ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 382 หยั่งเชิง
ตอนที่ 382 หยั่งเชิง [รีไรท์]
“ฝ่าบาทการเดินหมากครั้งนี้ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ เลย”
ฉู่หลิวเยว่มองกระดานหมากรุกที่อยู่ตรงหน้า นางยังไม่ได้วางหมากสีดำในมือลงไป
“หมากสีดำของข้า เกือบถูกล้อมไว้หมดแล้ว”
หรงซิวนั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบสงบ เมื่อได้ยินดังนั้น ริมฝีปากสีแดงก็ยกยิ้มขึ้น
“เจ้ายังเหลือทางเดินอีกทางหนึ่งไม่ใช่หรือ?”
แน่นอนว่าฉู่หลิวเยว่มองออกอยู่แล้ว
แต่ว่า…
“แม้ว่าจะเดินก้าวนี้ไป และหลุดพ้นจากสถานการณ์เลวร้าย แต่ฝ่าบาทก็เตรียมตาข่ายสวรรค์สำหรับดักจับข้าอยู่แล้วไม่ใช่หรือ? ไม่ว่าอย่างใดข้าก็แพ้อยู่แล้ว มันไม่สนุกอันใดเท่าไหร่เลย”
ฉู่หลิวเยว่โยนหมากลงไปในโถใส่หมาก พร้อมยกมือสองข้างขึ้น
“ข้ายอมแพ้”
เมื่อเห็นท่าทางยอมศิโรราบของนาง หรงซิวก็ขมวดคิ้วขึ้น
“ตอนนี้เจ้าไม่ค่อยมีสมาธิเลย เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่หรือ?”
เขาพูดไป พร้อมกับเริ่มเก็บหมาก
ฉู่หลิวเยว่มองการกระทำที่เชื่องช้าของเขา จึงอดย่นจมูกขึ้นมาไม่ได้
ความจริงแล้วต่อให้นางจดจ่อกับกระดานหมากนี้ แต่นางก็แทบจะไม่สามารถเอาชนะหรงซิวได้เลย
หากพูดตามตรง การเล่นหมากของหรงซิวนั้นอยู่ในระดับสูงมาก
หรงซิวค่อยๆ พูดขึ้นมา
“ก้าวนี้เหมือนว่ามันจะไม่น่าสนุก แต่ก็มีคนเดินไปอยู่ดี”
ฉู่หลิวเยว่แค่นหัวเราะเบาๆ “แต่ว่ามันก็เสียเวลา”
“ซือถูเหยียนไม่เพียงไม่ถอนหมั้นระหว่างซือถูซิงเฉินและหรงจิ้น อีกทั้งออกปากขอร้องด้วยตนเอง แม้ว่าฝ่าบาทจะโกรธมาก และอยากจะรีบกำจัดจักรพรรดินีและรัชทายาททันที แต่ว่าก็ยังต้องไว้หน้าซือถู
เหยียน”
ฉู่หลิวเยว่คาดการณ์มาตั้งนานแล้วว่า ทางซือถูเหยียนคงไม่ถอนหมั้นง่ายๆ หรอก แต่นางก็คิดไม่ถึงว่า เขาจะกล้ายื่นมือออกมาช่วยโดยตรงเช่นนี้
ดังนั้นจึงเห็นว่าซูถือเหยียนนั้นให้ความสำคัญกับหรงจิ้นไม่น้อยเลยทีเดียว…
หรงซิวหัวเราะเบาๆ
“หากสามารถคลี่คลายปัญหาได้ง่ายเช่นนั้น คงไม่ต้องเลื่อนออกมาจนถึงทุกวันนี้หรอก”
ทันใดนั้นเองฉู่หลิวเยว่ก็โน้มตัวไปด้านหน้า สองมือเท้าลงที่กระดานหมากล้อม พร้อมจ้องไปที่หรงซิวแล้วเอ่ยถามว่า “พระองค์รู้มาตั้งแต่แรกแล้วใช่หรือไม่ว่าซือถูเหยียนจะต้องยื่นมือออกมาช่วยเหลือ?”
หรงซิวเงยหน้าขึ้นเล็กน้อย จดจ้องไปที่ใบหน้าของฉู่หลิวเยว่ด้วยสายตาลึกล้ำ พร้อมรอยยิ้มกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม
“เยว่เอ๋อร์ เจ้าเองก็รู้มาก่อนอยู่แล้วไม่ใช่หรือ?”
ราวกับว่าบรรยากาศอบอุ่นแผ่กระจายขึ้นมาระหว่างเขาทั้งคู่
ฉู่หลิวเยว่มองไปที่หรงซิวอย่างครุ่นคิด
แน่นอนว่านางรู้อยู่แล้ว
แต่ว่า…ที่นางคาดเดาเช่นนี้ เป็นเพราะว่านางรู้เรื่องอันใดบางอย่างมาต่างหาก
แต่…หรงซิวล่ะ?
