ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 377 บงการ
ตอนที่ 377 บงการ [รีไรท์]
“หรงจิ่ว เจ้าอย่าพูดจามั่วซั่วโดยที่ไม่คำนึงถึงเรื่องจริง”
หรงจิ้นเถียงออกไปโดยทันที
เขาเป็นถึงองค์รัชทายาท อีกทั้งเขาก็มีพรสวรรค์ในการฝึกฝนระดับนี้ เขาจำเป็นจะต้องใช้วิธีแบบนี้ด้วยหรือ?
“หลายปีที่ผ่านมานี้ ข้าก็ใช้ความสามารถของตนเองมาโดยตลอด ข้าไม่เคยใช้ทางลัดใดๆ และยิ่งไม่เคยใช้วิธีการชั่วร้ายเช่นนั้น ข้าขอสาบานด้วยชีวิตได้เลย”
หรงจิ้นสาบานขึ้นมา
เขารู้ดีว่า ด้วยสถานการณ์แบบนี้ หากเขาไม่จัดการเรื่องนี้ให้ดี เขากับเสด็จแม่ก็จะไม่มีวันลุกขึ้นได้อีกเลยตลอดกาล
แต่ด้วยคำพูดเหล่านั้น กลับทำให้จักรพรรดินีมีใบหน้าที่ซีดเผือดมากกว่าเดิม
“ซือฮุ่ยจิ้ง ที่เจ้าทำแบบนี้หมายความว่าอย่างใดกันแน่?”
เดิมทีจักรพรรดิจยาเหวินไม่สนใจคำพูดของหรงจิ้นเลยด้วยซ้ำ
เพราะในใจของเขาได้ตัดสินไว้แล้วว่าเรื่องทั้งหมดนี้เป็นฝีมือของจักรพรรดินี
น้ำตาของจักรพรรดินีเหือดแห้งไปหมดแล้ว เหลือเพียงแค่ใบหน้าสิ้นหวัง
จักรพรรดิจยาเหวินเหลือบตามองไปที่หรงจิ้นและหรงเจิน พร้อมยิ้มเย็นๆ
“ไม่กล้าพูดหรือ? ก็ดี หรงจิ้น หรงเจิน ต่างก็มีความผิดเช่นกัน แล้วก็หรงฉี ตอนแรกเป็นเจิ้นเองที่ตามืดบอด ถึงได้เลือกเจ้ามาเป็นจักรพรรดินี แล้วยังให้หรงจิ้นมาเป็นรัชทายาท ฉู่หนิง หรงจิ่ว ตรวจค้นสถานที่แห่งนี้ให้ทั่ว”
“พ่ะย่ะค่ะ”
ทั้งสองคนขานรับพร้อมกันโดยไม่ลังเล
จากนั้นต่างคนก็แยกย้ายกันไปเริ่มค้นหาสถานที่แห่งนี้ให้ละเอียด
หรงจิ้นอ้าปากพะงาบๆ ราวกับอยากจะขวางทางพวกเขาเอาไว้ แต่สุดท้ายเขาก็ยืนอยู่ที่เดิมด้วยท่าทางกล้าๆ กลัวๆ ขันทีหมินที่ยืนอยู่ด้านหลังของจักรพรรดิจยาเหวิน หน้าผากเต็มไปด้วยเหงื่อเย็นๆ
เพราะคนที่เกี่ยวพันกับจักรพรรดินี เขาจึงทำตัวไม่เป็นจุดเด่น แม้กระทั่งองครักษ์ก็ยังไม่ได้พามาด้วย
คิดไม่ถึงว่าความลับทั้งหมดจะถูกเปิดเผยขึ้นในวันนี้
ฉู่หลิวเยว่มองดูความวุ่นวายที่อยู่ตรงหน้า พร้อมขมวดคิ้วเบาๆ จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นไปมองท้องฟ้า
ท้องฟ้าของแคว้นเย่าเฉิน ในที่สุดก็เปลี่ยนไปแล้ว
เมื่อจักรพรรดินีได้ยินดังนั้น นางถึงเพิ่งได้สติขึ้นมา…จักรพรรดิจยาเหวินต้องการจะกำจัดพวกเขาสองแม่ลูกแล้ว
เรื่องทั้งหมดที่เกิดกับนางนั้นไม่สำคัญ แต่หรงจิ้นกำลังจะรักษาตำแหน่งรัชทายาทเอาไว้ไม่ได้แล้ว
เมื่อเห็นว่าฉู่หนิงและหรงจิ่วกำลังจะเริ่มค้นด้านในแล้ว ตัวนางจึงสั่นสะท้าน พร้อมก้มหน้าสารภาพผิดกับจักรพรรดิจยาเหวิน
“ฝ่าบาทเพคะ ยกโทษให้หม่อมฉันด้วย หม่อมฉันผิดไปแล้ว ฝ่าบาทจะทำโทษหม่อมฉันอย่างใดก็ได้ แต่ได้โปรดปล่อยลูกของหม่อมฉันไปด้วยเถอะเพคะ พวกเขาบริสุทธิ์ พวกเขาไม่รู้เรื่องอันใดทั้งสิ้นเลยเพคะฝ่าบาท”
นางโขกศีรษะไปที่พื้นอย่างแรง เสียงดังสนั่น จากนั้นไม่นานหน้าผากของนางก็มีเลือดไหลออกมา
ใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอางของนางก็เปรอะเปื้อนหยาดน้ำตาไปตั้งนานแล้ว เมื่อรวมกับเลือดสีแดงสดที่ไหลออกมาจากหน้าผาก ก็ยิ่งทำให้นางดูจนตรอกมากขึ้น
จักรพรรดิจยาเหวินยืนนิ่ง ราวกับว่าได้ยินเรื่องขำขันเท่านั้น
“ไม่รู้เรื่องราว? แล้วที่หรงเจินอยู่ที่นี่ เจ้าบอกเจิ้นมาสิ ว่านางไม่รู้อันใดเลยจริงๆ หรือ?”
