ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 380 ปล่อย
ตอนที่ 380 ปล่อย [รีไรท์]
ซือเย่จือจึงเดินออกไปด้านนอก และเห็นว่าซือถิงกลับมาพอดี
“คารวะท่านประมุข”
ซือถิงประสานหมัดคารวะ ท่าทางตึงเครียดเล็กน้อย
เมื่อซือเย่จือเห็นท่าทางของเขา จึงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย
“ซือถิง วันนี้เจ้าต้องไปที่สำนักเรียนไม่ใช่หรือ? เหตุใดถึงกลับมาได้ล่ะ?”
ซือถิงตอบอย่างลังเลใจ “ได้ยินมาว่าในวังหลวงเกิดเรื่องขึ้น”
“เรื่องอันใด? เหตุใดข้าถึงไม่รู้เรื่องล่ะ?”
ซือเย่จือรู้สึกมึนงงยิ่งขึ้นไปอีก
เขาส่งคนไปติดต่อกับทางวังหลวงอยู่เป็นประจำ หากเกิดเรื่องอันใดจริงๆ เขาก็น่าจะต้องรู้ก่อนสิ
ซือถิงอยู่ที่สำนักเทียนลู่ แล้วเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างใด?
อีกทั้งดูท่าท่างแบบนี้ เหมือนว่าจะไม่ได้เป็นเรื่องดีเท่าไหร่…
ซือถิงมองเขา แล้วกำหมัดกร๊อด
“วันนี้ฉู่หลิวเยว่ไม่ได้ไปที่สำนัก อีกทั้งยังถูกเรียกเข้าไปที่วังหลวง”
“แล้วอย่างไร…” ทันทีที่ซือเย่จือพูดออกมา เขาก็นึกถึงอันใดบางอย่างขึ้นมาได้ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที “หมายความว่า…เรื่องนี้เกี่ยวกับองค์หญิงสี่หรือ?”
ซือถิงพยักหน้า
“ข้าคิดว่ามันมีบางอย่างผิดปกติ จึงรีบกลับมาดูก่อน แล้วตอนนั้นเขาก็หันไปเห็นขันทีหมินรออยู่ที่หน้าประตู”
ซือถิงกัดริมฝีปากแน่น
ท่าทางของขันทีหมินนับว่าไม่ดีนัก…
เขาเคยเห็นขันทีหมินมาหลายครั้ง แต่ไม่เคยเห็นสีหน้าตึงเครียดของเขาเช่นนี้เลย
อีกทั้ง เห็นได้ชัดว่าเขามาที่ตระกูลซือโดยเฉพาะเลย
หัวใจของซือเย่จือค่อยๆ เต้นช้าลง
เรื่องที่เกี่ยวข้องกับองค์หญิงสี่ ฝ่าบาทถึงได้รีบร้อนเรียกเข้าไปเข้าพบเช่นนี้ พวกเขาจะต้องรู้เรื่องที่ตระกูลของเราค้นหาหรงเจินอย่างลับๆ แน่นอน
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องของซือเมิ้งอาจจะถูกเปิดเผยแล้ว
เขาตบบ่าของซือถิงอย่างเร่งรีบ
“ข้าจะลองเข้าไปดูในวังหลวงก่อน เจ้ารออยู่ที่ตระกูลนี่ หากเกิดเรื่องอันใดขึ้น…เจ้าคือประมุขของตระกูลซือเป็นคนต่อไป”
เมื่อพูดจบ เขาก็หยิบป้ายคำสั่งออกมาจากแขนเสื้อ แล้วยัดไปในมือของซือถิง
ซือถิงขมวดคิ้วแน่น
นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่? คาดไม่ถึงว่าจะทำให้ท่านประมุขร้อนรนถึงเพียงนี้ แม้กระทั่งยอมมอบป้ายคำสั่งที่แสดงฐานะของประมุขตระกูลซือให้เขาเช่นนี้เลยหรือ?
