ยอดหญิงลิขิตสวรรค์ - ตอนที่ 383 ของขวัญ
ตอนที่ 383 ของขวัญ [รีไรท์]
หรงจิ้นขมวดคิ้วแน่น
“คือว่า…ข้าก็ไม่รู้ ก่อนหน้านี้เสด็จแม่ไม่เคยพูดถึงเรื่องนี้มาก่อน วันนั้น เป็นวันแรกที่ข้าไปที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง”
ส่วนเรื่องโกศทองสำริด และศพอีกนับร้อยนั้น เขาก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
ซือถูซิงเฉินขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย และถามต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้
“แต่หากสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่จักรพรรดินีทำจริงๆ แล้วละก็ นางน่าจะทำเพื่อพระองค์นะเพคะ…”
“ข้าบอกว่าข้าไม่รู้เรื่องไง” หรงจิ้นตอบกลับด้วยความรังเกียจ “ไม่ว่าอย่างใด เสด็จแม่ก็เป็นสตรีที่อยู่ในรั้วในวัง จะทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างใด?”
กระดูกเหล่านั้นล้วนเป็นคนผู้บำเพ็ญเพียร อีกทั้งยังเป็นคนที่มีฝีมือ
แต่วรยุทธของเสด็จแม่นั้นอยู่แค่ระดับธรรมดา อีกทั้งนางอยู่ในวังมาหลายปี นางไม่มีทางทำเรื่องเช่นนี้ด้วยตัวคนเดียวได้อย่างแน่นอน
สำหรับหรงจิ้นแล้ว เรื่องทั้งหมดนี้เป็นการใส่ร้ายจากหรงจิ่วเท่านั้น
หากไม่พูดถึงเรื่องเหล่านี้ เอาแค่เรื่องหรงเจิน
ตอนนั้นนางหายไปอย่างไร้ร่องรอยจริงๆ เสด็จแม่เป็นห่วง และวิตกกับเรื่องนี้มาก ยังเรียกเขาเข้าไปปรึกษาตั้งหลายครั้ง
หากเสด็จแม่เป็นคนส่งนางไปที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงด้วยตนเองละก็ เหตุใดต้องแสดงละครต่อหน้าเขาด้วยล่ะ?”
แบบนั้นไม่ใช่การเปลืองแรงโดยเปล่าประโยชน์หรอกหรือ?
ในความทรงจำของหรงจิ้น เสด็จแม่เชื่อใจเขาอย่างมาก
เขารู้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เขาคือความหวังของแม่ตนเอง เสด็จแม่สามารถทำเพื่อเขาได้ทุกอย่าง
แม้ว่าเสด็จแม่จะปิดบังคนทั้งโลก แต่นางจะต้องซื่อสัตย์กับเขาอย่างแน่นอน
ดังนั้นเขาไม่เคยเชื่อว่าเสด็จแม่ของตนเองเป็นคนทำ
“เสด็จพ่อแค่ถูกหลอกเพียงชั่วคราวเท่านั้น ข้าจะต้องไปสืบหาความจริงออกมาให้ได้”
หรงจิ้นกัดฟันกรอด
เมื่อได้ยินดังนั้นซือถูซิงเฉินก็หัวเราะเยาะในใจ
ถูกหลอก?
คำพูดนี้ของหรงจิ้นเหมือนเป็นการหลอกตัวเองเท่านั้น
ปฏิกิริยาตอบรับของจักรพรรดินีในวันนั้น ก็เพียงพอที่จะอธิบายออกหมดแล้ว
นอกจากที่หรงเจินปรากฏตัวออกมาอย่างแปลกประหลาด เรื่องอื่นๆ ก็เห็นได้ชัดว่านางมีส่วนเกี่ยวข้อง
ซือถูซิงเฉินลูบถ้วยชาเบาๆ แต่กลับไม่ได้ดื่มลงไป นางหลุบตามองเงาสะท้อนของตนเองในถ้วยชา แววตาเย็นชา อย่างใดก็ตามเสียงของนางยังคงอ่อนโยนเหมือนสายน้ำ
“สิ่งที่พระองค์พูดนั้นเป็นความจริง ซิงเฉินเองก็ไม่เชื่อเช่นกัน ไม่เช่นนั้นเสด็จพ่อของข้าไม่มีทางยื่นมือออกมาช่วยหรอกเพคะ แต่ว่า…ด้วยสถานการณ์เช่นนี้ ท่านจะต้องรีบคิดหาหนทางให้เร็วที่สุด ไม่เช่นนั้น จักรพรรดินีที่อยู่ในวังหลวง คงจะไม่สุขสบายดังเดิม”
หรงจิ้นขมวดคิ้วแน่น
“งั้นเจ้าว่า ข้าควรทำอย่างใดดีล่ะ? ตอนนี้เสด็จพ่อต้องไม่อยากเจอหน้าข้าอย่างแน่นอน”
“พระองค์รู้หรือไม่ ตอนนี้ใต้เท้าฉู่และองค์ชายสามกำลังตรวจสอบที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยงด้วยกัน หากพวกเขาหาอันใดพบจริงๆ ขึ้นมาแล้วละก็ เช่นนี้ฝ่าบาทก็สามารถตัดสินโทษได้อย่างง่ายดายแล้ว กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ชีวิตของท่านและจักรพรรดินีอยู่ในกำมือของพวกเขาแล้ว…”
“เรื่องนี้เหตุใดข้าจะไม่รู้ล่ะ?” หรงจิ้นลูบหน้าตนเองอย่างหงุดหงิด
ไม่ต้องพูดเรื่องฉู่หนิง แต่หรงจิ่วกับพวกเขาสองแม่ลูก ล้วนมีความแค้นกันอย่างยาวนาน เขาจะต้องใช้โอกาสนี้เหยียบย้ำซ้ำเติมให้ถึงที่สุดแน่ๆ
“ในความคิดของข้าแล้ว ประเด็นสำคัญของเรื่องนี้อยู่ที่ตรอกชีเจี่ยวเซี่ยง ข้าเชื่อว่าจักรพรรดินีไม่ได้เป็นคนทำเรื่องนั้นแน่ แต่นางต้องรู้อันใดสักอย่าง ท่านมีความเห็นว่าอย่างใดล่ะ?”