เขาก็รู้หรือ?
ฉู่หลิวเยว่ชะงักไป พร้อมพูดว่า “เพราะว่าซือถูเหยียนเอ่ยปากว่าจะช่วย ฝ่าบาทจึงไม่ได้ถอดตำแหน่งรัชทายาทของเขาชั่วคราว แม้แต่จักรพรรดินีเองก็ยังไม่มีคำสั่งปลด มีหลายคนที่รู้สึกว่าเรื่องนี้มีอันใดไม่ถูกต้อง ตอนนี้จึงเกิดการคาดเดามากมาย จิตใจผู้คนกำลังระส่ำระสาย แต่อย่างใดก็ตามฝ่าบาทมีรับสั่งให้ค้นตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงให้ละเอียด แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีความคืบหน้าเลย…พระองค์วางแผนอันใดไว้กันแน่?”
หรงซิวเก็บหมากเสร็จเรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าแปลกใจของฉู่หลิวเยว่ ก็อดที่จะก้มหน้าลงไปจูบที่หน้าผากนางเบาๆ ไม่ได้
“เดินหมากเพิ่งขึ้นอีกก้าว แม้ว่าจะไม่ชนะ แต่ว่ามันสามารถทำให้น่าตื่นเต้นเพิ่มขึ้น อีกทั้ง…แบบนั้นจะทำให้มีความสุขในชัยชนะมากขึ้น”
…
จวนไท่จื่อ
เพราะว่าหรงจิ้นโดนกักบริเวณอีกครั้ง บรรยากาศในจวนจึงตึงเครียดขึ้นอย่างมาก
คนที่อยู่ที่นี่เต็มไปด้วยความโศกเศร้า ไร้ชีวิตชีวา แทบจะไม่เห็นความเย่อหยิ่ง ภูมิใจดั่งในตอนที่รัชทายาทนั้นกำลังรุ่งเรืองอยู่เลย
ใครจะไปคิดเล่าว่า รัชทายาทที่เคยเป็นที่อิจฉาของทุกคน จะมีช่วงที่ตกต่ำติดดินเช่นนี้ได้?
แม้ว่าฝ่าบาทจะยังไม่สั่งการอันใดลงมา แต่คนทั้งเมืองหลวงก็ได้ยินเรื่องนี้ทั้งหมดแล้ว ครั้งนี้แม้กระทั่งจักรพรรดินีก็โดนกักบริเวณด้วยเช่นกัน การกำจัดรัชทายาทนั้นไม่ว่าช้าเร็วก็ต้องเกิดขึ้นแน่นอน
ฉู่เซียนหมิ่นนั่งอยู่ในห้องของตนเอง
ตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงแล้ว อากาศเริ่มเย็นลงแล้ว
นางอาศัยอยู่ห้องเย็นๆ เงียบๆ ราวกับห้องใต้ดินอย่างใดอย่างนั้น
มือของนางค่อยๆ ลูบผ้าคลุมหน้าที่ปิดใบหน้าของตนเอง
แม้ว่านางจะอยู่ที่นี่คนเดียว แต่นางก็ไม่กล้าถอดผ้าคลุมหน้าออก
เพราะขนาดตัวนางเอง ก็ยังกลัวที่จะเห็นใบหน้านี้
เมื่อคิดย้อนกลับตอนแรก นางมาอยู่ในจุดนี้ได้อย่างใด?
นางครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุดนางก็ลุกขึ้นยืน
ได้ยินมาว่าวันนี้ซือถูซิงเฉินจะมาเยี่ยมที่จวนไท่จื่อ ไม่ว่าอย่างใดนางก็ต้องออกไปเยี่ยมสักรอบ
เมื่อเดินออกมาถึงด้านนอก ทางเดินที่เงียบสงัด แต่ก็ไม่ได้ดีกว่าที่นั่นเสียเท่าไหร่
นางเดินตรงมาที่ห้องโถงด้านหน้า
เดินมาสักระยะหนึ่งแล้ว ในที่สุดก็ค่อยๆ เห็นเงาคนที่อยู่ตามทางเดิน
ส่วนใหญ่เป็นแค่บ่าว แต่เมื่อคนเหล่านี้เห็นนาง ก็เพียงแค่ทำความเคารพส่งๆ เท่านั้น และรีบร้อนเดินจากไปทันที
ฉู่เซียนหมิ่นอดที่จะหัวเราะเยาะตัวเองไม่ได้
ก่อนหน้านี้หากคนเหล่านี้เห็นหน้านาง ก็ยังคิดพยายามหาทุกวิธีเพื่อจะได้หัวเราะเยาะนางเสียหน่อย แต่ตอนนี้แม้กระทั่งจะทำเช่นนั้น พวกเขายังขี้เกียจ
แต่ตอนนั้นนางก็ได้ยินเสียงซุบซิบของคนพวกนั้น
“ไม่รู้จริงๆ ว่าองค์หญิงใหญ่ซือถูคนนั้นจะทำอันใดกันแน่? ตอนนี้องค์รัชทายาทและจักรพรรดินีต่างก็โดนกักบริเวณกันหมดแล้ว ไม่ช้าก็เร็วจะต้องโดนกำจัดแน่นอน แต่คาดไม่ถึงว่านางจะไม่ยกเลิกงานหมั้นกับองค์รัชทายาท นี่จะหาเรื่องใส่ตัวหรือ?”