“ท่านประมุข ข้ารับไว้ไม่ได้ ท่านยัง…”
“เอาไป”
ซือเย่จือมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างมาก ไม่ยอมให้เขาปฏิเสธ
ซือถิงสบสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกได้ว่า สถานการณ์ตอนนี้อาจจะรุนแรงและอันตรายกว่าที่เขาคาดเอาไว้ก็ได้
ในที่สุดเขาก็กำป้ายคำสั่งแน่น แล้วพยักหน้า
“ท่านประมุขได้โปรดวางใจ ซือถิงจะดูแลปกป้องตระกูลซือให้ได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นซือเย่จือถึงได้วางใจลง เขามองซือถิงด้วยแววตาล้ำลึก จากนั้นก็หมุนเดินออกไป
ซือถิงมองแผ่นหลังของเขาอยู่นาน ไม่รู้ว่าเหตุใด ความกังวลที่อยู่ในใจค่อยๆ ขยายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
…
อีกด้านหนึ่ง ซือเย่จือก็ติดตามขันทีหมินเข้ามาในวังหลวงอย่างรีบร้อน
ระหว่างทาง เขาได้สอบถามกับทางขันทีหมินตั้งหลายรอบว่านี่มันเกิดอันใดขึ้น แต่ขันทีหมินกลับปิดปากสนิท ไม่ยอมบอกข้อมูลให้กับเขาเลยสักนิดเดียว
จึงทำให้ซือเย่จือมั่นใจกับการคาดเดาของตนเองยิ่งขึ้นไปอีก
…ต้องเกิดเรื่องขึ้นกับจักรพรรดินีแล้ว
ไม่เช่นนั้นขันทีหมินจะต้องไม่มีท่าทางเช่นนี้แน่นอน
พวกเขาสองคนนั่งเงียบมาตลอดทาง เมื่อมาถึงห้องทรงอักษรแล้ว ในสมองของซือเย่จือก็มีความคิดมากมายนับไม่ถ้วนโผล่เข้ามา
ซือเย่จือสำรวจไปรอบๆ อย่างไร้เสียง จากนั้นก็พบว่าทหารยามของห้องอักษรในตอนนี้ เข้มงวดกว่าเดิมมากนัก บรรยากาศรอบๆ ก็ตึงเครียดมากกว่าเดิมหลายเท่า
หัวใจของเขาเหมือนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย รู้สึกอึดอัดใจอย่างมาก
ขันทีหมินเดินนำขึ้นไปด้านหน้าคนเดียว แล้วกล่าวด้วยความเคารพว่า
“ฝ่าบาท ประมุขตระกูลซือมาถึงแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงของจักรพรรดิจยาเหวินก็ดังขึ้นมาจากห้องทรงอักษร
“ให้เขาเข้ามา”
ขันทีหมินมองไปที่ซือเย่จือ พร้อมถอยหลังหนึ่งก้าว
“ประมุขซือ เชิญขอรับ”
ซือเย่จือสูดลมหายใจเข้าลึกๆ พร้อมจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นค่อยเดินขึ้นไปด้านหน้าแล้วผลักประตูเข้าไป
ทันทีที่เขาเข้าไป สิ่งที่เขาเห็นทำให้หัวใจของซือเย่จือกระตุกวูบอย่างรุนแรงทันที
ภายในห้องทรงอักษรที่เงียบเชียบและกว้างขวาง จักรพรรดิจยาเหวินนั่งอยู่ด้านหลังของโต๊ะตัวหนึ่ง หนังสือพับ พู่กันและหมึกก็จัดวางอย่างเป็นระเบียบ
แต่จักรพรรดินีซือฮุ่ยจิ้ง กลับนั่งคุกเข่าอยู่ที่พื้นด้านหน้า
อาภรณ์ที่งดงามของนางเต็มไปด้วยคราบสกปรก ผมเผ้าที่เคยเรียบร้อยก็ดูยุ่งเหยิง ใบหน้ามีแต่คราบน้ำตา ดวงตาทั้งสองก็บวมและแดงก่ำ
นางคุกเข่าอยู่ตรงนั้น ทั่วทั้งร่างกายแผ่กระจายความสิ้นหวังและเจ็บปวดออกมา
ซือเย่จือไม่เคยเห็นท่าทีจนตรอกของนางเช่นนี้มาก่อนเลย
“จักรพรรดินี”
เขาตะโกนขึ้นมาอย่างตกใจ และรีบสาวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าว
หลังจากนั้นไม่นาน เขาเพิ่งจะตระหนักได้ว่าที่นี่คือห้องทรงอักษรและจักรพรรดิจยาเหวินก็ยังอยู่ตรงหน้านี้ด้วย
ฝีเท้าหยุดชะงักทันที พร้อมหันหน้าไปมองจักรพรรดิจยาเหวิน เขาต้องสะกดกลั้นความไม่พอใจในใจลงไป พร้อมโค้งตัวทำความเคารพ
“ซือเย่จือคารวะฝ่าบาท”
เมื่อจักรพรรดินีเห็นว่าเขามาแล้ว แววตาเหม่อลอยก็ขยับตัวเล็กน้อย แล้วแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
ราวกับว่านางอยากจะร้องไห้ แต่กลับร้องไม่ออก
น้ำตาของครึ่งชีวิตของนาง ไหลออกมาจนแห้งเหือดแล้ว
แต่อย่างใดก็ตาม ก็ไม่ได้ทำให้จักรพรรดิจยาเหวินใจอ่อนเลยแม้แต่น้อย
จักรพรรดิจยาเหวินมองไปยังซือเย่จือด้วยสายตาราบเรียบ
“ซือเย่จือ เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจิ้นเรียกเจ้ามาเหตุใด?”