หรงจิ้นไม่ได้พูดอันใดออกมา
“หากจักรพรรดินีบอกเรื่องราวเหล่านั้นให้ท่านฟัง พวกเราก็สามารถรับมือกับสถานการณ์นั้นได้อย่างดีขึ้น เช่นนั้น…ท่านลองไปถามเรื่องราวจากจักรพรรดินีดีหรือไม่?”
หรงจิ้นครุ่นคิดอยู่นาน แล้วคิดว่าวิธีนี้ถูกต้อง
แต่เรื่องที่ยุ่งยากที่สุดก็คือ…
“แต่ตอนนี้ข้าไม่สามารถไปเยือนเสด็จแม่ได้ แล้วจะถามได้อย่างใดล่ะ?”
ซือถูซิงเฉินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย พร้อมมอบรอยยิ้มอ่อนโยนมาให้
“ท่านลืมแล้วหรือ? ซิงเฉินสามารถเข้าวังได้นะ”
ฉู่เซียนหมิ่นที่เดินมาถึงหน้าประตูด้านนอก เมื่อได้ยินประโยคนี้เข้านางก็หยุดชะงักทันที
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงตื่นเต้นดีใจของหรงจิ้น
“ซิงเฉิน เจ้าเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในโลกเลย สามารถสู่ขอเจ้ามาเป็นพระชายาได้ ถือว่าเป็นความโชคดีที่สุดของข้าแล้ว”
ราวกับว่ามีเข็มเล็กๆ จำนวนนับไม่ถ้วนแทงเข้าไปที่หัวใจของฉู่เซียนหมิ่น มันเป็นความเจ็บปวดที่ไม่มีที่สิ้นสุด
นางกำหมัดแน่น ในหัวมีความคิดมากมายผุดขึ้นมา ในที่สุดราวกับว่านางตัดสินใจอันใดบางอย่างได้แล้ว จึงลืมตาขึ้นหันหลังเดินจากไปทันที
…
ฉู่หลิวเยว่มาที่จวนของมู่ชิงเห่ออีกครั้ง
เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู นางก็ได้ยินเสียงร้องอย่างมีความสุขของชิงหมิงดังขึ้น
ฉู่หลิวเยว่เงยหน้าขึ้น ก็เห็นปีศาจแดงบินโฉบลงมาอย่างตื่นเต้น
แม้ว่านางจะไม่ได้เจอหน้ากันแค่ครึ่งเดือน แต่ฉู่หลิวเยว่ก็คิดถึงปีศาจแดงอยู่ไม่น้อย เมื่อเห็นการต้อนรับที่อบอุ่นเช่นนี้ นางจึงอดที่จะยิ้มออกมาไม่ได้
“ปีศาจแดง ช่วงนี้เจ้าเป็นเด็กหรือเปล่า?”
ปีศาจแดงบินวนรอบตัวฉู่หลิวเยว่หนึ่งรอบ มันกระพือปีกอย่างแรง ฉู่หลิวเยว่ยังเห็นเปลวไฟสีน้ำเงินจางๆ อยู่หนึ่งชั้น
นี่เป็นคำตอบที่ได้อย่างชัดเจนแล้ว
ฉู่หลิวเยว่ส่งยิ้มเบาๆ แล้วพูด
“วางใจเถอะ ข้าไม่ได้ลืมของขวัญของเจ้า”
ปีศาจแดงส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข
ฉู่หลิวเยว่หยิบถุงเฉียนคุนออกมา ในตอนที่นางกำลังจะหยิบของออกมา ทันใดนั้นเองนางก็รู้สึกสายตาที่จับจ้องมา
นางชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วเงยหน้าขึ้นไปมอง
เจี่ยนเฟิงฉือกอดอกแล้วยืนพิงกรอบประตูอยู่ พร้อมมองมาที่นางอย่างสนใจ
“น่าแปลกใจจริงๆ ปีศาจแดงไม่ใช่สัตว์อสูรของเจ้า เหตุใดเจ้าถึงให้ความสำคัญกับมันขนาดนั้น?”
หางตาของฉู่หลิวเยว่กระตุกเล็กน้อย
นี่มันก็สิบกว่าวันแล้ว เหตุใดเขายังไม่ไปอีก?
เหมือนว่าเขาอ่านความคิดของฉู่หลิวเยว่ออก เจี่ยนเฟิงฉือจึงยกยิ้มอย่างภูมิใจ
“เชิญคุณชายอย่างข้ามาน่ะง่าย แต่เชิญให้ข้าไปน่ะไม่ง่ายขนาดนั้นหรอก”
ฉู่หลิวเยว่พยายามสงบสติอารมณ์ลง พร้อมคุกเข่าคำนับ
“คารวะคุณชายเจี่ยน”
ทันใดนั้นเองเจี่ยนเฟิงฉือก็พูดขึ้น
“เจ้ารู้หรือไม่ มู่ชิงเห่ออนุญาตให้ปีศาจแดงรับของขวัญจากคนคนเดียวเท่านั้น?”