“ใครจะรู้กันเล่า? นี่อาจจะเป็นความรัก ที่ยอมอยู่เป็นตายกับองค์รัชทายาท?”
“ข้าว่าไม่ใช่ พวกเจ้าไม่เคยเห็นองค์หญิงคนนั้นปฏิบัติกับองค์รัชทายาท ข้าเพิ่งยกถาดน้ำชาเข้าไปให้ ใบหน้าของนางไม่มีรอยยิ้มเลยสักนิด ที่บอกว่ามาเยี่ยมองค์รัชทายาท แต่ดูเช่นนี้ใครๆ ก็รู้ว่านางโดนบังคับมา”
“ใครจะบังคับนางได้? นางคือไข่มุกในมือของจักรพรรดิเซียนคังแห่งแคว้นซิงหลัวนะ”
“ไม่ว่าอย่างใดหากมีนางอยู่ ฝ่าบาทน่าจะไม่ทำอันใดองค์รัชทายาท แต่ข้าว่า พวกเรารีบหาทางออกกันเถอะ จวนรัชทายาทแห่งนี้ไม่รู้ว่าจะคงสภาพเช่นนี้ไปถึงเมื่อไหร่”
“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับองค์ชายสามอย่างมาก เหมือนว่าจะแต่งตั้งเขาเป็นอ๋อง…”
ฉู่เซียนหมิ่นกัดฟันกร๊อด แล้วเดินขึ้นไปด้านหน้า
…
ภายในห้องโถง หรงจิ้นและซือถูซิงเฉินนั่งอยู่คนละฟากกัน
หลังจากผ่านมาหลายวัน หรงจิ้นเองก็ผอมลงไปมาก ใบหน้าก็ดูซีดเซียว แก่นปราณเฮือกสุดท้ายก็คล้ายจะหมดไปแล้ว
ในใจของเขาเป็นห่วงทั้งจักรพรรดินี เป็นห่วงทั้งตัวเอง หวาดระแวงนอนไม่หลับอยู่หลายคืน สภาพจึงเป็นเช่นนี้
ยังดีที่ตำแหน่งรัชทายาทของเขายังอยู่ดี
“ซิงเฉิน ข้าไม่รู้ว่าจะต้องขอบคุณเจ้าอย่างใดดี…”
หรงจิ้นมองไปที่ซือถูซิงเฉินที่นั่งอยู่ตรงข้าม ใบหน้าเต็มไปด้วยความซาบซึ้ง
“ข้ารู้อยู่แล้วว่าเจ้าจะต้องยื่นมือมาช่วย”
ในความคิดของหรงจิ้น ที่ซือถูเหยียนมาช่วยเขา เป็นเพราะซือถูซิงเฉินขอร้องแน่นอน
ดังนั้นหรงจิ้นจึงรู้สึกหวงแหนซือถูซิงเฉินมากขึ้น
แต่ซือถูซิงเฉินไม่ได้คิดเช่นนั้น
เมื่อโดนหรงจิ้นใช้สายตาเช่นนั้นจ้องมอง นางก็รู้สึกขนลุกชูชัน แทบจะนั่งไม่ติดพื้นเลยทีเดียว
หากว่าไม่ใช่คำสั่งของเสด็จพ่อ ไม่ว่าอย่างใดนางก็ไม่มีทางมาหรอก
“ฝ่าบาทไม่ต้องเกรงใจ นี่เป็นสิ่งที่ซิงเฉินควรทำ…”
ซือถูซิงเฉินเกือบจะกัดฟันแล้วเอ่ยประโยคนี้ออกไป
หรงจิ้นเองก็ไม่ได้ตระหนักถึงความคิดของนางเลย เขาเพียงถอนหายใจออกมายาวๆ
“น่าเสียดาย ท่านพ่อตัดสินไว้แล้วว่าท่านแม่มีความผิด จึงไม่ยอมให้ข้าเยี่ยมนาง ไม่รู้ว่าตอนนี้นางจะเป็นอย่างใดบ้าง?”
ซือถูซิงเฉินหมดความอดทนที่จะฟังเรื่องเช่นนี้ เมื่อนึกถึงคำพูดของเสด็จพ่อ นางก็ถามขึ้นมาเสียงเบา ราวกับไม่ได้ตั้งใจ
“ฝ่าบาท ที่ฝ่าบาทเป็นเช่นนี้ เป็นเพราะเรื่องในตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง…ท่านรู้หรือไม่ ว่าที่นั่น…มันเกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่?”