จักรพรรดินีตะลึงงัน
ตามความจริงแล้ว นางไม่รู้ว่าเหตุใดหรงเจินถึงมาอยู่ที่นี่ได้
เรื่องนี้ นางปิดเป็นความลับมาโดยตลอด หรงจิ้นและคนอื่นๆ ต่างไม่รู้เรื่อง รวมถึงหรงเจินด้วย
แม้ว่านางจะบ้า แต่นางไม่มีทางส่งหรงเจินมาไว้ที่นี่
แต่อย่างใดก็ตามหริงเจินอยู่ที่นี่แล้ว นางไม่มีทางเถียงอันใดได้เลย
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆ นางก็รู้สึกโกรธแค้นหรงเจินขึ้นมาทันที…ถ้าไม่ใช่เพราะนาง จักรพรรดิจยา
เหวินจะรู้ได้อย่างใดว่ามีสถานที่เช่นนี้อยู่ เรื่องมันดำเนินมาถึงขั้นนี้ก็เพราะนาง ถ้าไม่ใช่เพราะการมีตัวตนของนาง หรงจิ้นและคนอื่นๆ ก็ไม่ต้องมาถูกสงสัย
นางมองไปทางหรงเจินแล้วขอร้องอย่างขื่นขม
“เจินเจิน เจ้าบอกเสด็จพ่อของเจ้าไป ว่าเจ้ามาที่นี่ได้อย่างใด? ได้หรือไม่ มารดาขอร้องเจ้าล่ะ เจ้าคงไม่อยากให้พี่ใหญ่และพี่รองต้องโทษไปพร้อมกับเจ้าใช่หรือไม่? หืม? เจ้าจะลากพวกเขาติดร่างแหไปด้วยไม่ได้”
แววตาของหรงเจินสั่นไหว
ในสมองของนางตอนนี้ จู่ๆ ก็มีภาพเหตุการณ์มากมายผุดขึ้นมา
ฉากแบบนี้ช่างรู้สึกคุ้นเคยอย่างมาก
ตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่เกิดเรื่อง เสด็จแม่มักจะพูดกับนางแบบนี้เสมอเลยไม่ใช่หรือ?
รูม่านตาของนางมีม่านหมอกเข้ามาปกคลุม
ทันใดนั้นเอง นางก็ก้มหน้าลงเล็กน้อย พร้อมพูดอย่างช้าๆ ชัดๆ ว่า
“…เสด็จพ่อ เป็นเสด็จแม่ที่ส่งข้ามาที่นี่เพคะ…”
เสียงของจักรพรรดินีชะงักไปทันที นางมองไปที่หรงเจินอย่างไม่อยากจะเชื่อ
“…เสด็จแม่บอกว่า…มีแค่ทางนี้เท่านั้น…ถึงจะสามารถช่วยข้าแก้แค้นฉู่หลิวเยว่ได้…อีกทั้ง…ยังสามารถฆ่าผู้อาวุโสซือเมิ้งได้…และโทษทั้งหมดนี้จะตกอยู่ที่หัวนาง”
แต่ละครั้งที่เสียงของหรงเจินเปล่งออกไป…ดวงตาของจักรพรรดินีก็เบิกกว้างขึ้นเรื่อยๆ
เมื่อพูดประโยคสุดท้ายจบ นางก็ถึงกับอึ้งไปเลย
ทันใดนั้นเองเหมือนว่าจักรพรรดินีจะนึกอันใดบางอย่างออก นางจึงกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา
“ฝ่าบาท สิ่งที่นางพูดทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องโกหก เหลวไหลสิ้นดี ฝ่าบาทอย่าไปเชื่อนางเด็ดขาดเลยนะเพคะ”
จักรพรรดิจยาเหวินเหลือบตามองนาง จากนั้นก็พูดอย่างเฉยเมยว่า
“คนที่เจ้าพูด หมายถึงลูกสาวแท้ๆ ของเจ้านะ เจ้ากำลังจะบอกว่าลูกสาวใส่ร้ายเจ้าหรือ?”
