเขากลับไป!
ฉู่หนิงพูดว่า “ถูกต้อง เดิมทีวันนั้นเยว่เอ๋อร์วางแผนจะไปพร้อมกับกระหม่อม แต่จากการเกลี่ยกล่อมของกระหม่อม นางจึงอยู่ที่บ้านตลอด”
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ใครจะสามารถอธิบายได้ ในตอนที่ใต้เท้าฉู่หนิงไม่ได้อยู่จวน แล้วนางจะไม่ได้ออกจากบ้านจริงๆ?” หรงจิ้นเถียงขึ้น “ไม่ว่าอย่างใด พวกเจ้าสองคนเป็นพ่อลูกกัน เกรงว่าหลักฐานชิ้นนี้อาจจะไม่สามารถเป็นหลักฐานแน่นหนาได้”
ฉู่หนิงขมวดคิ้วสงสัย ถ้าฝ่ายตรงข้ามพูดเช่นนี้ตลอด พวกเขาก็ไม่มีทางเถียงได้เลย เพราะว่าเขากับฉู่หลิวเยว่ไม่สามารถยืนยันตัวตนในช่วงเวลานั้นได้จริงๆ ว่าฉู่หลิวเยว่อยู่ที่จวนตลอด
จู่ๆ ฉู่หลิวเยว่พูดขึ้น “ได้ยินมาว่าปิ่นปักผมปรากฏขึ้นอย่างลึกลับ แม้กระทั่งจักรพรรดินีเองก็ไม่สามารถบอกได้ว่าปิ่นอันนั้นมาตกที่นี่ได้อย่างใดแล้ว ทุกคนจะรู้ได้อย่างใดว่าสิ่งที่พวกท่านพูดทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่?”
จักรพรรดินีกล่าวอย่างโมโห “เจ้า!”
ฉู่หลิวเยว่พูดอย่างกาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น[1]
เมื่อวานฝ่าบาทโมโหนางเพราะเรื่องนี้ ตอนนี้นางพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนราดน้ำมันบนกองไฟ
หรงจิ้นซ่อนปิ่นปักผมในมือของเขาทันที
เดิมทีเขาคิดว่าปิ่นปักผมชิ้นนี้เจออยู่บนพื้นจริงๆ แต่ดูจากปฏิกิริยาของเสด็จแม่แล้ว ก็คิดไม่ออกว่านี่มันเกิดอันใดขึ้น นี่เป็นเรื่องที่พูดยากจริงๆ…
เมื่อทั้งสองฝ่ายต่างยืนยันคำพูดของตัวเอง ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างชะงักไป
จู่ๆ หรงจิ่วก็พูดขึ้น “ความจริง ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ตำแหน่งที่อยู่ของหรงเจิน ฮองเฮาเหนียงเหนียง หยวนตันของหรงเจินแตกสลาย ด้วยความสามารถของนาง นางไม่มีทางที่จะออกจากตำหนักอย่างไร้ร่องรอยได้แน่นอน นั่นก็หมายความว่า ซือเมิ้งจะต้องเป็นฝ่ายช่วยให้นางหลบหนีออกมาได้แน่นอน แม้ว่าตอนนี้ซือเมิ้งจะตายไปแล้ว แต่..เขาไม่ได้ทิ้งเบาะแสอันใดไว้ให้เลยหรือ?”
ในใจของจักรพรรดินีรู้สึกว้าวุ่นมากขึ้น
นางรู้ว่าทุกครั้งที่กล่าวถึงชื่อ ซือเมิ้ง ความไม่พอใจ และรังเกียจของฝ่าบาทจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
แต่ตอนนี้ความผิดทั้งหมดถูกผลักไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างสมบูรณ์แบบแล้ว แต่ซือเมิ้งก็เป็นบุคลลสำคัญเช่นกัน
นางกุมขมับเบาๆ แล้วพูดว่า “ไม่มี ซือเมิ้งตายอย่างกะทันหันมาก”
เมื่อพูดถึงตรงนี้ นางก็ชะงักไป สายตามองไปที่ฉู่หลิวเยว่อย่างสงสัย
“จริงสิ จะว่าไปแล้วซือเมิ้งเป็นจอมยุทธ์ระดับห้า คนธรรมดาไม่น่าจะเป็นคู่ต่อสู้ได้ คนที่สามารถฆ่าเขาได้อย่างรวดเร็วจะต้องมีพลังมหาศาลแน่นอน ทั่วทั้งเมืองหลวงคนที่จะมีวรยุทธ์ระดับนั้น นับว่ามีไม่มาก”
ฉู่หลิวเยว่เลิกคิ้วขึ้น จากนั้นก็หัวเราะเย็นๆ
“อันใดหรือ? จักรพรรดินีสงสัยว่าข้า เป็นคนฆ่าเขาหรือ? เหมือนว่าท่านจะชื่นชมหม่อมฉันเกินไปหน่อยนะเพคะ หม่อมฉันเป็นจอมยุทธ์ระดับสองเท่านั้น”
[1]กาไหนน้ำไม่เดือด หยิบกานั้น แปลว่า ทำเรื่องที่ไม่ควรทำหรือพูดในสิ่งที่ไม่ควรพูด