ซือเย่จือรู้สึกได้เพียงแรงกดดันที่รุนแรง เขาแทบจะคุกเข่าลงทันทีโดยไม่ต้องคิด
“ข้าน้อยไม่ทราบพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาทได้โปรดชี้ทางสว่างแก่ข้าน้อยด้วย”
“เจ้าไม่รู้? ก่อนหน้านี้ตระกูลซือเคยแอบค้นหาร่องรอยของหรงเจินมาก่อน เจ้ารู้หรือไม่?”
คำพูดของจักรพรรดิจยาเหวินเหมือนค้อนที่ทุบลงมาอย่างแรง
ซือเย่จือกำหมัดกร๊อด
เป็นเรื่องนี้จริงๆ ด้วย
ฝ่าบาทรู้เรื่องแล้ว
เขารีบเอาทั้งสองมือยันแล้วเอาหน้าผากโขกกับพื้นอย่างแรง
“ข้าน้อยผิดไปแล้ว ฝ่าบาทได้โปรดลงโทษข้าน้อย”
“เจ้าผิดไปแล้ว? ข้าคิดว่าเจ้าจะจงรักภักดีต่อเจิ้นเสียอีก? คิดไม่ถึงว่าเจ้ากับจักรพรรดินีจะแอบร่วมมือกัน แล้วปิดบังเจิ้นมาตั้งหลายปี เรื่องของซือเมิ้ง เจ้าก็รู้มาก่อนอยู่แล้วใช่หรือไม่ ซือเย่จือ เจ้านี่มันจริงๆ เลย”
จักรพรรดิจยาเหวินยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห เขาหยิบถ้วยชาที่อยู่ข้างมือขึ้นมา พร้อมโยนไปใส่ซือเย่จือโดยตรง
เพล้ง
ถ้วยชาแตกกระจายอยู่เบื้องหน้าของซือเย่จือ
เศษกระเบื้องกระจัดกระจายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย มีเศษกระเบื้องสองชิ้นกระเด็นขึ้นมากรีดใบหน้าของซือเย่จือ ทำให้เลือดของเขาไหลออกมาเป็นทาง
แต่ซือเย่จือกลับไม่กล้าขยับตัว เขาทำได้เพียงคุกเข่าอย่างเพิ่มความเคารพมากขึ้น
“ฝ่าบาท ข้าน้อยรู้ว่าตนเองมีความผิด แต่เรื่องทั้งหมดนี้ไม่เกี่ยวกับจักรพรรดินีเลยพ่ะย่ะค่ะ ตอนแรก เป็นเพราะข้าน้อยกังวลว่าจักรพรรดินีจะไม่มีกำลังพอที่จะปกป้องตนเองได้ จึงตั้งใจส่งซือเมิ้งเข้าไป แล้วก็เรื่องที่องค์หญิงสี่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย… จักรพรรดินีกลัวว่าฝ่าบาทจะเป็นกังวลมากเกินไป จึงคิดขอร้องให้ข้าน้อยช่วยเหลือ ไม่ได้มีความตั้งใจจะปิดบังเลย ไม่ว่าอย่างใดก็ตาม ผลลัพธ์ที่ตามมาข้าน้อยจะเป็นคนรับผิดชอบมันแต่เพียงผู้เดียว”
เมื่อจักรพรรดิจยาเหวินได้ยินดังนั้น เขากลับหัวเราะเสียงเย็น
“รับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียว? เจ้ามีคุณสมบัตินั้นหรือ? ซือเย่จือ เจ้าไม่ต้องแสดงละครต่อหน้าเจิ้นแล้ว เดิมทีหรงเจินไม่ได้หายตัวไปไหน จักรพรรดินีเป็นคนที่ซ่อนนางไว้นั่นแหละ”
“อะไรนะ?”
เมื่อเห็นปฏิกิริยาของซือเย่จือ เขาก็หรี่ตามอง
“เหตุใด น้องสาวของเจ้าไม่ได้บอกเจ้าหรือ?”
ในใจของซือเย่จือเต็มไปด้วยความสับสน เขาเหลือบสายตาไปมองจักรพรรดินีที่อยู่ข้างๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ
“จักรพรรดินี นี่…นี่มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นหรือพ่ะย่ะค่ะ?”
จักรพรรดินีก้มหน้าลง
นางรู้ดี ต่อให้นางพูดอันใดตอนนี้ก็คงไม่มีประโยชน์
หรงเจินปรากฏตัวขึ้นอย่างบังเอิญที่ชีเจี่ยวเซี่ยง แม้กระทั่งนางยังเป็นคนพูดเช่นนั้นออกมาเอง ก็ถือเป็นการยืนยันทุกอย่างแล้ว
นางพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“ฝ่าบาท ท่านพี่ของหม่อมฉันไม่รู้เรื่องนี้เลยแม้แต่น้อยเพคะ ได้โปรดปล่อยตระกูลซือไปเถอะเพคะ”