จักรพรรดินีรู้สึกเสียใจอย่างมาก แต่กลับไม่รู้ว่าควรจะพูดอันใดดี
นางก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหรงเจินถึงพูดเช่นนั้นออกไป
“หรงเจิน เมื่อครู่ที่เจ้าพูดหมายความว่า ซือเมิ้งตายเพราะน้ำมือของจักรพรรดินีหรือ?” จักรพรรดิจยาเหวินก้าวไปด้านหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้น
หรงเจินขดตัวลง ยกมือขึ้นชี้ไปทางโกศสำริดใบนั้น จากนั้นก็รีบดึงมือกลับมาอย่างรวดเร็ว ราวกับกลัวอันใดบางอย่าง
อย่างใดก็ตามการกระทำของนางก็บ่งบอกออกมาอย่างชัดเจนแล้ว
นางบอกว่า ซือเมิ้งตายเพราะโกศใบนั้น
“เจิ้นเกือบลืมไปแล้ว เขามีวรยุทธ์ระดับห้า…ซึ่งถือว่าเป็นผู้ที่มีพลังแข็งแกร่งอย่างมาก ลงทุนน้อยแต่ได้กำไรเป็นเท่าทวี”
ฉู่หลิวเยว่มองไปยังหรงเจินโดยไม่พูดอันใดสักคำ
นางออกจากที่นี่ไปเพียงแค่สิบวัน เหตุใดถึงมีเรื่องมากมายขนาดนี้ได้เล่า?
คำพูดของหรงเจินเมื่อครู่นี้ หากนางจำไม่ได้ว่านางเป็นคนฆ่าซื่อเมิ้งด้วยตนเอง นางก็เกือบจะเชื่อเรื่องนี้แล้ว
จักรพรรดินีมีใบหน้าซีดขาว จากนั้นก็เริ่มเอ่ยปากแย้ง
“ฝ่าบาท”
“เสด็จพ่อ”
ฉู่หนิงและหรงจิ่วต่างเดินกลับมา
สีหน้าของทั้งสองคนดูประหลาดใจเล็กน้อย
จักรพรรดิจยาเหวินสงบใจลง
“มีอันใดหรือ?”
ฉู่หนิงและหรงจิ่วมองหน้ากัน ราวกับว่าเหมือนกำลังลังเลอันใดบางอย่าง
ฉู่หนิงกำหมัดแน่น
“ฝ่าบาท กลางสวนด้านหลังมีกองโครงกระดูกสีขาวเป็นจำนวนมากพ่ะย่ะค่ะ”
หรงจิ่วรีบกล่าวเสริมว่า
“ในเรือนนี้มีห้องอยู่มากมาย และภายในห้องเหล่านี้ก็มีโครงกระดูกซ่อนอยู่ นับๆ ได้ว่า ประมาณร้อยกว่าโครงได้”
เงียบกริบ
ขนาดฉู่หลิวเยว่ยังขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
เมื่อนางมองไปที่โกศใบนั้น นางคิดว่าโกศใบนี้ต้องเคยดูดวิญญาณมากกว่าสองสามศพ
แต่คิดไม่ถึงว่าจะมากมายขนาดนี้
“คนส่วนใหญ่เป็นผู้บำเพ็ญเพียร ช่วงหลายปีมานี้ในเมืองหลวงไม่มีเหตุรับแจ้งว่ามีคนหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ดังนั้น…คนเหล่านี้น่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่นอกเมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ฉู่หนิงพูดเสียงเรียบ
จักรพรรดิจยาเหวินสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วจ้องมองไปยังจักรพรรดินี
“ซือฮุ่ยจิ้ง เจ้าเพียงคนเดียวไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้ พูดมาเถอะ ว่าใครคอยช่วยเจ้าบ้าง? ตระกูลซือหรือ?”
เมื่อได้ยินจักรพรรดิจยาเหวินพูดถึงตระกูลซือ จักรพรรดินีก็รีบส่ายหน้าทันที
“ไม่มีเพคะ หม่อมฉันทำเรื่องทั้งหมดนี้ด้วยตัวคนเดียว เป็นแค่ความคิดชั่ววูบของหม่อมฉัน หม่อมฉันยินดีรับโทษด้วยความตาย ขอร้องฝ่าบาทได้โปรดปล่อยหรงจิ้น หรงฉี และตระกูลซือไปด้วยเถอะเพคะ”
ในที่สุดหรงจิ้นก็พูดขึ้นมาอย่างอดทนไม่ได้
“เสด็จแม่ นี่ท่านกำลังทำอันใดน่ะ? ท่านไม่ได้เป็นคนทำใช่หรือไม่? ใครเป็นคนทำร้ายท่านกันแน่? ท่านพูดออกมา…”
เพียะ
จักรพรรดินีตบใบหน้าของหรงจิ้นอย่างแรง